กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1096.1 อิงภูเขา
หลังฝนตกในภูเขาอากาศก็เริ่มเย็นสบาย กลางวันยาวนานไร ้ เรื่องใด มีเวลาว่างนั่งสงบ
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะตรงตีนเขาต่างก็นั่งไขว่ห้าง แทะเมล็ดแตงพูดคุยกันเรื่องไม่เป็ นเรื่อง ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่าง เอ้อระเหยเช่นนี้
พวกเขาสองคนคือพี่น้องที่รักที่มีชื่อเสียงและปณิธานยาวไกล ของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องบ าเพ็ญตบะ ไม่ต้องฝึ กหมัด ท าไมเล่า? ก็ พวกเราสองพี่น้องต่างก็เป็ นคนมีพรสวรรค์อันดับหนึ่งเลยน่ะสิ
“ไม่พูดถึงเรื่องผู้มีพรสวรรค์ คนที่สามารถขึ้นเขาไปฝึ กตนได้ ความสามารถในระดับเดียวกัน บนเส้นทางของการฝึกตนจ าเป็ นต้อง อ้อมผ่านหลุมบ่อบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นสายยันต์ที่มีธรณีประตูสูง มาก กินเงินเยอะ ยิ่งจาเป็ นต้องมีอาจารย์คอยช่วยชี้แนะ ไม่อย่างนั้น หากไม่ทันระวังปล่อยเวลาทั้งชีวิตให้ผ่านไปอย่างไร ้ประโยชน์ จะยังมี อะไรให้พูดอีกเล่าจะพูดเรื่องบินทะยานได้อย่างไร นี่เรียกว่าสตรีกลัว แต่งให้ผิดคน บุรุษกลัวจะท าผิดอาชีพ”
“ใช่เลยๆ พี่ใหญ่ต้าเฟิงพูดถูกแล้ว พูดถูกต้องมากๆ เลย”
“หลุมบางหลุมอาจจะตื้นหน่อย เคยเสียเปรียบมาก่อน เห็นท่าไม่ ดียังพอจะคลานออกมาได้ แต่หลุมบางหลุมกลับลึกมาก กระโดดลง ไปก็ปืนขึ้นมาไม่ได้แล้ว กลัวที่สุดว่าจะยังไปเจอกับหลุมไร ้กันที่ลึกจน มองไม่เห็นก้นบึง”
“พี่ใหญ่ต้าเฟิงคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ของแจกันสมบัติทวีปพวกเรา อาชีพนี้ธรณีประตูไม่สูง คงไม่ถือเป็ น หลุมอะไรหรอกกระมัง?”
“นี่ไม่เรียกว่าหลุม”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “คือหน้าผา”
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน ไม่ได้พูดอะไร หากตัวเองยังเอ่ย คล้อยตามอีกฝ่ายอีกก็จะผิดต่อมโนธรรมในใจแล้วจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะร่วน “จานวนคนที่เรียนวรยุทธนอกภูเขา แน่นอนว่าต้องมีมากกว่าจานวนนักพรตที่อยู่ในภูเขามากนัก แต่เจ้า ไม่ควรรู ้สึกว่าการเรียนวรยุทธเป็ นหลุมได้เพียงแค่เพราะเรื่องนี้ แล้ว เจ้าก็ไม่อาจเห็นว่าเฉินผิงอันกับเฉาสือต่างก็อายุน้อย ขอบเขตสูง บินอยู่บนฟ้ าก็เลยรู ้สึกว่าอาชีพนี้ทากันได้ง่ายนะ”
และเวลานี้เอง บนเส้นทางภูเขาที่ห่างไปไม่ไกลก็มีเทพเซียนผู้ เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนคนหนึ่งเดินมา เขามีเครายาวสาม หย่อม ชุดเต๋าพลิ้วไสวไปตามสายลม ก็คือลู่ยงเจ้าตาหนักพยัคฆ์ เขียวแห่งใบถงทวีป
ผู้เฒ่าถือแล้ปัดฝุ่ นไว้ในมือ เดินด้วยท่าก้าวเดินสี่ก้าวอย่างมั่นคง แค่มองก็เห็นว่ามีพลังอ านาจน่าเกรงขามอย่างมาก
หากใช ้ค ากล่าวของพ่อครัวเฒ่าบ้านตน บนภูเขาไม่ใช่เทพเชีย นพสุธา ในที่ว่าการไม่ใช่ท่านนายอ าเภอก็ไม่อาจเดินออกมาเป็ น ท่วงท่าที่มีพลังอานาจเช่นนี้ได้เด็ดขาด
เฉินหลิงจวินเพ่งตามองแล้วก็รีบลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อ สองข้าง ก้าวยาวๆ ออกไปข้างหน้า “โอ้โห นี่ไม่ใช่พี่ใหญ่ลู่หรอกหรือ แขกที่หาได้ยาก แขกที่หาได้ยาก!”
