กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1095.2 แสงหิมะ
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องเอาเขามากระทบเทียบข้าซ้าๆ หรอก” หวงเลี่ยรู ้สึกชาหนังหัว “มิกล้า เจ้าสานักกู้เข้าใจผิดแล้ว” กู้ช่านกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็พยายามอย่าให้ข้าเข้าใจผิด” กระทั่งบัดนี้หวงเลี่ยถึงเพิ่งจะเข้าใจนิสัยการกระทาอันเป็ น
เอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้ฝึกตนท าเนียบนครจักรพรรดิขาวได้อย่าง
แท้จริง กู้หลิงเยี่ยนหัวเราะราวกับกิ่งดอกไม้สายไหว
กู้ช่านถาม “ที่นี่คือ?”
หวงเลี่ยยิ้มเอ่ย “ที่นี่หรือ คือศาลประจาตระกูลในประวัติศาสตร ์ที่ ขุนนางผู้สูงศักดิ์ในพื้นที่บริจาคเงินสร ้างขึ้นมา มีชื่อโบราณว่า อารามเลี่ยนตัน ทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็ นฉงหยางแล้ว”
กู้ช่านพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าภาพบรรยากาศในนี้ไม่ เลว แน่นอนว่าแค่เทียบกับเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนของพวกเจ้า เท่านั้น นี่ก็ชื่อว่าอารามเลี่ยนตันได้ด้วยหรือ? มิน่าเล่าข้าถึงได้รู้สึก ว่าที่นี่คือสถานที่ที่ดีในการหลอมยา (เลี่ยนตัน) เปลี่ยนชื่อได้ไม่เลว คาดว่าน่าจะเป็ นยอดฝีมือคนหนึ่ง ศาลาใกล้น้าได้ยลแสงจันทร ์ก่อน สมัยก่อนจงใจเลือกสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องหลอม
โอสถน้าที่นี่แน่นอน แล้วค่อยตั้งชื่อว่าฉงหยางเป็ นการเพิ่มพูน ผลประโยชน์ได้หลายส่วน เตาหลอมใบใหญ่กาลังหลอมสิ่งของ แสง สีม่วงค่อยๆ เปล่งแสง ไอแดงยิ่งเข้มข้น คาดว่าวันหน้าก็น่าจะมีเซียน ดินพสุธาคนหนึ่งเผยกายกระมัง ส่วนวันหน้าที่ว่านี้จะนานแค่ไหน จะ เป็ นกี่สิบปีหรือกี่ร ้อยปี ข้าที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสตร ์การมอง
ลมปราณก็ไม่รู ้แล้ว”
ศาสตร ์การมองลมปราณมีวิชาอภินิหารที่แตกต่างจากเวทคาถา ของตระกูลเซียนทั่วไป แล้วก็แตกต่างไปจากรากฐานและวิธีการใช ้ เนตรสวรรค์ วิธีการเช่นนี้คล้ายคลึงกับวิถีแห่งยันต์ ธรณีประตู ค่อนข้างสูง พิถีพิถันในเรื่องของคุณสมบัติและฐานกระดูกของคนที่ เล่าเรียน จะสาเร็จหรือไม่สาเร็จก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้อยู่ที่กาลังคน แต่อยู่ที่ฟ้ าลิขิตเท่านั้น มีเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าที่ทาได้ ต่อให้เป็ นศาลเถื่อนที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราช สานัก แต่กลับสร ้างร่างทอง ก่อตั้งศาล ก็จะสามารถเข้าใจวิชาบทนี้ ได้ทันทีนอกจากกองโหราศาสตร ์ของแต่ละแคว้นแล้วก็มีคน มหัศจรรย์ที่เดินทางพเนจรไปทั่วทิศและพวกหมอดู
หวงเลี่ยเอ่ย “เข้าไปขอชาสักถ้วยดื่มดีไหม?”
