กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1096.2 อิงภูเขา
ขึ้นเขาไปด้วยกัน ฟังเจิ้งต้าเฟิ งพูดพล่ามไม่หยุด พยายาม เปลี่ยนวิธีมาแสดงความกระตือรือร ้น อยากจะตีสนิทด้วย เฉินหลิง จวินที่เดินอยู่ด้านหลังกาสองมือเป็ นหมัดแล้วดันแก้มไว้แรงๆ พยายามกลั้นขา
เดินผ่านเรือนหลังหนึ่งที่ไม่ได้ปิดประตู ในเรือนมีผู้เฒ่าคนหนึ่ง นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย กาลังหลับตาพักผ่อน ลมหายใจทอด ยาวคล้ายก าลังงีบหลับ ในมือถือพัดใบลานสีออกเหลืองวางไว้บน หน้าท้อง
ตอนที่เดินผ่านประตูเรือน หางตาของชิงเจียคล้ายจะเหลือบไป เห็นภาพนี้พอดี คือภาพที่มีกลีบดอกไม้ดอกหนึ่งซึ่งคล้ายจะถูกลม วสันต์พูดโน้มน้าวให้ออกเดินทางไกลจึงหลุดออกจากกิ่ง ร่อนปลิวลง มาตามลม ก่อนตกกระทบลงบนหน้าผากของผู้เฒ่า
นางจึงมองนานหน่อย
ผู้เฒ่าคล้ายจะเป็ นผู้ฝึกยุทธไม่ต่างจากคนแซ่เจิ้งที่อยู่ข้างกาย อีกทั้งขอบเขตต้องไม่ต่ากันแน่ๆ
ขิงเจียขอบเขตสูงมากพอ มองออกว่าผู้เฒ่าที่เหมือนภิกษุ เข้าฌานผู้นั้นไม่ได้แกล้งหลับ แต่กาลัง “ปล่อยใจให้จมดิ่ง ปล่อยจิต ให้ล่องลอยไปนอกกาย
ผู้ฝึกยุทธเป็ นเช่นนี้ได้นับว่าหาได้ยาก เพียงแต่ว่าสาหรับชิงเจีย แล้วกลับไม่รู ้สึกตกอกตกใจอะไร เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่นางเคยได้เห็น และได้ยินมาก็ล้วนเป็ นบุคคลและเรื่องราวชั้นสูงของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง
บุรุษแซ่เจิ้งที่อยู่ข้างกาย ต่อให้จะอ่อนเยาว์กว่านี้ยี่สิบปี เชื่อว่า รูปลักษณ์ก็ไม่ได้น่าจะดีไปยังไง
แต่หากจะพูดถึงผู้เฒ่าในลานบ้าน หากอายุน้อยกว่านี้สัก ครึ่งหนึ่ง แล้วดูจากบุคลิกท่าทางของเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ นชายงาม คนหนึ่งก็เป็ นได้?
เจิ้งต้าเฟิงถูมือ เป็ นความบังเอิญหรือว่าตั้งใจกันแน่? พ่อครัวเฒ่านี่มีฝีมือจริงๆ ใช ้วิธีเจียงไท่กงตกปลารอให้คนที่ยินดี มาติดเบ็ดอย่างนั้นหรือ?
กระบวนท่านี้สามารถเรียนรู ้ได้!
