กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1094.3 ยืมหมัด
เฉินผิงอันมอบใบไม้สีทองให้พวกเขาคนละเล็กน้อย “เป็ นทั้งที่ตั้ง ของฟ้ าดินมายา แล้วก็เป็ นทั้งกุญแจในการเปิดประตู”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อุดรอยรั่วฉวยโอกาสตอนที่ฟ้ าสว่าง ศึกษาเล่าเรียนฉวยจังหวะตอนที่อายุยังน้อย ไม่เข้าใจแสร ้งทาเป็ น เข้าใจย่อมเป็ นคนไร ้ประโยชน์ไปตลอดกาลเรียนรู ้พลางสอบถามจึง จะเป็ นความรู ้ที่แท้จริง พวกเราพยายามไปด้วยกัน”
หากจะบอกว่าความทรงจาของคนคนหนึ่งคือจุดที่ฝากฝัง อารมณ์ทุกอย่างเอาไว้
ถ้าอย่างนั้นเส้นสายทุกเส้นบนใบไม้พวกนี้ก็แบกรับความสุข ความทุกข์ การพบการพรากของเรื่องราวนับร ้อยนับพันเอาไว้ บางที อาจเป็ นลาขาเป๋ ที่ตกลงไปในบ่ออย่างไม่ทราบสาเหตุ และบางทีอาจ เป็ นสายลมกับแสงจันทร ์ที่หยอกเย้าล้อเคียงกัน
……
บนหัวกาแพงเมืองของกาแพงเมืองปราณกระบี่
หม่าขู่เสวียนเดินเนิบช ้าไปท่ามกลางหิมะทับถม ยิ้มเอ่ยว่า “โอกาสหาได้ยาก ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังมีอารมณ์อยากพูดคุย เจ้า ไม่มีอะไรอยากถามบ้างหรือ? บอกตามตรงนะปฏิทินเหลืองเก่าแก่
บางเล่ม ความจริงที่ข้ารู ้มา ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันจะมีประสบการณ์ มากมายกว้างขวางแค่ไหนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู ้ชัดเจนเท่าข้า”
เฉินผิงอันเปิดปากถามจริงๆ “ท าไมไม่ฝึกวิชาอสนีเป็ นหลัก? นี่ จะไม่ช่วยให้เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสาเร็จเป็ นเท่าตัวหรอกหรือ?”
เพราะเฉินผิงอันแทบจะมั่นใจได้เลยว่าสารถีเฒ่าที่หลบอยู่ใน เมืองหลวงต้าหลีคนนั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็ นขุนนางหลักของกอง พิฆาตกรมสายฟ้ า อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าเขาลงเดิมพันไว้กับหม่าขู่ เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวามากที่สุด ฝากความหวังไว้มากที่สุด นี่แสดง ให้เห็นว่าหม่าขู่เสวียนก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงของกรมสายฟ้ ามาจุติ อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางเสียงมากมายในโลกมนุษย์ เสียงที่ สะท้อนก้องรุนแรงที่สุดกลับเป็ นเสียงสายฟ้ าฟาด
จาได้ว่าปีนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงองค์หนึ่งเยื้องกรายจากนอกฟ้ า มายังพื้นดินของใบถงทวีป ต่อจากนั้นก็ข้ามมหาสมุทรเดินทางมาขึ้น ฝั่งที่แจกันสมบัติทวีป แต่สุดท้ายกลับถูกชุยฉานและฉีจิ้งชุนร่วมมือ กันโจมตีให้พ่ายแพ้ถอยร่น องค์เทพนั้นก็คือ “ผู้ส่งเสียงสะท้อน หนึ่ง ในสิบสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงแห่งสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล
หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร “ด้วยอดีตชาติและรากฐาน ของข้า บวกกับคุณสมบัติในการฝึกตนของเนื้อหนังมังสาในชาตินี้ ชั่วชีวิตนี้หม่าขู่เสวียนยังจาเป็ นต้องฝึกวิชาอสนีอะไรด้วยหรือ? แล้ว ก็เพราะจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ดูของไม่ออก หาไม่แล้วต่อให้ จ้าวเทียนไล่รู้ความจริง ด้วยหนังหน้าบางๆ ของเขาก็คงไม่ยอมลด