เจินเหรินผู้เฒ่าหยุดเดินแล้วก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า ยิ้ม เอ่ยว่า “มาเองโดยไม่ได้รับเชิญ รบกวนแล้ว รบกวนแล้ว”
จากนั้นลู่ยงก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคทันทีว่า “ผินเต้ามองมาเห็น สหายจิ่งชิงและปรมาจารย์เจิ้งแต่ไกลแล้ว สมกับคากล่าวว่า นักปราชญ์ถูกธรรม ล้าเลิศเฉิดฉายดั่งฟ้ าคราม ผู้เงียบสงบนั่งนิ่ง งามเฉิดฉันท์ดังหยกขาว ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
ทุกวันนี้เจิ้งต้าเฟิ งไม่ใช่คนเฝ้ าประตูแล้วจึงไม่ได้ลุกขึ้นรับรอง แขก ได้ยินประโยควิจารณ์ประโยคนี้ของลู่ยงก็รู ้สึกนับถืออีกฝ่ ายยิ่ง นัก ไม่เสียแรงที่เป็ นเงินเหริน มีความรู ้ที่แท้จริงและลึกซึ้ง เจอใครก็ พูดความจริง
เฉินหลิงจวินทอดถอนใจเอาอย่างนายท่านเจ้าขุนเขาของตน “เอาแต่พูดจาตามมารยาทห่างเหินกัน ดูถูกใครน่ะ พี่ใหญ่ลู่มาถึง
ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรายังต้องบอกกล่าวกับใครล่วงหน้าก่อนอีก หรือ? คาพูดนี้ไม่น่าฟังเอาเสียเลย ไม่มีคุณธรรม พวกเราเป็ นคนที่ เห็นแต่ผลประโยชน์ ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ ์เก่าก่อนหรือ? ตบหน้า ข้าหรือไร ก็ไม่เป็ นไรหรอกพวกเราสองพี่น้องเป็ นใครกับใคร อย่าง มากแค่นั่งลงบนโต๊ะสุราดื่มด้วยกันสักสองถ้วยก็ถือว่าหายกันแล้ว แต่ตบหน้านายท่านบ้านข้าไม่ได้หรอกนะ ไม่ได้เด็ดขาดเชียว”
ลู่ยงหัวเราะฮ่าๆ เปลี่ยนจากการคารวะตามขนบลัทธิเต๋ามาเป็ น การกุมหมัดของคนในยุทธภพ เขย่าหมัดแรงๆ “เป็ นพี่ชายที่ไร ้ เหตุผลไปเอง เดี๋ยวคราวหน้านั่งลงบนโต๊ะด้วยกันจะดื่มลงโทษตัวเอง ก่อนสามถ้วย”
เฉินหลิงจวินใช ้เสียงในใจถาม “ทุกวันนี้พี่ใหญ่ลู่คือคนที่ยุ่งมาก มีเรื่องอะไรไม่อาจบอกกล่าวในจดหมายได้ ถึงกับจ าเป็ นต้องมาเยือน บนภูเขาด้วยตัวเอง? คงไม่ใช่ว่าเจอเรื่องยากล าบากอะไรหรอกนะ? สามารถบอกกับน้องชายเป็ นการส่วนตัวได้หรือไม่? หากช่วยได้ จะต้องช่วยแน่นอน ถ้าไม่ยอมช่วยจะเป็ นหลานให้เลย”