มองเจิ้งต้าเฟิ งที่ทาท่าหมายมั่นปั้นมือ เฉินหลิงจวินก็รู ้สึกว่า ตัวเองควรเป็ นมิตรแท้ผู้กล้าพูดความจริงแม้จะท าให้อีกฝ่ ายขัดใจ จึง ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “พี่น้องต้าเฟิ ง ฟังคาแนะน าข้าสักค า อย่าได้ เรียนรู ้กระบวนท่านี้เลย เชื่อข้าสักครั้งเถอะ ผลลัพธ ์มีแต่จะเป็ นไป ในทางตรงกันข้าม ท่านดูรูปลักษณ์ของพ่อครัวเฒ่าสิ ต่อให้จะไม่ได้ เรื่องแค่ไหน แต่เวลาเขาปิดปากไม่พูดจาก็ยังพอมีสภาพของคนอยู่ บ้าง เปลี่ยนมาเป็ นท่านที่ดอกไม้หล่นกระทบลงบนหัว ในสายตาของ สตรี ความรู ้สึกก็คง…พูดได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่วน “ไหนลองพูดมาสิ ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินหลิงจวินกดเสียงลงต่า “หล่นไปในหลุมส้วมน่ะสิ”
เจิ้งต้าเฟิงกดหัวของเด็กน้อยชุดเขียวเอาไว้ “ถึงกับรู ้จักใช ้คา เปรียบเทียบแล้ว พูดเก่งนักนะ”
เฉินหลิงจวินถอนหายใจเฮือกๆ บ่นกับตัวเองว่า “ค าพูดจริงใจ มักจะแสลงหูคนฟังจริงเสียด้วย”
เจิ้งต้าเฟิงพลันรู ้สึกหมดความสนใจจึงหาข้ออ้างง่ายๆ บอกให้ เฉินหลิงจวินมาท าหน้าที่นาทางแทน ชายฉกรรจ์เดินลงจากภูเขาไป เพียงล าพังด้วยสีหน้าหม่นหมอง แผ่นหลังเปลี่ยวหงอย
ทุกวันนี้จูเหลี่ยนมักจะเป็ นเช่นนี้บ่อยๆ นอนหลับก็สามารถฝึ ก ตนได้ ทุกคนต่างก็เห็นกันจนชินแล้ว
ตามรายงานข่าวที่หมี่ลี่น้อยแพร่งพรายให้ฟัง ดูเหมือนว่าพ่อครัว เฒ่าจะมีการนัดต่อสู้กับเจ้าขุนเขาคนดี สถานที่ก็คือเมืองหลวง แคว้นหนันเยวี่ยนในพื้นที่มงคลบ้านตัวเอง หน้าหนาวปีนี้ หิมะตก เมื่อไหร่ก็จะตีกันเมื่อนั้น
เจิ้งต้าเฟิงเดินออกจากเส้นทางเล็กที่ปูด้วยหินเขียว ส่วนเส้นทาง เทพสายหลักที่ตรงไปสู่ยอดเขาจี๋หลิงนั้นใช ้ได้ทั้งขึ้นและลง หลังจาก สองจิตสองใจอยู่พักหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิงก็เดินขึ้นไปบนทางยอดเขา
หันหน้าไปมองตรงตีนเขา ด้านหลังเสาต้นหนึ่งของซุ้มป้ ายประตู ภูเขาจะมีเก้าอี้ไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่ง คนที่นั่งอยู่บนนั้นคือนักพรตปลอมที่ ไม่มีแม้แต่ธรรมโองการส่วนตัว
ชื่อของเขาคือเหนียนจิ่ง เซียนเว่ยเป็ นแค่นามของเขา แล้วยังตั้ง ฉายาให้ตัวเองยามท่องยุทธภพว่า ‘ซวีเสวียน
เขาคือคนที่เจ้าขุนเขา “หลอกมา” จากเมืองหลวงต้าหลี ดังนั้น คนของภูเขาลั่วพั่วจึงเคยชินที่จะเรียกเขาว่านักพรตเซียนเว่ยตามเจ้า ขุนเขา
มีเพียงเฉินหลิงจวินที่สนิทกับเขามากแล้วถึงได้จงใจเรียกสลับ ค าว่า “เสวียนซวี” เรียกสัพยอกเขาว่านักพรตเสวียนซวี เสวียนซวี จากประโยคว่าแสร ้งท าเป็ นเร ้นลับซับซ ้อน
ขอบเขตของนักพรตเซียนเว่ยไม่สูง แต่หนังหน้ากลับไม่บาง พเนจรอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี ยังจะต้องอายในเรื่องนี้ด้วยหรือ? กลับกลายเป็ นว่ายิ่งชอบในคากล่าวเช่นนี้ของสหายจิ่งชิงมากกว่า
ทุกวันนักพรตเซียนเว่ยจะเฝ้ าประตูตอนกลางวัน ชายแขนเสื้อ สองข้างซ่อนต าราไว้ข้างละเล่ม ยามที่ข้างกายไม่มีใคร อ่านตาราที่ เป็ นทางการ ยามที่ข้างกายมีคนก็อ่านตาราที่ยิ่งเป็ นทางการมากกว่า
ยามที่ฝนตก…ยังจะทาอย่างไรได้อีก ก็ไปหลบฝนอยู่ในบ้านน่ะสิ
อย่างมากก็กางร่มมานั่งที่หน้าประตูภูเขาให้พอเป็ นพิธี หนาวจน สั่นเหมือนนกกระทานั่งได้ไม่นานก็กลับไปอ่านหนังสือในห้องต่อแล้ว
ลองประมาณการณ์ดูคร่าวๆ ใต้หล้าไพศาลมีฝนตกติดต่อกันมา นานถึงเก้าวันเต็มแล้ว?
