กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 172.1 พบเจอความอยุติธรรมบนเส้นทางแห่งยุทธภพ
ไม่มีการจงใจชักนำเหมือนครั้งแรกและครั้งหลังจากชุยตงซาน เส้นทางในภายหลังของเฉินผิงอันจึงเป็นการเดินทางในยุทธภพ ไม่ใช่เดินบนภูเขาที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์แปลกประหลาด
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่รู้ตัวเลย เขาแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เจอกับภูตผีปีศาจซึ่งช่วยเปิดโลกทัศน์ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพะวงถึงเรื่องความปลอดภัยของพวกหลี่เป่าผิงอีกแล้ว อีกทั้งข้างกายตัวเองยังมีงูคู่หนึ่งที่ฝึกตนจนมีสติปัญญาให้การปกป้อง เฉินผิงอันจึงหวังว่าจะเจอเรื่องพิลึกพิสดารอีกสักหน่อย แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือมองอยู่ไกลๆ ทั้งได้เพิ่มความรู้ แล้วก็ไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตราย
น่าเสียดายที่ใกล้จะออกจากอาณาเขตของแคว้นหวงถิงแล้ว การเดินทางของเขากลับยังคงราบรื่นน่าเบื่อหน่าย
ช่วงสนธยาของวันนี้ หลังจากฝึกเดินนิ่งบนสันหลังงูน้ำเสร็จ เฉินผิงอันก็เลือกพักผ่อนอยู่ในวัดร้างข้างทางภูเขาที่เงียบสงบสายหนึ่งแล้วเริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร
แม้ว่าเฉินผิงอันจะจงใจเลือกเส้นทางแถบชานเมืองเพื่อย้อนกลับไปยังต้าหลี แต่ก็ยังเจอชายและหญิงที่เดินทางผ่านป่าเขามาไม่น้อย คนส่วนใหญ่ล้วนสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก สวมอาภรณ์ผ้าแพร ห้อยดาบพกกระบี่ แผ่กลิ่นอายของคนในยุทธภพ แล้วก็มีบางส่วนที่หน้าตาค่อนข้างดุร้ายอำมหิต แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีมีคุณธรรม แต่ยังดีที่พอเห็นพวกเฉินผิงอันสามคน อย่างมากก็แค่ปรายตามองหลายครั้งหน่อย ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
การเดินทางในยุทธภพ หากพบเจอบุคคลที่ดูเหมือนรังแกง่ายอย่างหลวงจีนเฒ่า นักพรตเต๋าน้อย หรือแม่ชีสะคราญโฉม ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปข้องแวะด้วย นี่คือหลักการที่ผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพซึ่งเคยทำผิดพลาดสืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น
เฉินผิงอันได้พึ่งใบบุญของเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู เพราะอย่างไรซะก็มีคนธรรมดาไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพาเด็กเล็กสองคนเดินทางมาด้วย อีกอย่างแต่ละคนต่างก็หน้าตางดงาม ผิวพรรณอมชมพูราวกับหยกแกะสลัก นอกจากนี้คนทั้งสามยังเดินทางในป่าลึกอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายอย่างไม่กลัวตาย ขอแค่เป็นคนที่มีสมองสักหน่อยย่อมไม่มีทางคิดลงมือสังหารพวกเขาง่ายๆ
อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เจอกับชายฉกรรจ์ป่าเถื่อนที่เป็นนักโทษหลบหนีกลุ่มหนึ่ง แล้วพวกเขาก็มีเจตนาร้ายจริงๆ จึงคอยสะกดรอยตามคนทั้งสามอย่างระมัดระวัง คิดจะหาโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยลงมือ ผลสุดท้ายกลับเห็นว่าเด็กชายชุดเขียวที่มองดูเหมือนสามารถขยี้ให้ตายได้ด้วยนิ้วมือเดียวจำแลงร่างกลับคืนสู่ร่างจริงที่น่าหวาดกลัว ใช้ร่างงูที่ยาวเหยียดเลื้อยข้ามภูเขา ต้นไม้ระหว่างทางพากันโค่นหัก ทำเอาคนกลุ่มนั้นตกใจจนแทบฉี่ราดกางเกง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยหอบกิ่งไม้แห้งมาให้เฉินผิงอัน สาละวนทำงานไม่หยุดมือ เด็กชายชุดเขียวกลับเป็นตัวขี้เกียจขนานแท้ จะอ้าปากก็ต่อเมื่อข้าวมาเท่านั้น ตอนนี้เขานั่งหาวอยู่นอกวัดร้าง กล่าวอย่างเกียจคร้าน “นายท่าน สองฝั่งของถนนบนภูเขาต่างก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าหากัน อีกไม่นานก็จะเจอกันแล้ว ทางฝ่ายซ้ายมือกำลังเข่นฆ่ากัน ดูเหมือนว่าจะสนุกมาก ส่วนทางฝั่งขวามือควบม้าในชุดงดงาม ในกลุ่มยังมีสาวสวยขายาวด้วย หากนายท่านต้องการ ข้าจะไปแย่งเอามาทำเป็นเมียโจรให้ท่านดีไหม เล่นเบื่อแล้วค่อยปล่อยนางกลับบ้าน หากมีปัญหา เดี๋ยวข้าค่อยให้เงินทองหรือโชควาสนากับนางเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ไม่แน่ว่านางอาจจะยังซาบซึ้งในความกรุณาของนายท่านก็ได้…”
เฉินผิงอันที่กำลังกระดกก้นโน้มตัวไปเป่าสะเก็ดไฟในกองไฟตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “อีกเดี๋ยวหากพบพวกเขา เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัว”
เด็กชายชุดเขียวขยี้แก้มอย่างเบื่อหน่าย กล่าวเสียงขุ่น “นายท่าน หากข้าไม่ยืดเส้นยืดสายบ้าง มือเท้าคงขึ้นราเป็นแน่”
เฉินผิงอันไม่สนใจเขาอีก
ปลายฝั่งด้านหนึ่งของเส้นทางภูเขานอกวัดร้างมีเสียงตะโกนดังเอะอะ
ชายคนหนึ่งหน้าตาสกปรกมอมแมมกำลังไล่ตามสาวงามสีหน้าตื่นตระหนก ด้านหลังมีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “นังแพศยา วิ่ง! วิ่งต่อไป! หากครั้งนี้ถูกนายท่านใหญ่จับได้ คอยดูเถอะข้าจะลอกคราบเจ้าให้เกลี้ยง ขอให้ข้าคิดดูก่อนนะว่า ถึงเวลานั้นจะเริ่มกินเนื้ออวบๆ ขาวๆ ของเจ้าจากตรงไหน!”
คนห้าหกคนข้างกายชายฉกรรจ์หัวโล้นหัวเราะครืนอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มชั่วช้าเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและสาแก่ใจ
“สตรีใจดำอำมหิตเช่นนี้เอาเนื้อมาตุ๋นกินตรงๆ เลยดีกว่า จากนั้นก็โรยต้นหอม ผักชี เหยาะพริกไทยตามลงไป จุ๊ๆ ต้องอร่อยล้ำแน่นอน เนื้อทั่วร่างจะอย่างไรก็ต้องได้สักร้อยจิน (ประมาณห้าสิบกก.) พอให้พวกเรากินได้หลายมื้อ”
“พวกเจ้าอย่ามาแย่งข้านะ ข้าชอบกินลูกนกพิราบ (ในที่นี้เป็นคำเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่สดใหม่ ขาวอวบอิ่ม) มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว!”