กู้ช่านส่ายหน้า “ไปเดินเล่นที่อื่น เดินไปถึงที่ไหนก็ที่นั่น”
ธุลีแดงหมื่นจังรมอยู่บนร่างมนุษย์ ฟ้ าดินคือเตาหลอม หลอม โอสถทอง
คนบนโลกต่างก็พูดกันว่าเป็ นเทพเซียนดี โอสถทองหนึ่งเม็ด ต้องท าให้เป็ นอมตะได้แน่นอน เพียงแต่ไม่รู ้ว่าการฝึกบาเพ็ญตนนั้น ยาก บางทีจิตใจอาจหลอมกลั่นจนเหลือเพียงขี้เถ้า
เดินๆ หยุดๆ ตลอดทาง มองสีต้นหลิวอย่างเศร ้าระทม วสันตฤดู ค่อยๆ เข้มข้นยาวนาน
ในฟ้ าดินภาพสะท้อนจิตใจของเฉินผิงอัน
เห็นเพียงว่าบนหัวกาแพงเมือง ด้านหลังหม่าขู่เสวียนมีโจวมี่ยืน อยู่ คล้ายกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศาลเถื่อน ร่างทองมลังเมลือง คลี่ยิ้มนุ่มนวล ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยประโยคว่าในที่สุดก็ได้พบกันอีกแล้วเท่านั้น
แม้จะรู ้ดีว่าต้องเป็ นตัวปลอม แต่อารมณ์ของเฉินผิงอันก็ยังแปลก ประหลาด ขมวดคิ้วถาม “ท าได้อย่างไร?”
หม่าขู่เสวียนเอ่ยอย่างมาดมั่น “เรียกขวัญ”
ดวงตาของหม่าขู่เสวียนฉายประกายเร่าร ้อนคล้ายกับตัวเองเป็ น ผู้ออกปริศนายากใหญ่เทียมฟ้ ารอให้เฉินผิงอันไปไขค าตอบ “ความจาเจ้าดีมากมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนใกล้กับตรอก ซิ่งฮวาและตรอกหนีผิงก็มีเรื่องแบบนี้เป็ นประจาไม่ใช่หรือ ลืมแล้ว หรือไร? เวลาที่พวกเด็กๆ ตกใจขวัญหาย พ่อแม่ก็มักจะจูงพวกเขา ไปเดินตามถนนตรอกซอกซอยและชายป่า คอยเรียกชื่อพวกเขาไป ตลอดทาง ราวกับว่าต้องการช่วยเรียกวิญญาณที่หลงทางให้กลับ เข้าบ้าน กลับเข้าร่าง ในโลกมนุษย์มีวิชาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ
มากน้อยแค่ไหนที่หายสาบสูญไป ข้าก็แค่เก็บขึ้นมาใหม่เท่านั้น ผลลัพธ ์เป็ นอย่างไรล่ะ? ตกใจเลยใช่ไหม? สามารถทาให้เฉินอิ่นก วาน เซียนกระบี่เฉินที่เห็นโลกกว้างใหญ่มาจนชินเกิดใจหวาดกลัว เช่นนี้ได้ ไม่เสียแรงที่ข้าวางแผนมานาน สิ้นเปลืองบุญกุศลไปนับไม่ ถ้วน ไม่ขาดทุนเลย”
เฉินผิงอันถาม “เคยคิดถึงผลลัพธ ์ที่จะตามมาหรือไม่?”
การขานรับของคนและฟ้ าที่ผู้ฝึกบาเพ็ญตนในโลกคิดถึงคานึง หาอยู่ตลอดเวลา ต่างก็พูดกันว่าเป็ นคนที่ขานรับกับฟ้ าและดิน เจ้า หม่าขู่เสวียนไม่กลัวหรือว่าโจวมี่ที่ยึดครองซากปรักสรวงสวรรค์เก่า อยู่บนสวรรค์จะเกิดการเชื่อมโยงกับโลกมนุษย์แล้วแบ่งร่างออกมา เยื้องกรายยังพื้นดิน ก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งยัง เป็ นช่วงเวลาสาคัญที่บรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคาไปแล้วด้วย
หม่าขู่เสวียนคล้ายจะได้ยินเรื่องตลกที่ขาที่สุด “เจ้าบุกมาฆ่าถึงที่ แล้วยังจะมาโน้มน้าวข้าไม่ให้ทุ่มไหแตกให้แหลกอีกหรือ? ข้าจะเก็บ ท่าไม้ตายนี้ไว้ทาไม เอาไว้ใช ้ตอนไหว้บรรพบุรุษหน้าหลุมศพปีหน้า หรือ?”