ใต้หล้ามืดสลัวน่าจะประมาณห้าวัน ดินแดนพุทธะสุขาวดีอาจจะ สี่วัน
ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างหนึ่งวันครึ่ง ใต้หล้าห้าสีครึ่งวัน?
เดิมทีเจิ้งต้าเฟิงคิดว่าท่ามกลางขั้นตอนที่ฝนตก “ใต้ฟ้ า” ครั้งนี้ อยู่ดีๆ เซียนเว่ยจะฝ่าทะลุขอบเขตได้หลายขั้น
ฝ่ าทะลุขอบเขตไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ฝ่ าทะลุขอบเขตนั่นสิถึงจะ แปลก
แต่ดันกลายเป็ นว่าเรื่องราวกลับแปลกประหลาดเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าขอบเขตของเซียนเว่ยจะ “มั่นคง” จนไร ้เหตุผล จะ บอกว่าฟ้ าผ่าไม่สะเทือนก็ยังได้ นี่ฝนก็หยุดตกไปแล้ว ตอนที่นักพรต มาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วคือขอบเขตสอง ทุกวันนี้ก็ยังเป็ นขอบเขตสอง อยู่เหมือนเดิม
เพราะถึงอย่างไรการฝึ กตนก็เป็ นเรื่องในบ้านของใครของมัน เจิ้งต้าเฟิงจึงไม่สะดวกจะพูดเตือนอะไร แล้วก็ไม่สะดวกจะปากมาก
ล่างภูเขามักพูดกันบ่อยๆ ว่าแพร่งพรายความลับสวรรค์ด้วย ประโยคเดียว แต่บนภูเขาประโยคว่า “น่าเสียดายที่เผลอพูดความจริง ออกมา’ คือข้อห้าม
เจิ้งต้าเฟิงเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินโยกไหล่ขึ้นไป บนภูเขา ลมภูเขาพัดผ่านใบหน้า สีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง
หึ ในเมื่อไม่เห็นเรือนกายอรชนของแม่นางเฉินบนเส้นทางภูเขา ก็แสดงว่านางต้องฝึ กหมัดอยู่บนลานหยกขาวบนยอดเขาแน่นอน สตรีออกหมัด พลิกตัวหมุนตลบ ขึ้นลงไม่อยู่นิ่งจะไม่น่ามองได้หรือ?