ดวงตาของเด็กชายชุดเขียวสว่างวาบ
เฉินผิงอันบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูช่วยหุงข้าว ส่วนตัวเองลุกขึ้นยืน เดินไปหน้าประตูวัดร้าง เด็กชายชุดเขียวคันไม้คันมือเต็มที แต่กลับถูกเฉินผิงอันกดศีรษะเอาไว้จึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย
บนทางภูเขาอีกฝั่งหนึ่งคือเสียงฝีเท้าม้าดังเป็นระลอกคลอกับเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน เพียงไม่นานคนฝั่งนั้นก็ค้นพบความผิดปกติบนถนน หลังจากได้ยินวาจาสกปรกหยาบคายของชายฉกรรจ์ที่เหมือนโจรภูเขากลุ่มนั้นแล้ว ดุรณีน้อยที่ด้านหลังสะพายคันธนูก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเยียบเย็น แสดงความขุ่นเคืองใจอย่างถึงที่สุด นางปรายตามองสตรีแต่งงานแล้วหุ่นอวบอิ่มที่วิ่งโซซัดโซเซ ก่อนจะเก็บสายตากลับคืนอย่างรวดเร็ว คราวนี้มองไปยังพวกโจรที่โบกดาบตวัดกระบี่ชูหราแล้วแค่นเสียงเย็น ขาเรียวยาวที่หนีบอยู่ตรงท้องม้าพลันกระแทกถี่เร็ว ควบม้าห้อตะบึงพุ่งนำไปด้านหน้า “ข้าจะไปช่วยคน!”
ชายหนุ่มพกกระบี่พู่สีเงินคนหนึ่งรีบเฆี่ยนแส้ควบม้าตามหญิงสาวไปทันที เขาขี่ม้าเคียงข้างไปกับนาง ขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนเบาๆ กลั้วเสียงหัวเราะ “หลันจือ ก่อนหน้านี้มีคนนอกอยู่ด้วย ข้าเลยไม่สะดวกพูดอะไรมาก แต่ในบันทึกลับของเขตการปกครองของพวกเราบอกไว้ว่าเทือกเขาสันตะขาบลูกนี้มักจะมีสัตว์ประหลาดและสิ่งชั่วร้ายคอยก่อกวน ถึงขั้นที่ว่ามีภูตผีปีศาจในภูเขาใหญ่หลายลูกที่รู้จักให้การช่วยเหลือกันและกัน เดิมทีก็รับมือได้ยากมากอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ทางการเชิญเทพเซียนให้ขึ้นเขาไปค้นหา กลับเจอแต่พวกภูตน้อยที่ไม่มีความสำคัญ พวกปีศาจใหญ่ที่ได้ข่าวมาล่วงหน้าล้วนหลบหนีไปซ่อนตัวกันหมด เจ้าเล่ห์มากเลยล่ะ หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ทางการเพิ่งจะพาคนทำความสะอาดสันตะขาบไปรอบหนึ่ง ข้าก็ไม่กล้ารับปากพาพวกเจ้าเข้ามาในภูเขาลูกนี้หรอก”
นอกจากหญิงสาวจะสะพายธนูยาวสีเงินที่สลักตัวอักษรโบราณและเรียบง่ายไว้ด้านหลังแล้ว ตรงเอวยังห้อยดาบแคบฝักสีดำสนิทอีกเล่มหนึ่ง มือของนางกดที่ด้ามดาบ พูดเสียงเย็น “หากมีภูตผีปีศาจจริงๆ ก็ดีน่ะสิ กำจัดปีศาจปราบมาร ไม่ได้มีแค่เทพเซียนบนภูเขาเท่านั้นที่ทำได้ พวกเราก็ทำได้เหมือนกัน!”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างจนใจ ไม่พูดอะไรให้มากความอีก ควบม้าห้อตะบึงออกไป หวังเพียงว่าการผดุงความเป็นธรรมในครั้งนี้จะไม่เกิดปัญหาแทรกซ้อน ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่ออกจากสำนักมาเผชิญโลกกว้างครั้งแรก เขาคือลูกหลานตระกูลขุนนางที่ชาติตระกูลไม่ธรรมดา จึงมีประสบการณ์และเข้าใจความอันตรายความชั่วร้ายในโลกมนุษย์มากกว่า
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่อาจปกปิดเรือนกายได้ ผิวพรรณขาวนวลเนียนจึงโผล่วับแวมเป็นแถบๆ สภาพน่าเวทนา แม้ว่านางเองก็เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง แต่ด้วยถูกไล่ฆ่ามาตลอดทางจึงเป็นเหมือนม้าตีนปลาย ฝีเท้าเบาล่องลอย เห็นชายหญิงควบม้าตรงเข้ามาก็ฝืนรวบรวมเรี่ยวแรงตะโกนเสียงดัง “จอมยุทธ์ทั้งสองท่านโปรดช่วยข้าด้วย!”