เกียรติมาขอความรู ้จากข้าอยู่ดี ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะช่วย ยกระดับขั้นของเวทห้าอสนีดั้งเดิมของพวกเขาให้สูงขึ้นไปอีกขั้น จริงๆ”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้ง
หม่าขู่เสวียนอารมณ์ดีทันใด หาได้ยากนักที่จะทาให้ไอ้หมอนี่
ชะงักค้างได้
ยกแขนสะบัดชายแขนเสื้อ หม่าขู่เสวียนปัดหิมะที่ร่วงหล่นลงมา ตรงหน้าออกไป เผยให้เห็นเส้นสีเงินและเส้นสีทอง ลวดลายของสี ทองมั่นคงแข็งแกร่งแทบจะไม่ขยุกขยิก มีเพียงความแตกต่างของสี ว่าเข้มหรืออ่อนเท่านั้น คล้ายจะมีความหมายถึงผลกรรมระหว่าง มนุษย์ด้วยกัน ส่วนเส้นสีเงินทุกเส้นที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่งกลับเป็ น ตัวแทนของเสียงในใจทุกครั้งสามารถก่อให้เกิดร่องรอยต่อหน้าได้ แล้วก็สามารถทาให้ทั้งสองฝ่ ายไม่จาเป็ นต้องมองสบตากัน สามารถ มองเมินระยะห่างทางภูมิศาสตร ์ สามารถลอดทะลุแม่น้ายาวแห่ง กาลเวลาไปได้อย่างก าเริบเสิบสาน ความรู ้ใจและการขานรับกัน ไกลๆ ทุกประเภทก็คือการหยิบเส้นเส้นหนึ่งขึ้นมา เป็ นเหตุให้วิธีใช ้ เสียงในใจของผู้ฝึกลมปราณในโลกยุคหลังและยังมีการรวมสียงให้ เป็ นเส้นของผู้ฝึกยุทธ หากสืบสาวกันแล้วก็ล้วนมีต้นก าเนิดมาจาก การสื่อสารกันระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล มากพอจะข้ามผ่าน ดวงดาวจานวนนับไม่ถ้วน ทุกวันนี้บนภูเขามีข้อห้ามว่าไม่อาจ เรียกชื่ออริยะและผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ตรงๆ ได้ เพราะง่ายที่ฝ่ ายหลัง
จะสัมผัสได้ทางจิต ซึ่งอันที่จริงก็คือการสืบเนื่องทอดยาวไปของเส้น สายเส้นนี้
หากจะบอกว่าดวงดาวทุกดวงที่อยู่นอกฟ้ าล้วนเป็ นซากศพของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางแม่น้าแห่งกาลเวลา กระจัด กระจายแล้วกลับมารวมตัวกันใหม่ ถ้าอย่างนั้นการสื่อสารด้วย “เสียง ในใจ” ระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลก็สามารถมองข้ามระยะทาง อันยาวไกลที่บางทีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ก็ไม่อาจทาได้
หม่าขู่เสวียนกล่าวต่ออีกว่า “ส่วนการที่ผู้ส่งเสียงสะท้อนเดินทาง จากใบถงทวีปมายังแจกันสมบัติทวีป การกระทานี้สามารถมองเป็ น การเรียกตัวอย่างหนึ่งที่โจวมี่มีต่อข้าได้ แต่ข้าปฏิเสธไป เรื่องนี้รู ้กัน อยู่ในใจโดยไม่ต้องพูด โจวมี่เห็นข้าไม่รับน้าใจ เขาก็ไม่ฝื นอีก หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ขัดขวางการขึ้นสวรรค์จากไป ของเขา ถ้าอย่างนั้นก็จะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว”
แม้ชาติกาเนิดของเฉินผิงอันจะแย่ไปสักหน่อย แต่เจ้าหมอนี่ที แรกก็ได้การถ่ายทอดวิชาจากฉีจิ้งชุน รับเป็ นลูกศิษย์แทนอาจารย์ จากนั้นได้รับการปกป้ องจากชุยฉาน ต่อมาก็เป็ นหลิวสือลิ่วที่ออก หมัดบนภูเขาถั่วทั่ว ไปถึงกาแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังมีจั่วโย่วที่ ถ่ายทอดเวทกระบี่ให้ ทุกวันนี้ยังมีเหวินเซิ่งที่ได้ฟื้นคืนตาแหน่งเทพ ในศาลบุ๋นคอยให้การปกป้ องซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นปกป้ องเขาราวกับแม่ไก่ ปกป้ องลูกเจี๊ยบ มองไปทั่วใต้หล้า คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มีใคร บ้าง?