เดินก้าวไปบนขั้นบันไดอย่างเนิบช ้า เจิ้งต้าเฟิงจัดระเบียบเสื้อผ้า ถ่มน้าลายลงบนฝ่ามือ ลูบปาดไปบนเส้นผมตรงจอนหู
เมื่อก่อนอาจารย์ไม่ชอบพูดคุยกับตน ศิษย์พี่หลี่เอ้อก็ไม่รู ้ว่าเอา โองการลับมาถ่ายทอดหรือเห็นว่าศิษย์น้องหล่อเหลากว่าเขาก็เลยจง ใจใช ้ค าพูดมาท าให้ตนรู ้สึกสะอิดสะเอียน บอกว่าการที่เขาเจิ้งต้าเฟิง เรียนวรยุทธไม่ได้เรื่อง ขอพรเทพไม่สัมฤทธิ์ผล ไม่เลื่อมใสในมรรคา อย่างจริงใจมากพอ สูงไม่สาเร็จ ต่าก็ไม่ได้ สุดท้ายตกอยู่ใน สภาพการณ์ที่อยู่ตรงกลางแบบลอยๆ หันไปทางใดไม่ได้ เรียนรู ้ไม่ ประสบผลส าเร็จ วรยุทธก็ไม่ช านาญเข้าขั้น เพียงแค่เพราะว่าเป็ นคน ที่ทั้งหูเบา ความคิดไม่หนักแน่น แล้วยังเป็ นคนที่ไม่รู ้ว่าตัวเองต้องการ อะไรกันแน่ ควรแสวงหาสิ่งใดกันแน่ หลายปีมานี้อยู่ที่นครบินทะยาน ของใต้หล้าห้าสี เจิ้งต้าเฟิงขบคิดคาพูดที่รุนแรงหลายประโยคนี้ซ้าไป ซ้ามาหลายรอบ รู ้ว่าหลักการเหตุผลคือหลักการเหตุผลข้อนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คิดจะไปสร ้างศาลสร ้างเส้นทางเทพอยู่ที่ริมลาน้า ใหญ่ ทว่าส่วนลึกในจิตใจ เจิ้งต้าเฟิงก็ยัง…ขี้เกียจอยู่ดี
เมื่อเทียบกับจงเชี่ยนที่ทุกวันกินข้าวเข้าไปแล้วก็คิดถึงข้าวมื้อ กลางวันและมื้อเย็น กินมื้อเย็นไปแล้วยังนึกถึงอาหารมื้อดึกแล้วก็ ไม่ได้ดีไปกว่ากันอย่างไร
ความปรารถนาของมนุษย์ธรรมดา เมื่อออกจากบ้านมีคนข้าง กายคอยประจบยกยอคอยไล่ตามก้นต้อยๆ กลับไปถึงบ้านมีภรรยา และอนุภรรยาห้อมล้อม มีภูเขาเงินภูเขาทอง
สิ่งที่นักพรตต้องการ ต่าหน่อยก็คือขอบเขตแต่ละขั้นไต่ทะยาน ขึ้นสูง เป็ นเทพเซียนพสุธาที่มีอายุขัยยืนยาว สูงหน่อยก็คือเป็ นอมตะ ไม่เสื่อมสลาย บินทะยานล่องลอย หวังจะมีอายุขัยเท่าเทียมกับฟ้ าดิน
เจิ้งต้าเฟิงมองเรื่องพวกนี้อย่างปล่อยวาง
ถือเสียว่าสุนัขไม่เปลี่ยนนิสัยกินอาจมก็เท่านั้น
เจิ้งต้าเฟิงขึ้นไปบนยอดเขาจี๋หลิงก่อน ไม่เจอเฉินยวนจีก็คิดจะ ไปที่ภูเขาด้านหลังสักรอบ แม่นางน้อยที่ชื่อว่าเฉายางผู้นั้น ทุกครั้งที่ เจอตนดูเหมือนว่าจะเหนียมอาย ไม่แน่ว่าอาจมีความคิดบางอย่างกับ ตนก็ได้?
แม่นางสายตาดี ไม่รู ้ว่าน้าลายสอในรูปโฉมของตนหรือมองออก ว่าวรยุทธของตนไต่ไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว?
