กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 174.1 ปีนี้ช่วงหิมะใหญ่มีหิมะตกหนัก
ริมแม่น้ำใหญ่ของแคว้นหวงถิงซึ่งต้นกำเนิดอยู่ในดินแดนต้าหลี เฉินผิงอันตกปลาดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งได้อย่างไม่คาดฝัน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงเอามาต้มเป็นแกงปลารสเลิศหนึ่งหม้อ
หนึ่งคนสองปีศาจกินดื่มอิ่มหนำแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน
เฉินผิงอันถามพวกเขาว่า การกินเมฆดื่มน้ำค้าง สกัดดึงเอาละอองน้ำยามค่ำคืนและแก่นตะวันจันทราของเทพเซียนที่บอกไว้ในหนังสือนั้นมีประโยชน์จริงหรือไม่
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ร่างจริงคืองูหลามไฟพยักหน้ารับอย่างแรง
“สิบเบี้ยใกล้มือ ผลประโยชน์น้อยมาก”
เด็กชายชุดเขียวก้มตัวตักน้ำพลางส่ายหน้า “เจียวหลง (ในที่นี้เรียกเจียวและมังกรรวมกัน) อย่างพวกเราเมื่ออยู่กับภูเขาก็ต้องหากินจากภูเขา อยู่กับน้ำหากินกับน้ำ ผสานรวมกับรากฐานแห่งภูเขา กลืนกินโชคชะตาแห่งน้ำ นี่ต่างหากถึงจะเป็นต้นทุนของมหามรรคา ส่วนอย่างอื่นที่จอมปลอมล้วนไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “ในเมื่อยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ทำไมถึงไม่เอามาใช้ให้มีประโยชน์มากขึ้น? พวกเจ้าทั้งสองต่างก็อยากจำแลงร่างเป็นเจียว วันหน้ายังต้องพยายามหาร่องคูน้ำขนาดใหญ่ยาวเกินหมื่นลี้เพื่อลงสู่มหาสมุทร สุดท้ายกลายร่างเป็นมังกรที่แท้จริง นี่ต่างหากถึงจะถือเป็นวิธีที่ถูกต้อง พวกเจ้าไม่ควรต้องยิ่งมุมานะในการฝึกตนหรอกหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวโยนหินก้อนสุดท้ายออกไปเบาๆ ปัดมือ คลี่ยิ้ม “การฝึกตนน่ะหรือ ต้องอาศัยพรสวรรค์ ไม่อาศัยความขยัน”
เฉินผิงอันถามอีก “หากมีพรสวรรค์ก็ยิ่งไม่ควรต้องขยันให้มากขึ้นอีกหรอกหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็แกล้งตาย “นายท่าน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัว อาจเป็นเพราะถูกไอน้ำและลมเย็นมากเกินไป ข้าไปนอนก่อนนะ”
เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าเป็นงูน้ำ…”
เด็กชายชุดเขียวดีดตัวกระโดดผลุงพุ่งลงไปในแม่น้ำ พริบตาเดียวร่างของเขาก็หายวับไป
งูน้ำร่างใหญ่มหึมาว่ายวนอยู่ใต้แม่น้ำที่ขุ่นมัวอย่างอิสระตามอำเภอใจ ประหนึ่งกษัตริย์ที่ออกตรวจตราชาวประชาและบ้านเมือง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเอ่ยเบาๆ “นายท่าน เขาน่ะขี้เกียจ ก็แค่ชาติกำเนิดและพรสวรรค์ดีกว่าข้า เนื้อหนังมังสาที่มีมาตั้งแต่เกิดก็ยิ่งแข็งแกร่งทนทาน ต่อให้ข้าตั้งใจฝึกตนสองร้อยสามร้อยปีก็ยังสู้เขาไม่ได้”
เฉินผิงอันพูดปลอบใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปแข่งกับเขา แข่งกับตัวเองก่อน ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้”
นางบังเกิดความฮึกเหิมทันที “นายท่านพูดถูกแล้ว!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกล่าวจริงใจ “มิน่าเล่านายท่านเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองก็ขยันฝึกวิชาหมัดขนาดนี้ ท่านไม่คิดย่อท้อเลยสักนิดเดียว ที่แท้ก็เป็นเพราะนกโง่ต้องหัดบินก่อนนี่เอง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็รีบยกมืออุดปากตัวเอง
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
เฉินผิงอันหลุดขำ “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าโง่จริงๆ ดังนั้นจึงยิ่งต้องขยันหมั่นเพียร”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกเดินนิ่งเลียบริมฝั่งแม่น้ำ
ต่อให้เป็นเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มีนิสัยนิ่งสงบ แต่พอเห็นเขาเดินหลายรอบขนาดนี้ก็อดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้
หลายวันต่อมา เฉินผิงอันใช้ไม้ไผ่ลำหนึ่งยันพื้นเดินขึ้นเขาไปช้าๆ ระหว่างนั้นยังกอบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วใส่ลงไปในถุงผ้าฝ้ายขนาดเล็กใบหนึ่งที่เตรียมไว้นานแล้วอย่างเคร่งขรึมระมัดระวัง ดินหลากสีสันหลายถุงผสมรวมกันจึงเริ่มกลายเป็นน้ำหนักที่หนักที่สุดในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลัง สำหรับเรื่องนี้ทั้งเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ใจตรงกันจึงไม่เอ่ยถาม คิดแค่ว่านี่อาจเป็นความลับในการฝึกตนที่ไม่อาจบอกใครของอีกฝ่าย
แรกเริ่มเด็กชายชุดเขียวยังรู้สึกว่าไม่ต้องให้ตัวเองจำแลงร่างจริงเพื่อบุกเบิกเส้นทางช่างสุขสบายยิ่งนัก เพียงแต่ค่อยๆ เดินไปอย่างนี้นานวันเข้าก็อดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้ แต่ไม่กล้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการเดินทางของนายท่านผู้เฒ่าของตัวเอง จึงได้แต่หาเรื่องมาชวนคุย “นายท่าน ก่อนหน้านี้ตอนที่ผ่านเมืองแห่งนั้น ทำไมพวกเราถึงไม่จ่ายเงินซื้อความสุขสบายให้ตัวเองสักหน่อยล่ะ? บนร่างนายท่านเหลือเงินไม่มาก แต่ข้ามีเงินเยอะนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้จ่ายมือเติบเกินไป เพราะต่อให้ข้าใช้เงินที่พกมาตอนนี้หมดสิ้น ขอแค่ข้าเจอแม่น้ำสักสายหนึ่ง เพียงไม่นานก็จะงมสมบัติบางอย่างมาได้ นั่นน่ะมีแต่เงินทั้งนั้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าการฝึกตนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินทองฟุ่มเฟือยมากที่สุด…”
เด็กชายชุดเขียวรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “นายท่าน ข้าน่ะยากจนจะตายไป เมื่อครู่นี้ก็แค่โม้ให้ท่านฟังไปอย่างนั้นเอง!”