ก็เหมือนคนบางคนที่เฝ้ าดูซึ่งเพิ่งมารู ้สึกตัวทีหลังที่มักจะเอ่ย อย่างริษยาว่า หากเปลี่ยนข้าไปเป็ นอื่นกวานหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้น ได้รับ โชควาสนาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ห้าขอบเขตบนเลย ป่านนี้คงเป็ นขอบเขต บินทะยานไปนานแล้ว
หม่าขู่เสวียนเอ่ยด้วยสายตาฉายแววไม่พอใจ “ฉีจิ้งชุนเองก็ ชี้บอกมหามรรคาที่สอดคล้องกับตัวเจ้าให้เจ้ารู ้อย่างชัดเจนไม่ใช่ หรือ หากไม่เป็ นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าเอ่ยว่า “ข้าคล้อยตามมติของ คนหมู่มาก’ ข้าก็จะต้องด่าเจ้าคาหนึ่งว่าอยู่ท่ามกลางความสุขแต่ไม่ รู ้จักความสุขจริงๆ แล้ว”
หม่าขู่เสวียนถาม “เจ้าหวนกลับสู่ห้าขอบเขตบนก็เพราะเดินไป บนเส้นทางนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เปล่า”
ยากกว่านั้น ถือเป็ นการหาเรื่องลาบากใส่ตัว
หม่าขู่เสวียนมองเฉินผิงอันเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ ายไม่ได้หลอก ตน
ฉีจิ้งชุนผสานรวมโชคชะตาบุ๋นบู๊และควันธูปของถ้าสวรรค์หลีจู เลื่อนสู่ขอบเขตคนฟ้ าผสานเป็ นหนึ่ง ถือครองกลิ่นอายแห่งความ ยิ่งใหญ่ไพศาล นิมิตภาพและคัดลอกออกมาเป็ นรูปร่างที่สมบูรณ์ แบบของเทวรูปลัทธิเต๋าซึ่งถูกทาลายเสียหายอย่างหนักในสุสานเทพ เซียน สุดท้ายเรือนกายที่ปรากฏออกมาคือเทพที่สวมเสื้อเกราะหลาก
สีตัวเก่า ใช ้เวทลับสร ้างจิตวิญญาณขึ้นมา จากนั้นก็ใช ้วิชาอภินิหาร ของลัทธิพุทธมาสร ้างความมั่นคงให้กับจิตวิญญาณ ความหมายแฝง ก็คือพานักอยู่ในอรจิษมตีภูมิแห่งที่สี่ แม้แสงสว่างจะมอดดับ แต่แสง ตะเกียงจะยังคงอยู่
คือผู้ที่บูรณาการหลักธรรมแห่งสามลัทธิได้ถึงแก่นสูงสุด
ก็เหมือนฉีจิ้งชุนส่งจดหมายทางบ้านฉบับหนึ่งไปให้ในอนาคต หรือควรจะพูดว่าเป็ นคาสั่งเสียที่ไร ้เสียง แต่ก็เหมือนอย่างที่โจวมี่พูด ในเวลานั้น การเลือกนี้ของเจ้าฉีจิ้งชุนไม่ได้ยอดเยี่ยมที่สุด
ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ก็แสดงว่าฉีจิ้งชุนต้องมีเจตนาที่ลึกล้าแน่นอน
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันก็ยังคงเลือกเส้นทางฝ่ าทะลุขอบเขตของ ตัวเอง บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ บุกเบิกเส้นทาง…ใหม่เอี่ยมเส้นหนึ่ง
เห็นว่าหม่าขู่เสวียนไม่เอ่ยอะไรแล้ว คล้ายหมดความสนใจที่จะ พูดคุยไป เฉินผิงอันจึงแพร่งพรายความลับสวรรค์ด้วยประโยคเดียว ว่า “มองดูเหมือนเป็ นการร าลึกความหลังของคนบ้านเดียวกัน แต่ แท้จริงแล้วพยายามคิดหาวิธีที่จะพูดคุยกับข้าให้มากหน่อย อันที่จริง ข้ารู ้ดีว่าเจ้าต้องการให้ข้าพูดเยอะๆ”