เฉินผิงอันเงียบงัน
หม่าขู่เสวียนจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมานานหลาย ปีผู้นั้น เอ่ยเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า “ตอนนี้จะให้ทางเลือกเจ้าสองทาง หากไม่ถอยออกไปจากสกุลหม่าทันที ความแค้นเก่าให้ถือว่าหายกัน
ไป และข้าก็จะโน้มน้าวให้พวกเขายกเลิกความคิดที่จะเสวยสุขกับ ควันธูปที่ได้รับจากการเซ่นไหว้ กลายเป็ นเทพที่เป็ นอมตะ ปล่อย ให้แก่ชราไปทีละวันสุดท้ายถึงวันที่อายุขัยหมดสิ้น หรือไม่เพื่อแก้ แค้นส่วนตัว เจ้ายอมเสี่ยงให้โลกมนุษย์ทั้งใบถูกกระชากเข้ามาใน น้าวนแห่งความอันตราย เป็ นศัตรูกับข้า แน่นอนว่ามีแค่ความเสี่ยงนี้ เท่านั้น ข้าไม่ได้บอกว่าท่านที่ถูกเรียกขวัญมายืนอยู่ด้านหลังข้าผู้นี้ จะต้องมีความสามารถมากมายจนถึงขนาดสร ้างหายนะให้กับโลก มนุษย์ได้ เจ้า สามารถ เดิมพันได้!”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คาว่าผลลัพธ ์ที่ข้าพูดถึง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟ้ าดินแห่งนี้สักเท่าไร ตั้งตัวจากมือเปล่าดุจนก นางแอ่นคาบโคลนมาทารังกับการเก็บกวาดเรื่องเละเทะ ข้าค่อนข้าง ถนัด ข้าพูดถึงตัวเจ้าเองที่อยากให้ชิงหมิงปีหน้า หม่าเหยียนซานกับ หม่าเหยียนเหมยมาดื่มสุราคารวะให้กับพี่ชายใหญ่ที่เป็ นเสาคาน ส าคัญของตระกูลส าหรับพวกเขาอย่างเจ้ามากขนาดนี้เลยหรือ? เทพหม่าแห่งตรอกซิ่งฮวามีพระคุณในการช่วยทาคลอดข้า ท่านย่า ของเจ้าจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ ์เก่าก่อนได้ แต่ข้ากลับต้องเห็นแก่ น้าใจในส่วนนี้ สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว แม้เรื่องนี้จะเป็ นการค้าครั้ง หนึ่ง เป็ นหนึ่งในการค้ามากมายที่นางเคยทา แต่ตอนที่ข้าอายุยัง น้อยก็เคยได้ยินคนเล่าว่าตอนที่แม่ข้าให้กาเนิดข้า ระหว่างการคลอด ไม่ได้ราบรื่นนัก ค่อนข้างจะอันตราย ดังนั้นปีนั้นพอพ่อข้าได้รับคา เชิญถึงได้ออกจากเตาเผาเป่าซีเตาเผาเดิมของตัวเองไปเป็ นช่างเผา
เครื่องกระเบื้อง สั่งสอนลูกศิษย์ให้กับเตาเผาของพวกเจ้า นั่นก็เพราะ เห็นแก่บุญคุณในส่วนนี้ สกุลหม่าตรอกซิ่งฮวามีการอบรมสั่งสอน ประจาตระกูลของสกุลหม่าตรอกซิ่งฮวา สกุลเฉินตรอกหนีผิงของ พวกเราก็มีขนบธรรมเนียมประจ าตระกูลของสกุลเฉินตรอกหนีผิง เหมือนกัน ดังนั้นข้าถึงได้โน้มน้าวเจ้ามาโดยตลอดว่าอย่าได้ท าอะไร สุดโต่งเกินไป ควรเหลือทางถอยให้กับตัวเองบ้าง ข้าสามารถรอให้ เจ้ามาแก้แค้นข้าในอนาคตได้”