ลู่ยงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่า “สหายจิ่งชิงบอกตามตรง ข้ามีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า จ้าวจู้ ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเองหรอกนะ แต่คุณสมบัติในการฝึกตนของ จ้าวจู้นับว่ายังพอใช ้ได้ นิสัยใจคอก็ยิ่งไม่เลว ก็เลยคิดว่าจะสามารถ ช่วยให้ลูกศิษย์คนนี้มีที่นั่งรั้งท้ายสุดในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้ เซ่อพวกเจ้าได้หรือไม่ เป็ นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อที่สามารถเข้า
ร่วมการประชุมได้ก็พอ เมื่อเป็ นเช่นนี้วันหน้าหากข้าปลดภาระหนัก อึ้งบนบ่าลงได้แล้ว คิดจะใช ้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลาย ให้จ้าวจู้ สืบทอดตาแหน่งเจ้าตาหนักต่อก็จะยิ่งสมเหตุสมผล มีเหตุผลอันชอบ ธรรมแล้ว”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากเพียงแค่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาอย่างเดียว ก็ดูว่าจะไม่มีความจริงใจสักเท่าไร ราวกับว่าต าหนักพยัคฆ์เขียวออก คาสั่งกับภูเขาลั่วพั่วอย่างไรอย่างนั้น
ลู่ยงไม่คิดว่าตัวเองจะหน้าใหญ่ขนาดนั้น ดังนั้นจึงต้องมาเยือน ด้วยตัวเอง มาพบเจ้าขุนเขาเฉินเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ให้ดีๆ ถึงจะได้ ส่วนความมั่นใจน่ะหรือ พอจะมีอยู่บ้าง
เฉินหลิงจวินนวดคลึงปลายคาง ตั้งใจครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พูด ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จ้าวจู้หรือ จ าได้ เคยเจอมาก่อน เป็ นคนดี หาก เป็ นแค่เค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อทั่วไปก็ไม่ยากเลยสักนิด แต่หาก จะบอกว่าเป็ นเค่อชิงที่มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ของพวกเราก็ไม่ ถือว่าเป็ นเรื่องเล็กอะไรแล้ว ข้าไม่อาจช่วยรับปากแทนนายท่านเจ้า ขุนเขาอย่างส่งเดชได้ แต่ข้าสามารถรับประกันสองเรื่องได้ หนึ่งคือ รอให้นายท่านเจ้าขุนเขากลับภูเขามาจะบอกเรื่องนี้ให้นายท่านเจ้า ขุนเขารู ้เป็ นการส่วนตัว จะช่วยพูดค าดีๆ ถึงเจ้าเด็กจ้าวจู้นั่น ช่วย ส่งเสริมเขาสักหน่อย อีกอย่างก็คือหากนายท่านเจ้าขุนเขารู ้สึกว่า เรื่องนี้สามารถทาได้ รับเข้าเป็ นมติในการประชุมของยอดเขาจี้เซ่อ ไปปรึกษากันในศาลบรรพจารย์ว่าเรื่องนี้จะทาได้หรือไม่จริงๆ ข้าก็
จะต้องเป็ นคนแรกที่ให้การสนับสนุนอย่างแน่นอน จะไม่อิดออด เด็ดขาด!”
” ลู่ยงเอ่ยขอบคุณจากใจจริง ก่อนถามเสียงเบาว่า “ตอนนี้เจ้า ขุนเขาเฉินไม่อยู่ในภูเขาหรือ?