หม่าขู่เสวียนยอมรับเรื่องนี้อย่างผึ่งผาย ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู ้ว่าเจ้ารู ้ เจ้าฉลาดมาก ข้าเองก็ไม่โง่ แต่ข้าใคร่รู ้อย่างมากว่าเจ้าสัมผัสได้ถึง เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปากอมกฎสวรรค์ ค าพูดเปล่งออกมาคาถาตามติดของอริยะสาม ลัทธิ บนภูเขายังมีคากล่าวที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น บอกว่าคือแรง บันดาลใจที่เชื่อมโยงสู่เทพ
ในเมื่อดินแดนมายาแห่งนี้ถูกลิขิตมาแล้วว่าต้องเป็ นของปลอม เฉินผิงอันเหมือนอริยะที่เฝ้ าพิทักษ์ฟ้ าดิน ได้ครอบครองฟ้ าอานวย และดินอวยพร ถ้าอย่างนั้นหม่าขู่เสวียนก็ต้องเพิ่มสิ่งของที่เป็ นความ จริงเข้ามา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเอง ไหลไปตามกระแส
ยกตัวอย่างเช่นค าพูด
การถามตอบระหว่างทั้งสองฝ่ ายก็คือปมตัวอักษรที่ขมวดมาจาก ภาษาอย่างหนึ่ง
ที่บ้านเกิดของพวกเขา ผู้เฒ่าที่เปรียบเปรยว่าตัวเองอายุมาก แล้ว ใกล้เดินลงโลงเต็มทีมักจะชอบพูดว่าแก่เหมือนพระโพธิสัตว์แล้ว
และหากจะบรรยายถึงเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู ้ความ ทาอะไรไม่รู ้ประสา ก็จะเอ่ยว่า ท าไมถึงเหมือนคนบนฟ้ า
โลกภายนอกเห็นหม่าขู่เสวียนเป็ นผู้มีพรสวรรค์ในกลุ่มของผู้มี พรสวรรค์ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนไม่ยอมออกแรง แต่กลับมาก พอจะทาให้เขาโดดเด่นเกินใคร นี่ก็เกิดจากพรสวรรค์นาพา
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในความเป็ นจริงแล้วหม่าขู่เสวียนไม่ได้ ใช ้พรสวรรค์ของตัวเองอย่างสิ้นเปลืองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกัน
เลยด้วยซ้า หลายปีมานี้หม่าขู่เสวียนไม่เคยเกียจคร ้าน เขารอคอย เฉินผิงอันมานานมากแล้ว
ก่อนหน้านี้เชิญให้ซานจวินถงเหวินช่างมาที่เรือนหลังเล็กใน เมืองหลวง นอกจากจะช่วยแนะนาผีหญิงเชวียหรูอี้แล้วก็ยิ่งเป็ นการ ทดสอบและการวัดขนาดระดับความจริงและเท็จของดินแดนมายา
ของเฉินผิงอัน
คนวัยเดียวกันและบ้านเกิดเดียวกันสองคน ดูเหมือนต่างก็ไม่ใช่ ตะเกียงประหยัดน้ามัน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “อยากจะคุยกันอีกสักหน่อยหรือไม่?”
หม่าขู่เสวียนกล่าว “ไม่ต้อง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ ตัวอักษรแล้ว อย่างอื่นๆ เช่นการเรียนวรยุทธที่เกี่ยวพันไปถึงตารา หมัด เวทคาถาที่อยู่ในตาราเล่มต่างๆ เวลานี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉิน ผิงอันจะร่ายออกมาได้จริงๆ
ต่างก็พูดกันว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ขอบเขตไม่ต่า แต่มีวิธีการมากมายไม่ใช่หรือ? วันนี้เฉินผิงอัน อยากจะใช ้สถานะของปรมาจารย์วิถีวรยุทธต่อสู้กับข้าหม่าขู่เสวียน ไม่ใช่หรือไร?
ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู
หม่าขู่เสียนยกมือตบลาคอเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตัวอักษรแต่ละ ตัว ข้ากินอิ่มแล้วแต่เจ้าต้องหิวแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ของที่ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าย่อมรั้งไว้ไม่อยู่ เจ้าต้อง คายออกมา ต้องส่งคืนกลับมาแต่โดยดี”
หม่าขู่เสวียนยืนอยู่ที่เดิม กระดิกนิ้วให้เฉินผิงอัน “อวิ๋นเหมี่ยว เซียนเหรินของหอเซียนจิ่วเจิน ความสามารถก้นกรุของเขาคือร่าง เมฆาวารีและขอบเขตแก่นน้า แต่เจอกับข้าก็ยังต้องเรียกว่าท่าน บรรพบุรุษ ข้าจะยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนี้ไม่ขยับ…”
ไม่รู ้ว่าใช ้วิชาอภินิหารอะไร หม่าขู่เสวียนถึงได้เลื่อนสู่ขอบเขต ว่างเปล่าในเสี้ยววินาทีเรือนกายประหนึ่งเรือกลวง
นาทีถัดมาร่างทั้งร่างของหม่าขู่เสวียนก็เหมือนถูกค้อนทุบหนักๆ เรือนกายงองุ ้ม อาเจียนแห้งๆ ทันใด
มีชื่อว่า “น้าไหลเชี่ยว
ตอนนี้ “เลือดสด” ที่หม่าขู่เสวียนกระอักออกมาล้วนเป็ นตัวอักษร สีทองที่แหลกยับ
จากนั้นหม่าขู่เสวียนก็ถูกคนใช ้มือกดใบหน้า อีกมือคว้าไหล่ เสียงกร๊อบดังลั่นลาคอก็ถูกบิดหัก
“ศพ ศพหนึ่งล้มไปกองอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม หันหน้าไปมองยังจุดอื่น โบกชายแขนเสื้อ หนึ่งครั้งสลายตัวอักษรสีทองที่แฝงไว้ด้วยปณิธานเหล่านั้นทิ้งไปสิ้น
หากหม่าขู่เสวียนตายง่ายขนาดนี้ก็ไม่ใช่หม่าขู่เสวียนแล้ว
นั่งยองอยู่บนหัวกาแพงเมืองห่างไปไกล หม่าขู่เสวียนใช ้สายตา เวทนามองเจ้าหมอนั่น
เฉินผิงอัน อันที่จริงข้ารับลูกศิษย์ปิดสานักคนหนึ่งที่ผูกปมแค้น กับเจ้าอย่างตื้นเขิน แต่เกลียดชิงชังเจ้ามาก เจ้าถึงขั้นไม่รู ้ด้วยซ้าว่า ความเกลียดของเขานั้นมาจากไหน
ขอแค่วันหนึ่งเจ้าไม่ได้กลายเป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบห้า เจ้าก็จะ ไม่มีทางรู ้เลยว่าเขาคือใคร เดาไม่ถูกว่าในอนาคตเขาจะใช ้วิธีการ แบบใดมาแก้แค้นเจ้า แล้วจะแก้แค้นเจ้ากี่ครั้ง
หม่าขู่เสวียนกระโดดลงมาจากหัวก าแพงแล้วกระโดดอีกสอง สามทีเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “ในเมื่ออุ่น เครื่องเสร็จแล้วก็ควรทาเรื่องเป็ นการเป็ นงานได้แล้ว”
ภาพที่เกิดขึ้นต่อมา ต่อให้เป็ นคนที่มีนิสัยใจคอหนักแน่นอย่าง เฉินผิงอันก็ยังอดไม่ไหวด่าว่าเจ้าชาติสุนัขออกไป
ที่แท้หม่าขู่เสวียนเหมือนคนที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ เขาถึงกับใช ้วิธีนิมิตที่เป็ นวิชานอกรีตอย่างหนึ่งสร ้าง…โจวมี่ขึ้นมา
……
ซากปรักจวนเขียนแห่งนั้น เฉินผิงอันพาอวี๋สืออู้เดินไปบน ขั้นบันไดของเส้นทางภูเขา
อวี๋สืออู้สังเกตเห็นว่าคนที่อยู่ข้างกายขมวดคิ้วแน่น แต่จากนั้นก็ คลายออก จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน หมุนตัวนั่งลงบนขั้นบันได ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“ไม่มีอะไร ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง”
อวี๋สืออู้นั่งลงด้านข้าง เอ่ย “ในภูเขาเจินอู่มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ เคยบอกหลักการเหตุผลข้อหนึ่งให้ข้าฟัง โน้มน้าวข้าว่าในอนาคต บนเส้นทางของการฝึกตน ทางที่ดีที่สุดควรนึกถึงศัตรูสมมติขึ้นมา สองคน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเหตุผลอย่างมาก
อันที่จริงพอจะเดาออกได้คร่าวๆ แล้วว่าเป็ นใคร
คือผู้ปกป้ องมรรคาของหม่าชูเสวียนคนนั้น เคยไปเยือนถ้า สวรรค์หลีจู เคยมีโอกาสได้พบหน้ากันอยู่หลายครั้ง
อวี๋สืออู้ถาม “เจ้าก็มีเหมือนกันหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แน่นอน ยกตัวอย่างเช่นจะต้องตอบแทนผู้ อาวุโสบางท่านกลับคืนไปตามมารยาท?”