หม่าขู่เสวียนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิด ผิดแล้ว ข้าไม่ได้อยากจะแก้แค้นให้พวกเขาในวันใดวันหนึ่งเพียงแค่ เพราะว่าพวกเขาให้ก าเนิดข้า ข้าแค่อยากจะตอบแทนบุญคุณ ชดใช ้ หนี้ครั้งนี้ให้ เพื่อที่จะได้ตัดขาดความสัมพันธ ์กับพวกเขา ดังนั้นเจ้า มาแก้แค้นถึงที่ นี่ก็คือเงื่อนตายระหว่างพวกเรา ตอนที่อายุยังน้อย ทาไมพอข้าได้เงินถุงนั้นมาแล้วถึงได้จงใจแพร่งพรายข้อมูลที่เจ้า กับหนิงเหยาไปแอบอยู่ในสุสานเทพเซียน? หรือเพราะข้าโลภมาก อยากได้เงินน้อยนิดแค่นั้น? ทาไมทั้งๆ ที่ข้ารู ้สึกว่าเจ้าและข้าคือคน บนเส้นทางเดียวกัน ในบรรดาคนวัยเดียวกันของถ้าสวรรค์หลีจู ข้า ถูกชะตากับเจ้ามากที่สุด แต่กลับจงใจเพิ่มผลกรรมระหว่างทั้งสอง ฝ่ าย นี่ก็เพื่อให้วันใดวันหนึ่งที่เจ้าและข้าได้พบเจอกันจะสามารถ ตัดสินเป็ นตายกันได้เร็วหน่อย อย่าได้ถ่วงเวลาล่าช ้า ไม่ว่าใครจะฆ่า ใครตายก็สามารถชาระความแค้นของสองตระกูลไปให้จบสิ้นพร ้อม กัน ผลคือการแสดงออกของเจ้าในวันนี้กลับทาให้ข้า…”
หม่าขู่เสวียนหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสองคาออกมา อย่างเนิบช ้าว่า “ผิดหวังมาก”
เฉินผิงอันกล่าว “หม่าขู่เสวียน คนที่สร ้างปมความขัดแย้งไม่ใช่ ข้า อันที่จริงคือเจ้าเพราะเจ้าไม่ยอมรับในรากฐานของตัวเองมาโดย ตลอด ส่วนลึกในหัวใจของเจ้ารังเกียจชิงชังความเป็ นมาที่ตัวเจ้าเอง ยังจาได้อย่างแจ่มชัด แล้วก็มองไม่เห็นโชคชะตาของวันพรุ่งนี้ ดังนั้น เจ้าถึงได้มีสหายคนเดียวเป็ นอวี๋สืออู้ที่สภาพการณ์คล้ายคลึงกัน ทั้ง ไม่ยอมรับความเป็ นมาของตัวเอง แล้วก็หาไม่เจอว่าตัวเองจะไปทาง ใด เจ้ากลายเป็ นจอกแหนไร ้รากอยู่บนโลกใบนี้”
“ในเมื่อเมื่อวานล้วนทาผิดพลาด ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ก็มีแต่จะ ทาผิดมากยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นเจ้าจึงรอคอยวันนี้อยู่ตลอด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้ว หัวเราะ ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น “ข้ารู ้รสชาตินี้ดี เพราะตัวข้าเองก็เดิน ผ่านมาแล้วเหมือนกัน เจ้าพูดไม่ผิดหรอก พวกเราคือคนบนเส้นทาง เดียวกันอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดในช่วงระยะทางที่ใหญ่มากบน เส้นทางชีวิตมนุษย์ก็ล้วนคล้ายคลึงกัน”
หม่าขู่เสวียนกล่าว “น่าเสียดายที่พวกเราถูกลิขิตมาแล้วว่าไม่ อาจเป็ นสหายกัน ถ้าอย่างนั้นก็ให้ “วันนี้” ที่รอคอยอย่างยากลาบาก มานานแสนนานสาแก่ใจสักหน่อย อย่าให้กลายไปเป็ นเหมือนเหล้า ภูเขาชิงเสินในร ้านเหล้าของพวกเจ้าที่ใครดื่มก็ต้องขมวดคิ้ว ข้าดื่ม