เฉินหลิงจวินอิ่มรับ “ลงจากภูเขาไปแล้ว นายท่านบ้านข้ามักจะ ยุ่งเช่นนี้เสมอ”
เด็กชายชุดเขียวร ้องฮ่า “ดังนั้นพวกเราถึงได้ว่างกันขนาดนี้ไง ล่ะ”
“ไม่เกิดความผิดพลาดในความยุ่ง ในความว่างงานไร้ปัญหา ล้วนต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงกันทั้งนั้น”
” เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ขนบธรรมเนียมในภูเขาดีเช่นนี้ สหาย จิ่งชิงมีคุณความชอบอยู่ไม่น้อย
เฉินหลิงจวินจดจาคากล่าวนี้ไว้เงียบๆ นี่ต้องเป็ นถ้อยคาล้าค่าดุจ หยกดุจทองค าอย่างแน่นอน คราวหน้าจะได้เอาไปงัดข้อกับนังเด็กโง่ บางคนที่ดีแต่จะชอบตาหนิว่าตนเป็ นคนเอ้อระเหยไม่ท าการท างาน อะไร
ลู่ยงที่คิดว่าจะอยู่ที่นี่สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอได้เจอกับเจิ้งต้า เฟิง คุยเล่นกันไม่กี่ประโยคก็รู ้สึกถูกคออย่างมาก คนหนึ่งชมลู่ยงว่า พี่ใหญ่มีมาดแห่งเขียนเข้มข้น แค่นี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว แต่ ท่านยังมีกลิ่นอายมนุษย์มากเพียงพอ ล้าค่า ล้าค่า ส่วนอีกคนบอกว่า
น้องเจิ้งมีคุณความเหนื่อยยากสูง มองคุณความชอบเหมือนปุ๋ ยไร ้ค่า ไร ้กิเลสไร ้ปรารถนายิ่งกว่าผู้ฝึกบาเพ็ญตนเสียอีก ยิ่งคุยกันทั้งสอง ฝ่ ายก็ยิ่งถูกชะตากัน จึงนัดหมายกันดื่มเหล้าเจินเหรินผู้เฒ่าลู่หยิบ พู่กันลงนามกับนักพรตเซียนเว่ยแล้ว เฉินหลิงจวินจึงพาเงินเหรินผู้ เฒ่าไปพักที่เรือนสงบสง่างามแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ ์ระหว่างภูเขาลั่ว พั่วกับต าหนักพยัคฆ์เขียวค่อนข้างคล้ายคลึงกับหมู่บ้านสองแห่งล่าง ภูเขาที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ ์กัน เป็ นความสัมพันธ ์ที่แน่นหนายิ่งกว่า พันธมิตรทั่วไป
รอกระทั่งเฉินหลิงจวินลงจากภูเขามา กลับกลายเป็ นว่าได้พบ เจอใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปาก “วันนี้มันวันดีอะไร ถึงได้มีแขกพร ้อมใจกันมา เช่นนี้”
เห็นเพียงว่าบนเส้นทางมีสตรีเรือนกายอรชนอ้อนแอ้นเดินนวย นาดมาถึง สมกับเป็ นพี่สาวเทพธิดาที่สมชุดขนนกรัดเข็มขัดสี เรืองรอง
เมื่อพิศมองอย่างละเอียดจะพบว่าบนปลายจมูกของนางมีใฝ่ หนึ่ง เม็ด ไม่เพียงแต่เป็ นความน่าเสียดายที่หยกงามมีตาหนิ กลับกันยังให้ ความงดงามคล้ายการแต้มนัยน์ตามังกรอย่างหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร ้อย คิดว่าจะไปต้อนรับ สตรีที่ไม่รู ้ว่าเป็ นใครผู้นั้นด้วยตัวเองสักหน่อย อดีตคนเฝ้ าประตูก็คือ
คนเฝ้ าประตูไม่ใช่หรือ? ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่ชอบการข้าม แม่น้าแล้วรื้อสะพานหรอกนะ
เมื่อเจอกับสตรีผู้นั้นแล้วนางก็ยื่นเอกสารผ่านด่านฉบับหนึ่งมา ให้โดยตรง เจิ้งต้าเฟิงรับมาไว้ในมือ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ของ ปลอม เขาก็ต้องตกตะลึงไปไม่น้อย
ถึงกับเป็ นเอกสารผ่านด่านที่ทางศาลปุ่ นแผ่นดินกลางออกให้ โดยตรง
ได้ยินข่าวลือเล็กๆ บอกว่าหลายปีมานี้ รวมๆ กันแล้วทางฝั่งของ ศาลปุ่ นยอมควักเอกสารผ่านด่านออกมาแค่ร ้อยกว่าฉบับเองไม่ใช่ หรือ?