เพื่อให้ไม่ต้องฟังหลักการการเก็บหอมรอมริบของคนยากจนจากเฉินผิงอัน นับว่าเขายอมทำทุกวิถีทางแล้วจริงๆ
แต่จะอย่างไรแล้วเด็กชายชุดเขียวก็เป็นประเภทที่ทนความเงียบเหงานานไม่ได้ หลังจากเฉินผิงอันเงียบเสียงไปได้พักหนึ่ง เขาก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดอีกว่า “นายท่าน ข้าไม่ได้จะตำหนิท่านหรอกนะ เงินทองสำหรับการฝึกตนของพวกเรา เมื่อใช้หมดไปแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่ พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็เปิดฉากสังหารสี่ทิศ นี่ต่างหากถึงจะสมเป็นชายชาตรีชาติวีรบุรุษไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่มีชีวิตเหมือนแมลงวันที่วันๆ เข้าโพรงโน้นเจาะโพรงนี้ ขี้ขลาดไม่เอาไหน ตระหนี่ใจแคบ…”
เฉินผิงอันไม่ได้โต้กลับ เพียงเดินขึ้นเขาไปช้าๆ
คนที่ไม่เหมือนกัน
ต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน แต่สักวันก็ต้องแยกจากกันตรงจุดใดจุดหนึ่ง
นี่คือหนึ่งในความรู้ที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเฉินผิงอันได้มาจากการเดินทางคุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อยังแดนไกล
……
ตรงชายแดนอันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นหวงถิงกับต้าหลี เฉินผิงอันได้พบปรากฎการณ์ประหลาดที่ภูเขาสั่นคลอนแผ่นดินสะเทือน เขาเห็นว่าบนยอดเขาที่ห่างไปไกลลูกหนึ่งมีฝุ่นตลบคละคลุ้ง ด้วยเหตุนี้เฉินผิงอันจึงลากพวกเขาเข้าไปดูใกล้ๆ ผลคือได้เห็นโศกนาฎกรรมครั้งหนึ่งในเมืองเล็กของแคว้นหวงถิง กำแพงเมือง บ้านเรือนและศาลเทพเจ้าล้วนพังถล่มลงมานับไม่ถ้วน ชาวบ้านเกือบครึ่งเมืองสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว กลิ่นอายของความเศร้าอาดูรแผ่อบอวลอยู่ในแต่ละครัวเรือน มีนักพรตเต๋าทั้งแก่และหนุ่มเดินเข้าๆ ออกๆ ฝีเท้าเร่งร้อน มีทั้งสีหน้าเวทนาเห็นอกเห็นใจจากนักพรตเต๋าบางคนที่ยังเด็ก แล้วก็มีสีหน้าแช่มชื่นของนักพรตเฒ่าชราบางคนที่ได้เงินทองมาครอบครองจนถุงห้อยเอวตุง แต่ละคนสีหน้าท่าทางแตกต่างกันหลากหลาย
ยังดีที่ในเมืองยังไม่ถึงขั้นโกลาหลวุ่นวาย เฉินผิงอันไปเจอกับอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะรังแกคู่พี่ชายน้องสาวที่พ่อแม่เพิ่งตายไปเพราะปรากฎการณ์ประหลาดจึงขัดขวางเอาไว้ ไม่ให้พวกเขาบังคับเด็กสาวขายตัว เดิมทีคนกลุ่มนั้นก็คิดจะปล้นสะดมตอนไฟไหม้ (เปรียบเปรยว่าฉวยโอกาสเอาเปรียบคนอ่อนแอ) อยู่แล้ว ไหนเลยจะมีเหตุผล แต่พอถูกหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าของเฉินผิงอันประเคนใส่สองคนในกลุ่ม พวกเขาก็เผ่นหนีไปอย่างหวาดผวา
เฉินผิงอันมอบเงินยี่สิบตำลึงเงินให้คู่พี่น้องผู้ยากจนแล้วจากมา สุดท้ายมาหยุดพักที่ศาลเทพฝ่ายบู๊แห่งหนึ่งที่เงียบสงัดไร้ผู้คน ค้นพบว่าศาลขนาดเล็กที่ให้ความรู้สึกบอบบางแก่ผู้คนแห่งนี้กลับตั้งตระหง่านไม่ล้ม ไร้ร่องรอยเสียหายใดๆ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