แล้ว แล้วยังตั้งใจไหว้วานให้คนหามาให้อีกสองกาด้วย หลอกลวงกัน เกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “คาพูดเลอะเทอะเช่นนี้ แค่ฟังก็รู ้ว่าออกมา จากปากของคนที่ไม่ชอบดื่มเหล้า ดื่มเหล้าดูแค่สถานที่เท่านั้น อยู่ที่ ร ้านต้องจ่ายแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียว มือหนึ่งมอบเงินมือหนึ่งส่ง ของ ดื่มหมดก็จบเรื่อง กับไหว้วานสหายให้ซื้อจากกาแพงเมือง ปราณกระบี่ผ่านภูเขาห้อยหัวมาถึงที่แจกันสมบัติทวีป เหล้าแบบ เดียวกัน แต่รสชาติจะเหมือนกันได้หรือ? สิ่งที่เจ้ารอคอยก็ไม่ใช่ รสชาติของเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญแล้ว”
หม่าขู่เสวียนยิ้มถาม “ทาไมจู่ๆ ถึงมีอารมณ์อยากจะพูดคุย ขึ้นมาล่ะ?”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปยัง “โจวมี่” ที่ตัวสูงสองจั๋งกว่า “ก็เพราะ อยากเห็นอย่างไรล่ะว่าพี่ชายท่านนี้จะสามารถประคับประคองตัวได้ นานแค่ไหน ทุกวันนี้เจ้าเป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว หากอัญเชิญ ภาพลวงของขอบเขตสิบสี่มาได้ต้องไม่ยินดีจะเปลืองน้าลายพูดกับ ข้าแม้แต่ครึ่งประโยคแน่นอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้แต่ถ่วงการปะทะ เอาไว้ หากเป็ นคู่ต่อสู้ขอบเขตบินทะยาน ด้วยนิสัยของเจ้า ติดขัดที่ ศักดิ์ศรีหน้าตา อย่างมากสุดฝืนใจพูดคุยกันได้แค่ไม่กี่ประโยค เจ้าก็ คงขัดจังหวะคาพูดของข้า ข้าก็คงได้แต่รบไปถอยไป ตอนนี้ดูแล้ว อย่างมากสุดก็น่าจะเป็ นแค่บินทะยานปลอม ขอบเขตเซียนเหริน แต่ กลับมีวิชากันกรุของขอบเขตบินทะยานอยู่หลายบท จุดธูปหนึ่งดอก
อัญเชิญร่างจริงลงมา เวลาที่ประคับประคองตัวได้ก็ไม่สั้น เจ้าก็เลยไม่ ร ้อนใจสักนิด?”
หม่าขู่เสวียนจุ๊ปาก “ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่ เลวทรามจริงๆ”
จู่ๆ บนท้องฟ้ าก็มีหิมะใหญ่เท่าขนห่านหล่นร่วงลงมา เกล็ดหิมะถี่ หนา ไม่รู้ว่าลงมาจากฟ้ าหรือบินลอยขึ้นไปบนฟ้ ากันแน่
หม่าขู่เสวียนเคยได้ยินว่าผู้ฝึกกระบี่ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่า หลังจากตายไปล้วนไม่มีหลุมฝังศพ แน่นอนว่าจึงไม่มีขนบธรรมเนียมการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
หิมะครั้งนี้ หัวกาแพงเมืองก็เหมือนสุสาน เกล็ดหิมะจ านวนนับไม่ ถ้วนคล้ายกับกระดาษเงินสีขาวจานวนมากเกินจะนับที่ร่วงตกลงมา เพื่อเซ่นไหว้เหล่าวิญญาณวีรบุรุษ
คนกลายเป็ นคนโบราณ สถานที่กลายเป็ นซากปรัก เรื่องราว ทั้งหลายล้วนกลายเป็ นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว
หม่าขู่เสวียนคลี่ยิ้มสดใส เอ่ยเรียกว่า “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หืม?”