หญิงสาวปลดผ้าคลุมโยนให้กับสตรีแต่งงานแล้ว นางบังคับม้าอย่างเชี่ยวชาญ ขณะที่สวนทางกับสตรีแต่งงานแล้ว นางก็ชักดาบแคบออกมา ดึงบังเหียนหยุดม้า ถลึงตาเดือดดาลใส่ฝ่ายตรงข้าม “ไสหัวไปไกลๆ!”
ชายหนุ่มมาหยุดอยู่ข้างกายของหญิงสาว ยิ้มบางๆ “ฮูหยินคงตกใจแย่แล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วเอาผ้าคลุมลมห่มทับเรือนกายอวบอิ่ม หอบหายใจเสียงดัง ใบหน้าซีดเผือด พูดเสียงสั่นด้วยยังหวาดหวั่นไม่คลาย “คุณชาย พวกท่านต้องระวังพวกป่าเถื่อนเหล่านั้นให้มาก พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ฝึกตน แล้วก็สามารถร่ายใช้เวทอภินิหารบางอย่างได้จริงๆ ทางที่ดีที่สุดคุณชายควรเตือนเพื่อนของท่านว่าไม่ควรทำอะไรหุนหัน หากไม่ได้จริงๆ คุณชายกับแม่นางท่านนั้นแค่ช่วยขวางพวกเขาให้ข้าก็พอ ข้าจะเร่งเดินทางต่อเดี๋ยวนี้ เพียงแต่ว่าเสื้อคลุมกันลมตัวนี้คงต้องขออภัยจอมยุทธ์หญิงผู้มีคุณธรรมท่านนั้นแล้ว…”
ชายหนุ่มแอบมองประเมินสตรีแต่งงานแล้วตลอดเวลา ฟังประโยคนี้ของนางก็ยังมองไม่เห็นพิรุธใดๆ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินไม่ต้องหนีตายอีกแล้ว กลางวันแสกๆ แบบนี้ พวกเขาคงไม่กล้าก่อกรรมทำชั่วหรอก หากเป็นพวกที่ฆ่าคนปล้นชิงมาจนเคยชินจริงๆ ต่อให้พวกเขาคือผู้ฝึกตนบนภูเขา ฮูหยินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลให้มากนัก พวกเราย่อมต้องมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ฮูหยินแค่ทำใจให้สบายก็พอ”
สตรีแต่งงานแล้วขยับปากจะพูดอธิบาย แต่ก็หยุดความคิดนั้นไป เพียงแค่เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “คุณชายควรระวังตัวไว้เป็นการดี คนกลุ่มนั้นทำเรื่องชั่วช้าได้ทุกประเภท พูดจาหยาบคายก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติสามัญสำหรับพวกเขา ระวังจะระคายหูทุกท่าน”
ชายหนุ่มเริ่มคลายความระมัดระวังตัวลง พยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “ฮูหยินจิตใจดียิ่งนัก ไม่ควรเลยที่จะต้องพบเจอกับเหตุร้ายเช่นนี้”
สตรีแต่งงานแล้วได้ยินก็ขบริมฝีปากแน่น สีหน้าพลันหม่นหมอง ก้มหน้าพูดสะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ “น่าสงสารก็แต่สามีและบุตรสาวข้า มันช่าง…บุตรสาวของข้าเพิ่งจะอายุสิบสองปีเท่านั้น ข้าเองก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว…”
ม้าหลายตัวที่ตามมาเบื้องหลังมาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มและสตรีแต่งงานแล้วผู้น่าสงสาร ได้ยินคำพูดของสตรีแต่งงานแล้ว คนทั้งหลายก็เข้าใจได้ทันทีว่านางประสบพบเจอเรื่องน่าเวทนาแบบใดมา เดินทางในพื้นที่กันดารรกร้าง โจรปล้นทรัพย์ข่มขืนผู้หญิงมีให้พบเห็นไม่มากนักในแคว้นหวงถิง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่หายากแน่นอน
ไฟโทสะของบุรุษคนหนึ่งที่อายุยังน้อยแต่กลับไว้หนวดเครารุงรังพลันพุ่งสูงสามจั้ง แม้ว่าตัวเขาเองที่อยู่ในสำนักและยุทธภพจะไม่ถือว่าเป็นพวกพูดง่าย แต่ก็เกลียดการเห็นคนอ่อนแอถูกรังแกมากที่สุด จึงเฆี่ยนม้าบุกตะลุยไปด้านหน้าอย่างแค้นเคือง “จือหลัน ข้าจะช่วยเจ้าเอง! พวกโจรชั่วช้าสามานย์กลุ่มนี้สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!”