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึ กลมปราณที่มีสิทธิ์ได้รับเกียรติเช่นนี้ ส่วน ใหญ่คือผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของเปลี่ยวร ้าง รวมไปถึงพวกสายลับที่ใต้ หล้าไพศาลให้ไปแฝงตัวอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร ้างไม่ได้กลับบ้านเกิดมา นาน
บนเอกสารเขียนไว้ว่าเจิ้งชิงเจีย ฉายายวนหู แต่กลับไม่ได้เขียน ภูมิล าเนาและพรรคเอาไว้
ผู้ฝึกตนหญิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่กล้าปิดบัง อันที่จริงข้ามาจาก ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมเก่าเคยตั้งอยู่ที่นครจินชุ่ย ทุกวันนี้ถือว่าเป็ นผู้ฝึ กตนที่ยังไม่ได้รับเข้าท าเนียบของนคร จักรพรรดิขาว”
เจิ้งต้าเฟิงพลันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ก็ว่าแล้วว่าท าไมเขาถึงได้ รู ้สึกว่าฉายานี้คุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็ นเจ้านครของนครจินชุ่ยนี่เอง ฮ่า คือเจ้านครขอบเขตเขียนเหรินตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่งเลยหรือ?!
ทุกวันนี้ใช ้แซ่เจิ้งก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี
ชิงเจียพูดภาษาราชการของต้าหลีด้วยส าเนียงถูกต้องชัดเจน “ครั้งนี้มาเยือนแจกันสมบัติทวีปด้วยเรื่องสองเรื่อง หนึ่งคือรับคาสั่ง ของอาจารย์เจิ้งมาตามหากู้ช่าน ช่วยเหลือเขาในการสร ้างส านัก อย่างสุดกาลังความสามารถ สองคือมาพบผู้อาวุโสบางท่านของที่ บ้านเกิด หากสืบย้อนไปถึงต้นกาเนิดแล้ว ผู้อาวุโสท่านนี้ถือเป็ น บรรพบุรุษเปิดภูเขาของนครจินชุ่ยพวกเรา นครจินชุ่ยมีสภาพการณ์ อย่างในทุกวันนี้ได้ เจิ้งชิงเจียมีขอบเขตอย่างในทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็ น เขาที่มอบให้ นับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลคือเรื่องสาคัญ ทุกวันนี้ นครจินชุ่ยถือเป็ นพรรคใต้อาณัติของนครจักรพรรดิขาวแล้ว เรื่อง กลับเข้าตระกูลสาเร็จลุล่วงแล้วถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งต้องมาที่นี่เพื่อนับ บรรพบุรุษ”
เจิ้งต้าเฟิงเข้าใจกระจ่างชัดอยู่ในใจ
เสี่ยวโม่เคยทิ้งสายระบบการสืบทอดหกถ้าไว้ในใต้หล้าเปลี่ยว ร ้างจริงๆ แต่มีครั้งหนึ่งที่ทุกคนรวมตัวมาคุยเล่นกัน ตามคากล่าวของ เสี่ยวโม่ก็ดูเหมือนว่าที่นั่นจะเหลือควันธูปแค่สายเดียวแล้ว ไม่เป็ นโล้ เป็ นพาย มีแค่หมาแมวอยู่สองสามตัว ควันธูปอาจขาดสะบั้นได้ทุก เมื่อ ตามหลักแล้วปีนั้นควันธูปก้านนี้ที่เสี่ยวโม่เหลือเอาไว้ไม่ควรเป็ น