พริบตานั้นภาพเหตุการณ์ผิดปกติพลันบังเกิด เห็นเพียงว่าม่าน ฟ้ าทั้งผืนเกิดเป็ นบ่อสายฟ้ าที่มารวมตัวกัน พลังอานาจน่าครั่นคร ้าม ประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์ที่ผู้ฝึกตนใหญ่ชักนามายามปิดด่าน ทันใดนั้น ก็มีสายฟ้ าหนาเท่ายอดเขาเส้นหนึ่งแยกตัวออกมา หักเหอยู่กลาง
อากาศหลายตลบ พริบตาเดียวก็กลายเป็ นเส้นตรง ยิ่งนานยิ่งรวมตัว กันหนาแน่น เส้นเล็กบางลงเรื่อยๆ พลังอานาจที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้นก็ ยิ่งน่าตื่นตะลึง ประหนึ่งกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งที่พุ่งมาเตรียมจะชน เฉินผิงอัน กระทั่งสายฟ้ าสีทองเส้นนี้กาลังจะกระแทกศีรษะของเฉิน ผิงอันก็ไม่รู ้ว่าเฉินผิงอันไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงหรืออยากจะประเมิน น้าหนักของ “สายฟ้ าสวรรค์เส้นนี้กันแน่ เขาถึงกับไม่ขยับไปไหน ปล่อยหมัดต่อยออกไป “ปลายกระบี่ แตกระเบิด ในรัศมีร ้อยจั๋งรอบ ด้านมีสะเก็ดดาวสีทองจ านวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น ยิ่งขับเน้นให้ เฉินผิงอันเหมือนอยู่ในเรือนอัคคีที่ใช ้ตีเหล็กหลอมกระบี่
เพียงแต่ว่ากระบี่เล่มนี้ หรือควรจะพูดว่าสายฟ้ าจากสวรรค์เส้นนี้ พอร่วงลงมาแล้วกลับมีพลานุภาพที่ไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีอย่างเต็ม กาลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเลย
และหม่าขู่เสวียนผู้นั้นก็ไม่ได้ร่ายปราณวิญญาณออกมาใช ้ แม้แต่น้อย ในมือทั้งไม่มีการใช ้ยันต์ แล้วก็ไม่มีการท่องคาถาชักน า สายฟ้ า
สายฟ้ าแบ่งออกเป็ นห้าสี เป็ นห้าธาตุที่หมุนเวียนกันพอดี ก่อเกิด ไม่ดับสลาย ถูกจาแลงออกมาจากบ่อสายฟ้ าแห่งนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้จังหวะเฉินผิงอันได้เปลี่ยนลมหายใจ สายฟ้ าเส้นแล้วเส้นเล่าก็ พุ่งลงมาบนหัวก าแพง
ห้าอสนีผ่าลงหัว เดิมทีนี่ก็คือภาษาของลัทธิเต๋า เพียงแค่ เพราะว่าพลานุภาพยิ่งใหญ่เกินไป หยั่งลึกลงไปในจิตใจคนเกินไป
เป็ นเหตุให้ชาวบ้านและยังมีพวกชายชาตรีในยุทธภพมักจะชอบพูด กันว่าหากผิดค าสาบานก็ขอให้เมฆมารวมตัวกันเหนือศีรษะ แล้ว ขอให้ฟ้ าผ่าลงหัว
หม่าขู่เสวียนหดย่อพื้นที่ไปแล้ว เรือนกายออกห่างไปจากสนาม รบพุ่งไปยังจุดอื่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เวทคาถานับร ้อยนับพันในโลก มนุษย์มีให้ผู้ฝึกลมปราณฝึกฝน ทว่าวิชาอภินิหารกลับเป็ นเรื่องใน บ้านข้า”
ไม่รู ้ว่าแบกรับอสนีสวรรค์ไปกี่สิบเส้น หมัดของเฉินผิงอันแตกยับ เลือดโชก สามารถเห็นกระดูกขาวที่อยู่ข้างใน แขนทั้งข้างชาหนึบ ได้แต่สะบัดแขน แต่กระนั้นก็ยังมีสายฟ้ ายาวล้อมพันแขน สายฟ้ า ประหนึ่งงูสีขาวหิมะสิบกว่าตัวถูกเฉินผิงอันสะบัดลงบนพื้น
เฉินผิงอันประหลาดใจอยู่บ้าง ท าไมหม่าขู่เสวียนถึงไม่ฉวย โอกาสนี้ขว้างวิชาอภินิหารมากกว่าเดิมใส่เขา?