หรือว่ามีทั้งสองเหตุผล? เฮ้อ ต้องผิดต่อความรักความหลงใหล ของพวกนางอีกแล้ว
เจิ้งต้าเฟิ งอ้อมผ่านศาลเทพภูเขาเดิมที่อยู่บนยอดเขา ฟุบตัว นอนคว่าอยู่บนราวรั้วมองไปยังกลุ่มภูเขาที่ทอดยาวเป็ นสายทางทิศ เหนือ ในสายตาเห็นเพียงสีเขียวขจี ป่ าเขาหลังฝนตกช่างน่ารักน่า มองเหลือเกิน
ไม่รู ้ว่านั่งหนูซูเตี้ยนผู้นั้นไปถึงใต้หล้ามืดสลัวที่ไม่คุ้นเคย ได้เจอ กับศิษย์พี่ที่ไม่เคยพบหน้าแล้วเรียนวิชาหมัดจากเขา จะได้สืบทอด วิชาที่แท้จริงมาหรือไม่
นั่นคือบุคคลยิ่งใหญ่อย่างสมชื่อเชียวนะ
ต่อให้บอกว่าเขาคือบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธโลกมนุษย์ใน หลายใต้หล้าก็ไม่มีใครมีความเห็นต่าง
อันดับแรกก็เป็ นแยนกั๋ว จี้กวานคนสุดท้ายของกาแพงเมือง ปราณกระบี่ ภายหลังคือหุนเจ่อแห่งถ้าสวรรค์หลีจู ใช ้นามว่าเซี่ยซิน เอิน ก่อนที่จะกลายเป็ นหลินเจียงเซียนแห่งยาซาน บุคคลอันดับหนึ่ง ด้านการเรียนวรยุทธของใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้
เจิ้งต้าเฟิ งไปอยู่ที่นครบินทะยานมานานหลายปี จึงเข้าใจ ขนบธรรมเนียมของที่นั่นเป็ นอย่างดี
บวกกับที่มักจะส่งสายตาให้กับแม่นางเหนี่ยนซินเป็ นประจา ความสัมพันธ ์ของพวกเขายอดเยี่ยม จึงยิ่งรู ้เกร็ดประวัติของกาแพง เมืองปราณกระบี่ประหนึ่งรู ้สมบัติในบ้านตัวเอง
เมื่อเทียบกับคฤหาสน์หลบร ้อนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแล้ว คฤหาสน์ หลบหนาวจึงไม่ค่อยมีหน้ามีตาเท่าใดนัก ลักษณะคล้ายผู้พึ่งพาของ ฝ่ ายแรก ทั้งสองมีความหมายคล้ายคลึงกับเหนียงเนียงต าหนักหลัก กับพระสนมในต าหนักเย็น
โลกภายนอกต่างก็เอาคฤหาสน์หลบร ้อนมาเชื่อมโยงเข้ากับอื่น กวาน พอเอ่ยค าเรียกขานอย่างใดอย่างหนึ่งก็มักจะคิดไปถึงคาเรียก ขานอีกอย่างหนึ่งอย่างเป็ นธรรมชาติเสมอและตอนที่อยู่ในมือของอิ่ นกวานสองรุ่นอย่างเซียวสวิ้นและเฉินผิงอัน พวกเขาต่างก็ผลักดัน คฤหาสน์หลบร ้อนไปถึงตาแหน่งที่สูงมากได้อย่างแท้จริง ทยอยกัน ท าให้ผู้ฝึ กลมปราณของสองใต้หล้าอย่างเปลี่ยวร ้างและไพศาลมี ความทรงที่ล้าลึกต่อชื่อสถานที่แห่งนี้มากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้คฤหาสน์หลบหนาวในนครบินทะยานได้ถูกส่งต่อไปถึง มือของสายสิงกวานซึ่งมีฉีโซ่วและเหนี่ยนซินเป็ นผู้ดูแลกิจธุระหลัก แล้ว กลายเป็ นที่ว่าการของผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานและพื้นที่ประลอง วรยุทธของผู้ฝึกยุทธ
แต่ในความเป็ นจริงแล้ว เมื่อก่อนหน้านี้นานมากมาแล้ว คฤหาสน์หลบหนาวคือสถานที่ที่เป็ นของสายจี้กวานโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าในเอกสารข้อมูลของกาแพงเมืองปราณกระบี่ได้จงใจละ เรื่องนี้ไว้ไม่พูดถึง
หนึ่งคือหลบร ้อน หนึ่งคือหลบหนาว หลบหนาว? หลบอะไร? ท าไมต้องหลบ?