ด้านหน้า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เห็นจอมยุทธ์หญิงที่ถูกเรียกว่าจือหลันเป็นอันดับแรก แล้วค่อยเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นกำลังจะหนีไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าร้อนใจจนตาแดงก่ำ ผรุสวาทเสียงดัง “นังเด็กน้อยตาบอด เจ้าบอกให้ข้าผู้อาวุโสไสหัวไปงั้นรึ?”
ชายฉกรรจ์มองเห็นความดุร้ายเต็มใบหน้าของสตรีผู้นั้นก็โกรธจนกลายเป็นขำ “เจ้านั่นแหละรีบไสหัวไปเสีย เป็นแค่ลูกกระต่ายยังไม่หย่านมขนยังขึ้นไม่ครบก็กล้าอวดเก่งเป็นวีรบุรุษแล้วรึ? ต่อให้ผู้อาวุโสในสำนักของพวกเจ้ามาอยู่ตรงนี้ ข้าผู้อาวุโสก็ตบให้ปลิวได้ด้วยฝ่ามือเดียว รีบหลบไปซะ สตรีผู้นั้นคือปีศาจเฒ่าที่ทำเรื่องชั่วช้ามาหนึ่งร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่ำช้าแค่ไหนนางก็ทำมาหมดแล้ว รอให้ข้าผู้อาวุโสถลกหนังดึงเส้นเอ็นของนางออกมาเมื่อไหร่ ก็จะได้รู้กันเองว่านางเป็นคนหรือเป็นปีศาจ!”
คนหนุ่มไว้หนวดเคราที่ควบม้าบุกออกมาเพียงลำพังชักกระบี่ยาว ชี้ปลายกระบี่ไปที่คนกลุ่มนั้นแล้วหัวเราะร่า “หน็อยแน่ะ เป็นคนเลวแล้วยังชิงฟ้องก่อนอีกรึ?”
ผู้เฒ่าสวมชุดสีดำด้านหลังชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว “หันปลายกระบี่ใส่คน? ใครเป็นคนสอนมารยาทเจ้า!”
ชายหนุ่มไว้เคราถลึงตาตอบกลับ “บรรพบุรุษเจ้าไงล่ะ!”
ผู้เฒ่าชุดดำหัวเราะเสียงเย็น “เหล่าซ่ง พวกเจ้าไปจับตัวนังปีศาจนั่นมาก่อน ข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กรุ่นหลังผู้นี้ให้รู้จักหลาบจำสักหน่อย”
“อย่าชักช้าอยู่ล่ะ เห็นได้ชัดว่านังปีศาจเฒ่ายังมีท่าไม้ตายซ่อนอยู่ ต้องให้เจ้าใช้คาถาชุบชีวิตเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน” ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนพยักหน้ารับ จากนั้นก็พาทุกคนบุกจู่โจม ไม่สนใจชายหนุ่มหญิงสาวที่ขวางทางอยู่แม้แต่น้อย
ทางถนนสายนี้ไม่ได้กว้างขวางนัก แค่พอให้ม้าสามตัวเดินเรียงกันผ่านไปได้ หญิงสาวหน้าตางดงามผู้พกดาบแคบตวาดเสียงเฉียบ “ยังไม่ยอมหยุดอีกรึ?!”