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่พูดคุยกันมีการพูดถึงจวนเทียนซือของ ภูเขามังกรพยัคฆ์ มองดูเหมือนหม่าขู่เสวียนพูดจาก าเริบเสิบสาน ดู แคลนวิชาห้าอสนีดั้งเดิมของจวนเทียนซือ ถึงขั้นยังรู ้สึกว่าตัวเองมี คุณสมบัติพอจะถ่ายทอดวิชาสายฟ้ าที่แท้จริงให้กับจ้าวเทียนไล่ ต่อ ให้หม่าขู่เสวียนจะหัวสูงมองไม่เห็นใครมากแค่ไหนก็ไม่รู ้สึกว่า ความสามารถในด้านนี้ของตนจะเหนือกว่าจ้าวเทียนไล่ได้ เพียงแต่ ว่าหม่าขู่เสวียนเป็ นเทพที่กลับชาติมาจุติ ชาติกาเนิดมาจากกรม
สายฟ้ าของสรวงสวรรค์เก่า เรียกตัวเองว่าเป็ นบรรพบุรุษของวิชา สายฟ้ าก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยจริงๆ
หม่าขู่เสวียนพูดกลั้วหัวเราะอยู่ไกลๆ “จงใจให้โอกาสเจ้าได้ ผลัดเปลี่ยนลมปราณแต่เจ้ากลับไม่ยอมทา ประมาทถึงเพียงนี้ ทั้งยัง คิดจะอาศัยโอกาสนี้ขัดเกลาปณิธานหมัดและหล่อหลอมเรือนกายไป พร ้อมกัน ผู้ฝึ กยุทธขอบเขตสิบอย่างพวกเจ้าช่างร ้ายกาจจริงๆ อิจฉาๆ อิจฉายิ่งนัก”
ระหว่างที่พูด ยิ่งนานบ่อสายฟ้ าทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งลดลงต่า ทาท่า เหมือนจะกดลงเหนือหัว ท าให้คนหายใจไม่ออก บ่อสายฟ้ ากว้าง ใหญ่ไพศาลที่ไม่รู ้ว่าสะสมปณิธานแห่งความโบราณเก่าแก่ไว้กี่มาก น้อยก็เหมือนบ่อน้าลึกบ่อหนึ่งที่สะสมน้าเอาไว้แล้วถูกหม่าขู่เสวียน ใช ้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แบ่งร่องคูสายหนึ่งออกมา ชักนามาถึงบนร่าง ของเฉินผิงอัน สร ้างเป็ นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับน้าในลาคลอง ไหลลงสู่ปากบ่อน้า ทาทุกอย่างนี้สาเร็จในรวดเดียว สายฟ้ าที่ ปณิธานเข้มข้นเหมือนของเหลว เนื่องจากจานวนที่สายฟ้ าฟาดลง มามีถี่เกินไป ต่อเนื่องกันอยู่ตลอด เสียงฟ้ าผ่าที่เดิมทีพอจะมีช่องว่าง อยู่บ้างก็เปลี่ยนเป็ นฟ้ าร ้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย ประหนึ่งมีเทพตีกลอง อยู่ในก้อนเมฆแล้วมีคนเอาหูไปแนบบนหน้ากลองอย่าว่าแต่เฉินผิง อันที่เป็ นคนในสถานการณ์เลย แม้กระทั่งหม่าขู่เสวียนก็ถูกกระเทือน จนเจ็บหน้าอก ยื่นมือออกมานวดหูเบาๆ หลุดหัวเราะเอ่ยว่า “ภาพ มายาในหัวใจ ล้วนเป็ นเพียงภาพลวงตา”
กาแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดิมที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ถูกสายฟ้ า ฟาดหลายร ้อยเส้นจนกระเทือนพังถล่ม เงาร่างเล็กเท่าเมล็ดงาของ คนที่สวมชุดสีแดงสดยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักใช ้สองหมัดต้านทาน ทัณฑ์สวรรค์ต่อไป ทุกครั้งที่ปล่อยหมัด รอบด้านจะต้องเกิดเป็ นภาพ ฉากงดงามจับตาที่แสงไฟนับหมื่นนับล้านสาดประกายเจิดจ้า แยกไม่ ออกว่าเป็ นทะเลเพลิงหรือเป็ นการกระจายตัวของดวงดาวบน ห้วงอากาศที่กว้างใหญ่ไร ้ที่สิ้นสุดกันแน่
“เจ้ายังกล้าพูดว่าจะใช้แค่สถานะของผู้ฝึกยุทธมารับมือกับศัตรู อีกหรือ? จะไม่ร่ายเวทหดย่อพื้นที่หรือวิชากระบี่จริงๆ หรือ?”
“ข้าอยากจะเห็นนักว่าลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของปรมาจารย์ ขอบเขตปลายทางจะสามารถประคับประคองไว้ได้นานสักเท่าไรกั