หรือว่าคฤหาสน์สองแห่งนี้ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็มี ความเกี่ยวข้องกับเทพอัคคีและเทพวารีหนึ่งในห้าเทพสูงสุดของสรวง สวรรค์บรรพกาล
เฉินผิงอันเคยถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยคาถามที่ยาวเป็ น พรวนนี้ ผลคือเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้เขาไปถามจี้กวาน บอกว่า จี้กวานดูแลเรื่องนี้ ค่อนข้างจะเข้าใจปฏิทินเหลืองที่เอามาเช็ดกันก็ยัง รังเกียจว่าหนาหยาบเกินไปพวกนี้ดี เฉินผิงอันจึงได้แต่ถามว่า นอกจากจี้กวานจะมีชื่อบันทึกอยู่ในเอกสารลับแล้ว ประวัติชีวิตเป็ น อย่างไร ท าไมถึงได้ถูกลบบันทึกข้อมูลทิ้งไป ตอนนี้คนผู้นี้อยู่ที่ไหน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่าเจ้าสามารถลองไปถามอื่นกวานคน ก่อนได้ ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กผมเปียสองข้างเหมือนจะสนิทกับจี้กวาน มากความสัมพันธ ์ไม่เลว เฉินผิงอันโมโหจนบดฟันกรอดๆ บอกว่า ท่านให้ข้าไปถามเรื่องนี้ต่อหน้าเซียวสวิ้นที่เป็ นขอบเขตสิบสี่ ถาม เสร็จแล้วสามารถเผ่นหนีได้ หรือว่าถามเสร็จแล้วจะโดนตีตายล่ะ? เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงตบไหล่ของอื่นกวานคนใหม่ ทอดถอนใจ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ใช ้ได้เลยนี่นา จะเอาแต่ตัวสูงกว่าเซียวสวิ้นอย่าง เดียวไม่ได้แบบนั้นไม่ได้ ผลหรอก รอให้ขอบเขตของเจ้าเท่าเทียมกับ นางเมื่อไหร่ก็ถามได้แล้วไม่ใช่หรือ ถามเสร็จก็เผ่นหนีได้ หากอยาก พูดคุยให้นานหน่อยก็คุยกันให้นานอีกหน่อย
การตั้งตาแหน่งหุนเจ่อของถ้าสวรรค์หลีจู เดิมทีก็เป็ นตาแหน่งที่ เพิ่งมีขึ้นด้วยน้ามือของชุยฉาน
เฉินผิงอันรู ้แล้วว่าหุนเจ่อคนปัจจุบันยังคงเป็ นหลินเจิ้งเฉิง ส่วน หุนเจ่อคนก่อนนั้นไม่มีข้อมูลบันทึกไว้ ไร ้ผลงานไร ้ความส าเร็จ ดู เหมือนว่าศิษย์พี่ชุยฉานจะไม่ค่อยพอใจในการกระท าของเขาเท่าใด นัก ถึงได้เปลี่ยนมาเป็ นหลินเจิ้งเฉิงที่ทางานอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการ งานเตาเผา หากขยับขึ้นไปอีกก็คือคนต่างถิ่นที่ใช ้นามแฝงว่าเซี่ยซิน เอินแล้ว คนผู้นี้ในนามคือลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถว สถานะเท่า เทียมกับหลี่เอ้อและเจิ้งต้าเฟิงที่มาในภายหลังและในฐานะจี้กวานรุ่น สุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ “เซี่ยซินเอิน” ออกไปจากบ้าน เกิดอย่างเงียบเชียบ ภูเขาห้อยหัวคือเส้นทางที่จาเป็ นต้องผ่าน หลังจากนั้นก็บังเอิญเจอกับจางเถียวเสียบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวร ยุทธของไพศาลในอดีตบนทะเลจึงต่อสู้กันไปรอบหนึ่งแค่ประลอง ฝีมือกันเท่านั้น หลังจากนั้นก็ขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีป ไปเจอกับชิงถงแห่ง หอสยบปีศาจตามเรื่องวงในที่ชิงถงแพร่งพรายให้เสี่ยวโม่รู ้ ทั้งสอง ฝ่ ายพูดคุยกันไม่ถูกคอจึงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจาก นั้นถึงได้ไปที่แจกันสมบัติทวีป แฝงตัวเข้าไปในถ้าสวรรค์หลีจูอย่าง ลับๆ
ลูกศิษย์ที่ผู้เฒ่าหยางแห่งร ้านยาอบรมสั่งสอนมาล้วนเป็ นผู้ฝึก ยุทธเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น นับตั้งแต่เซี่ยซินเอินไป จนถึงหลี่เอ้อ เจิ้งต้าเฟิ ง จนกระทั่งมาถึงชูเตี้ยน สือหลิงซานใน ท้ายที่สุด