นครจินชุ่ยถึงจะถูกสานักที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างนครจินชุ่ยแห่ง เปลี่ยวร ้างนี้ ขนาดผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลยังเคยได้ยินมา ก่อน ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งต้าเฟิงก็ยังรู ้ว่าสานักนี้ขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึ กตน หญิงเยอะ ชุดคลุมอาคมดี ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนหญิงที่สวมชุดคลุม อาคมงดงามก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ สิบวันครึ่งเดือนพวกนางจะเปลี่ยนชุด กันแทบทุกวัน ไม่ซ้ารูปแบบ แม้จะบอกว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังเป็ น เส้นทางที่แตกต่างทว่ามีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ต่างก็ต้องถอด เสื้อผ้าออก…เพียงแต่ว่าพอคิดดูแล้วก็สามารถท าให้พวกชายโสดสูด น้าลายดังสุดได้แล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเช็ดปาก ยิ้มอธิบายว่า “เสี่ยวโม่ไม่อยู่บนภูเขา ออก จากบ้านเดินทางไกลไปแล้ว แต่ว่าอีกไม่นานก็คงกลับมา เชื่อว่า สหายชิงเจียคงต้องรอไม่นานนัก”
ชิงเจียยิ้มบางๆ “ยังไม่ทันได้ทราบชื่อของสหายเลย”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “บังเอิญยิ่งนัก พวกเราสองคนต่างก็แซ่เจิ้ง เมื่อ ห้าร ้อยปีก่อนคือคนครอบครัวเดียวกัน อายุลวงของพี่สาวมากกว่าอยู่ แค่ไม่กี่ปี ในเมื่อต่างก็แซ่เจิ้งเหมือนกัน เรียกข้าว่าเสี่ยวเจิ้งจะไม่ค่อย เหมาะนัก ถ้าอย่างนั้นเรียกข้าว่าเสี่ยวเฟิงก็แล้วกัน”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยเชื้อเชิญ “ขอเชิญสหายยวนหูไปพูดคุยกันที่เรือน พักอันซอมซ่อ สถานที่อันเรียบง่ายเก่าโทรม…”
ขนบธรรมเนียมของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ผู้คนไม่ถนัดในเรื่องการ เข้าสังคม แล้วนับประสาอะไรกับที่ชิงเจียยังเป็ นเจ้านครของนครแห่ง หนึ่ง คอยเป็ นคนกลางไกล่เกลี่ยอยู่ระหว่างปีศาจใหญ่บนบัลลังก ์หย่า งจื่อและเฟยเฟยนานหลายปี ทุกวันนี้ก็ยิ่งติดตามอยู่ข้างกายเจิ้งจวีจง
ชิงเจียไม่คิดว่าตัวเองจะต้องฝืนนิสัยแสร ้งท าเป็ นคล้อยตามบุรุษ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นางจึงตัดบทคาพูดชวนเลี่ยนของชายฉกรรจ์เนื้อ ตัวมอมแมมผู้นี้ทันทีด้วยการยิ้มเอ่ยว่า “ที่พักของสหายเจิ้ง ข้าคงไม่ ไปรบกวนแล้ว ขอละลาบละล้วงถามสักคา ข้าสามารถขึ้นเขาไปเดิน เล่นได้หรือไม่ แค่ชมทัศนียภาพบนภูเขาคร่าวๆ เท่านั้น รู ้สึกชื่นชม เลื่อมใสพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของใต้เท้าอิ่นกวานมานานมากแล้ว จริงๆ”
เจิ้งต้าเฟิ งรีบเปลี่ยนคาพูดทันใด ตบอกรับรองว่า “ได้เลยๆ เส้นทางน้อยใหญ่ ไกลใกล้ในภูเขาลูกนี้ ข้าหลับตาเดินก็ยังได้ จะพา เจ้าขึ้นเขาไปเอง”
เซียนเว่ยพูดไม่ออก