เผยหมินแห่งเวทกระบี่ มอบให้แล้วไม่ตอบแทนกลับคืนก็คือไร้มารยาท
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนกในกรง
อยู่ที่นี่ขอแค่ขอบเขตของเฉินผิงอันสูงมากพอ ปราณวิญญาณ มีมากพอ กระบี่ยาวคมมากพอ ถ้าอย่างนั้นกาละและเทศะก็สามารถ ถูกตัดแบ่งออกไปได้อย่างไร ้ขีดจ ากัด
พูดง่ายๆ ก็คือต่อให้เป็ นตอนนี้ ขอแค่เฉินผิงอันยินดีเขาก็ สามารถท าให้ผู้ฝึกลมปราณอวี๋สืออู้ไม่มีทางไล่ตามไปทันมดตัวหนึ่ง ที่เดินอยู่บนพื้นได้
อวี๋สืออู้กล่าว “เจ้ายังไม่ได้พูดว่าเรื่องที่สองคืออะไร”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอยืมเจ้ามาไล่ตามเฉาสือ”
อวี๋สืออู้ถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “ฝึกหมัด”
อวี๋สืออู้เข้าใจได้ในฉับพลัน แล้วก็อึ้งค้างไร ้คาพูดไปทันที
แล้วก็จริงดังคาด “เฉินผิงอัน” ถอนเวทอ าพรางตาออก ร่างจริง ของ “อวี๋สืออู้” อยู่ไกลสุดขอบฟ้ าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า
ที่แท้ไม่รู ้ว่าถ้อยคาที่เอ่ยอย่างมีเจตนาของคนอื่นกี่มากน้อยที่ ล้วนถูกพวกเรามองเป็ นค าพูดไร้เจตนา
อวี๋สืออู้มีสีหน้าซับซ ้อน “ต้องการอาศัยสิ่งนี้มารับมือกับหม่าขู่ เสวียนหรือ?”
บนร่างมีโชคชะตาบู๊สามส่วนจากบรรพบุรุษส านักการทหาร ส าหรับผู้ฝึกลมปราณอวี๋สืออู้แล้ว แน่นอนว่าต้องเป็ นซี่โครงไก่ ไร ้ซึ่ง ประโยชน์ใดๆ แต่หากถูกปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างเฉินผิงอันบังคับ เอามาใช ้เล่า?
นี่จะเท่ากับว่าเดินข้ามบันไดวิถีวรยุทธไปได้หนึ่งถึงสองชั้น ช่วย ให้เขาเลื่อนเป็ นชั้นเทพมาเยือนของขอบเขตปลายทางหรือไม่?
“ค าเรียกขานคู่กัน” ของในใต้หล้ามิอาจเอามาใช้อย่างส่งเดชได้ เฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายก็มีค าเรียกขานอยู่สองอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ใต้โซ่วเฉินเหนืออื่นกวานบนสนามรบ หรือยกตัวอย่างเช่นเฉาชุด ขาวเฉินชุดเขียวบนเส้นทางวิถีวรยุทธ
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่จาเป็ นเลย สักนิด”