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เซี่ยซินเอินก็ต้องยังมี “ศิษย์พี่ชายหญิง’ อีกบางส่วน แต่ว่าอายุขัยของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถึงอย่างไรก็ไม่อาจ เปรียบเทียบกับผู้ฝึกลมปราณ เว้นเสียจากกรณียกเว้นอย่างเซี่ยซิน เอิน คิดดูแล้วต่างก็น่าจะกลายเป็ นดินเหลืองกันไปหมดแล้ว
ในประวัติศาสตร ์ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกยุทธขอบเขต ปลายทางคนสุดท้ายคือป๋ ายเลี่ยนซวง หมัวมัวผู้เฒ่าของจวนหนิง
ตามข้อมูลในบันทึกที่เก็บเข้าคลังของสายอิ่นกวาน สืบย้อนขึ้น ไป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนก่อนก็อยู่ห่างกันหลายร ้อยปี อีก ทั้งก็ยังคงเป็ นปรมาจารย์หญิงคนหนึ่งด้วย
ต่อให้พลิกเปิดหน้าบันทึกไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร ์อัน ยาวนานของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่สามารถ เลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขาและปลายทางได้จ านวนก็ยังมีน้อยจนน่า สงสาร
การที่ผิดปกติเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็ นเพราะกาแพงเมืองปราณ กระบี่มีการวางแผนมาก่อนล่วงหน้านานแล้ว สร ้างเขื่อนกักเก็บน้า สะสมมากใช ้ทีละน้อย ท าให้คนบางคนได้ครอบครองโชคชะตาบู๊ เพียงล าพัง
คนบางคนที่ว่านี้ก็คือจี้กวานคนสุดท้าย แซ่แยนนามกั๋ว ชื่อจริง คือแยนกั๋ว
เฉินผิงอันเคยเจอประโยคอธิบายที่เห็นได้ชัดว่าเป็ นลายมือของ เซียวสวิ้นจากเอกสารลับฉบับหนึ่ง
เรือนกายที่มีเลือดเนื้อของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทุกคนก็คือตาหนัก หมื่นเทพที่มีควันธูปโชติช่วง
เมื่อหมื่นปีก่อนบรรพบุรุษสานักการทหารบุกเบิกเส้นทางวรยุทธ กับมือตัวเอง ช่วยบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ให้กับโลกมนุษย์น่าเสียดายที่ เดินขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดแล้วแต่กลับไม่อาจขึ้นไปบนฟ้ าได้ ไม่อาจ กลายเป็ นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบห้าอย่างบรรพจารย์สามลัทธิ ว่า กันว่าบังเอิญเป็ นเพราะเขามีโชคชะตาบู๊ติดตัว เส้นทางนี้ใกล้เคียงกับ เส้นทางแห่งเทพมากเกินไป กลับกลายว่ากลายมาเป็ นภาระที่โยนทิ้ง ไปไม่ได้ เว้นเสียจากว่าเขาสลายโชคชะตาทั้งหมดทิ้งไปถึงจะมี โอกาส เพียงแต่ว่าตอนนั้นอีกเดี๋ยวก็ต้องเจอกับศึกเดินขึ้นฟ้ าแล้ว เขาจึงป่าวประกาศว่าวันหน้าค่อยว่ากัน ศึกใหญ่ก าลังจะมาถึง มีพลัง พิฆาตเพิ่มมาส่วนหนึ่งก็ถือเป็ นเรื่องดี ส่วนผลลัพธ ์ภายหลังเป็ นเช่น ไร ก็คือความขัดแย้งแตกแยกภายในที่เกือบจะชักน าให้โลกมนุษย์ เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เขาถูกผู้คนร่วมกันสังหาร ถูกกักขังไว้ นอกฟ้ านานหมื่นปี
ปีนั้นเฉินผิงอันยังถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงปัญหาที่สาคัญ อย่างมากข้อหนึ่ง ทาไมหนิงเหยาถึงได้บาดเจ็บขนาดนั้นตอนอยู่ เมืองเล็ก
ตอนนั้นคาตอบของเฉินชิงตูค่อนข้างขอไปที บอกแค่ว่ามีคน ท านายว่าแม่หนูหนิงต้องเจอเคราะห์กรรมครั้งนี้ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี เรื่องร ้ายไม่กลัวเกิดขึ้นเร็ว กลับกลายเป็ นว่าจะเก็บกวาดได้ง่าย