ชายฉกรรจ์ควบม้าบุกตะลุยผ่าไปตรงกลางระหว่างหญิงสาวดาบแคบกับชายไว้หนวดเครา หญิงสาวตวัดดาบขวางไว้ กลับถูกชายฉกรรจ์ผู้นั้นใช้ดาบที่กำอยู่ในมือปัดขึ้นเบาๆ ก็ผลักพ้นทาง สตรีที่คิดว่าตัวเองพอจะประสบความสำเร็จบนวิถีวรยุทธ์จึงมีชื่อเสียงในยุทธภพอยู่บ้างอึ้งค้างอยู่กับที่ สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงลาน ชายหนุ่มไว้หนวดเคราที่ถนัดใช้ดาบเหมือนกันยิ่งโมโห ตวัดดาบฟันลงไป ทว่าชายกำยำผู้นั้นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สายตาเอาแต่จับจ้องสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่เบื้องหน้า เพียงเอื้อมมือไปคว้าดาบที่ฟันเข้าหาอย่างไม่ใส่ใจ พอดาบยาวเล่มนั้นมาอยู่กลางฝ่ามือก็โยนทิ้งลงไปจากภูเขา
จอมยุทธ์ชายหญิงที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันคึกคักฮึกเหิมยืนอึ้งคล้ายเทพทวารบาลสองฝั่งซ้ายขวา ปล่อยให้โจรภูเขากลุ่มนี้ควบม้าตะบึงผ่านไป
ผู้เฒ่าชุดดำที่รั้งอยู่ท้ายสุดเดินขยับมาอย่างเชื่องช้า เห็นสีหน้าตะลึงพรึงเพริดของมือดาบหนุ่มก็หลุดหัวเราะพรืด “เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามก็กล้าก่อเรื่อง? เด็กน้อยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ต้องตายด้วยน้ำมือของนังปีศาจเฒ่าผู้นั้นมีมากแค่ไหน? มือคู่หนึ่งยังไม่พอให้นับ แล้วคนอย่างเจ้าเนี่ยนะจะปกป้องนาง? ไม่แน่ว่าในหัวของนางอาจกำลังคิดว่าจะค่อยๆ เขมือบกลืนผู้มีพระคุณอย่างพวกเจ้าลงท้องอย่างไรอยู่ก็ได้!”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “แต่ก็ไม่แน่เสมอไป นังปีศาจเฒ่าเชี่ยวชาญการฝึกวิชาคู่หยินหยางที่อำมหิต ชอบดื่มเลือดสูบของเหลวจากร่างผู้ชายที่แข็งแรง ลูกหมาน้อยที่ขาที่สามยาวแล้วอย่างเจ้า หากตายใต้ต้นดอกโบตั๋น กลายเป็นผีก็ยังคุ้มค่า” (เปรียบเปรยถึงผู้ชายที่ยอมตายเพื่อสาวงาม)
ชายหนุ่มเครายาวหน้าแดงก่ำ อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ตาแก่ เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
ชายชราสวมชุดดำเงื้อมือขึ้นตบผ่านอากาศ เขายังอยู่ห่างจากชายหนุ่มไว้หนวดเคราไปไกลมาก แต่เสียงตบดังกังวานกลับดังขึ้นบนใบหน้าของฝ่ายหลังอย่างแรง ร่างของเขาพลัดตกจากหลังม้า หมุนคว้างกลางอากาศสองรอบถึงร่วงลงบนพื้น
หากอิงตามความรู้บนยุทธภพ วิชาอภินิหารเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นความสามารถของปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ห้าเท่านั้นถึงจะมีได้ ขอบเขตหกเจ็ดล้วนเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีคุณสมบัติจะก่อตั้งพรรคหรือสำนักในอาณาเขตของแคว้นแห่งหนึ่ง แล้วขอบเขตแปดเก้าในตำนานล่ะ? อยากเจอก็ยังยาก ใครบ้างที่ไม่ใช่แขกผู้ทรงเกียรติของราชวงศ์ในโลกมนุษย์? ดังนั้นพวกเขาจึงหลุดพ้นจากยุทธภพไปนานมากแล้ว
สภาพจิตใจของหญิงสาวผู้นั้นมั่นคงไม่น้อย นางรีบหันหน้าไปเอ่ยเตือนเพื่อนทันที “ระวังสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้น!”