คงเป็ นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรชิงเจียก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ ทันขึ้นเขาก็ดันมาเจอกับคนผู้นี้ตรงตีนเขาเสียก่อน
ภูเขาลั่วพั่วในภาพจาของนางไม่ควรจะเป็ นเช่นนี้ได้
เพราะถึงอย่างไรพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่อิ่นกวานหนุ่มสร ้างขึ้น ด้วยตัวเองก็ควรจะต้องเป็ นภูเขาที่มีการป้ องกันแน่ นหนา มี กฎระเบียบถึงจะถูก
เพราะไม่รู ้ว่าบุรุษแซ่เจิ้งมีสถานะอะไรในภูเขาลั่วพั่ว มีภูมิหลัง อย่างไร แล้วมีความสัมพันธ ์แบบใดกับเฉินอิ่นกวาน ชิงเจียจึงแค่เดิน ขึ้นบันไดภูเขาไปพร ้อมกับเขาช ้าๆ
โชคดีที่การมาเยือนครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว รอกระทั่งชิงเจียได้สมใจ ปรารถนา ได้เหยียบย่างลงไปบนภูเขาลั่วพั่วอย่างแท้จริงแล้ว อารมณ์ ไม่ชอบใจที่บุรุษข้างกายสร ้างให้ก็เจือจางไปได้ในระดับใหญ่
เมื่อครู่นี้ระหว่างที่จดชื่อลงในบันทึกกับนักพรต ก่อนที่ชิงเจียจะ ขยับเท้าเดินขึ้นภูเขาผ่านซุ้มประตูภูเขาอย่างเป็ นทางการ นางได้ หยุดเดินแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองกรอบป้ ายแล้ว คารวะ
ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้างก็ไม่มีทางเข้าใจความคิด ที่ซับซ ้อนและหนักอึ้งของพวกชิงเจียได้อย่างแท้จริง
เพราะไม่เคยเป็ นศัตรูกับกาแพงเมืองปราณกระบี่และอิ่นกวาน คนสุดท้ายอย่างแท้จริงมาก่อน
เฉินหลิงจวินไปส่งพี่ใหญ่ลู่ถึงที่พัก ระหว่างที่เดินย้อนกลับมาตีน เขาก็มองเห็นว่าเจิ้งต้าเฟิ งกาลังเกี้ยวพาสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง
ทันใดนั้นความเศร ้าใจก็พลันบังเกิด พี่ใหญ่เจิ้ง ขึ้นคานมานานหลาย ปีแล้ว ช่างขมขื่นเหลือเกิน
เฉินหลิงจวินวิ่งปรู๊ดไปหาเซียนเว่ยแล้วถามเสียงเบาว่า “ใคร หรือ?”
นักพรตเซียนเว่ยใช ้เสียงในใจตอบคาถาม “คือสหายจากต่างถิ่น คนหนึ่ง แซ่เจิ้งนามชิงเจีย ฉายายวนหู ดูเหมือนว่าจะมาหากู้ช่าน”
เพราะอย่างไรก็ไม่เหมือนกับเจิ้งต้าเฟิ ง เซียนเว่ยมองไม่เห็น เบาะแสอะไรจากเอกสารท าเนียบของอีกฝ่ ายนัก และเขาเองก็ไม่เคย สงสัยใคร่รู ้ในภูมิหลังของแขกที่มายเยือน
เฉินหลิงจวินพยักหน้า คิดไปเองว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
คงเป็ นเพราะสตรีผู้นี้คือผู้ฝึกตนอิสระที่ไร ้ที่พึ่ง นิ้วหัวหมูมาก็ยัง หาประตูใหญ่ของศาลนครจักรพรรดิขาวแผ่นดินกลางไม่พบ เพราะ ไม่รู ้ว่าไปได้ยินเรื่องความสัมพันธ ์ที่แน่นแฟ้ นระหว่างนายท่านบ้าน ตนกับเจ้าขี้มูกยึดน้อยมาจากไหน ก็เลยอยากจะขอให้นายท่านบ้าน ตนช่วยเป็ นคนกลางเอ่ยค าพูดดีๆ ถึงนาง แนะน านางให้กู้ช่านฟังสัก หน่อย?
เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจเบาๆ นางเองก็ล าบากไม่น้อยเลยนะ