สตรีแต่งงานแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วกว่าที่คิด นางที่สวมเสื้อคลุมกันลมพลันเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือไปกระชากชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายลงมาจากหลังม้า กำแขนของเขาเอาไว้แน่น แล้วยิ้มหยาดเยิ้ม “ยังนึกว่าดีชั่วก็พอจะช่วยถ่วงเวลาให้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะมีแต่พวกมดตัวน้อยไร้ค่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ช่วยฮูหยินภูเขาชิงหยาของพวกเจ้าสักหน่อยเถอะ!”
เพียงแต่ว่าสตรีแต่งงานแล้วเพิ่งจะโคจรลมปราณหมายดึงเอาเลือดลมในร่างของชายหนุ่มมาเป็นสารบำรุงให้กับช่องโพรงลมปราณของตัวเอง หางตากลับเหลือบไปเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงวัดร้างที่นิ่งดูดายมาตลอดเวลาขยับตัวว่องไวดุจกระต่ายที่เผ่นหนี ร่างของเขากระโดดผลุงขึ้น เรือนกายที่แข็งแรงปราดเปรียวเกินจินตนาการนั้นปล่อยหมัดเข้าใส่ศีรษะของนาง สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเย้ายวน แค่มองอีกฝ่ายเป็นเด็กโง่อายุน้อยไม่รู้ความ จึงมองเมินหมัดนั้นอย่างสิ้นเชิง ด้วยเชื่อว่าต่อให้ต่อยลงบนร่างของตนก็ไม่อาจทำให้เสื้อผ้าของนางขาดออกได้
ทว่านางเพิ่งจะดื่มด่ำกับกลิ่นอายชวนเคลิบเคลิ้มจากการที่เลือดลมของคนหนุ่มเติมเต็มเข้ามาในช่องโพรงลมปราณของตน หมัดที่ต่อยลงบนศีรษะกลับเป็นเหมือนค้อนเหล็กที่ทุบลงมาบนจุดไท่หยางข้างขมับฝั่งหนึ่งของนาง ทำเอาศีรษะของสตรีแต่งงานแล้วผงะส่ายเป็นวงกว้าง แม้ว่าจุดไท่หยางจะไม่ถูกหมัดนั้นทุบจนเละ แต่กล้ามเนื้อกลับเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนดั่งถูกไฟแผดเผา นิ้วทั้งห้าบนมือข้างที่จับแขนชายหนุ่มตวัดงอเป็นตะขอจิกลงไปในเนื้อแขนของชายผู้นั้นอย่างรุนแรง สร้างความเจ็บปวดจนเขาแผดเสียงร้องดังด้วยความทรมาน ราวกับว่าจิตวิญญาณถูกคนฉีกกระชาก
หลังจากโจมตีไปหนึ่งที เด็กหนุ่มอาศัยแรงดีดทิ้งระยะห่างกับสตรีแต่งงานแล้วเล็กน้อย พอเท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น ลมปราณในร่างก็โคจรอย่างว่องไว ลอดทะลวงผ่านช่องโพรงลมปราณหกหยุดระหว่างทางอย่างคุ้นเคย ขณะเดียวกับที่ออกหมัดก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักไปด้วย “ช่วยกันลงมือ!”
—–