รูปปั้นดินเผาสีสันของเทพฝ่ายบู๊องค์หนึ่งหนวดตั้งถลึงตาดุดันมองมายังโลกมนุษย์
เด็กชายชุดเขียวปรายตามองรูปปั้นเทพฝ่ายบู๊ปราดเดียวก็มองออกถึงความลี้ลับ “ควันธูปของที่แห่งนี้ไม่สะอาด สถานที่ก็เล็ก เห็นได้ชัดว่าปริมาณควันธูปไม่มากพอ กินไม่อิ่มย่อมต้องหิวตาย ไม่ว่าคนหรือเทพก็เหมือนกัน ดังนั้นเทพที่พิทักษ์ที่แห่งนี้จึงเผ่นไปนานแล้ว ก็ไม่แปลกที่ไม่สามารถปกป้องเมืองไว้ได้ ได้แค่รักษาความสงบของพื้นที่หนึ่งไร่สามงานแห่งนี้เอาไว้อย่างกล้อมแกล้ม”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่มีสายตาที่เฉียบคมและประสบการณ์อย่างเด็กชายชุดเขียว อีกทั้งจิตใจยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า จึงหันไปโค้งตัวคารวะรูปปั้นเทพฝ่ายบู๊องค์นั้นด้วยความเคารพ พอเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มทำความสะอาดพื้น นางจึงช่วยเช็ดคราบฝุ่นที่เกาะอยู่บนแท่นบูชา
เด็กชายชุดเขียวไม่กล้าแดกดันนายท่านผู้เฒ่าของตัวเอง จึงได้แต่หันมาเยาะเย้ยนางแทน “เจ้าเป็นงูหลามไฟที่ได้เล่าเรียนมาบ้าง จะมาตีสนิทอะไรกับเทพประเภทนี้? อีกอย่างมหาศึกในปีนั้นที่เดือดร้อนกันไปทั่วทุกย่อมหญ้าถือเป็นการเปลี่ยนฟ้าพลัดดินครั้งใหญ่ พวกเราที่เป็นเผ่าพันธุ์ของเจียวหลงนับว่าเป็นคนทรยศตัวจริงเสียงจริง โชคดีที่เทพน้อยของที่นี่ไม่อยู่แล้ว หากยังอยู่ การไหว้ครั้งนี้ของเจ้าต้องถูกเขามองเป็นการท้าทาย ไม่แน่ว่าองค์เทพผู้เฒ่าอาจถอดจิตจากร่างจริงมาเยือนโลกมนุษย์ด้วยร่างทองคำ จากนั้นก็ตบกะโหลกเจ้าปังทีเดียว หัวระเบิดเละเทะ โอ้โห ถึงเวลานั้นล่ะข้าจะต้องปรบมือให้กำลังใจแน่นอน”
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “ทำไมเจียวหลงอย่างพวกเจ้าถึงเป็นคนทรยศ?”
เด็กชายชุดเขียวรู้ว่าตัวเองหลุดปากไปแล้วก็รีบหุบปาก ส่ายหน้าอย่างแรง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งยกสองมือปิดปาก มองเฉินผิงอันด้วยท่าทางน่าสงสาร สีหน้าประมาณว่านายท่านโปรดอย่าถามข้า ต่อให้ข้ารู้ก็ไม่กล้าพูดหรอก น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เมฆสีแดงเพลิงปูแผ่เต็มขอบฟ้า เฉินผิงอันและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยกันก่อไฟทำอาหารในวัด เด็กชายชุดเขียวรอคอยกับข้าวเสร็จด้วยความเบื่อหน่ายจึงเดินกลับไปกลับมาบนธรณีประตูสูง แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดลงมา เดินเร็วๆ ลงขั้นบันไดไปหยุดตรงหน้าคู่พี่ชายน้องสาว กระแอมให้ลำคอชุ่มฉ่ำแล้วกล่าวอย่างวางมาด “มีธุระกับนายท่านผู้เฒ่าของข้างั้นรึ? ว่ามาเถอะ มีเรื่องอะไร แต่อย่าหวังว่านายท่านจะช่วยพวกเจ้ามากกว่านั้น ข้าแนะนำพวกเจ้าว่ามาทางไหนก็รีบกลับไปทางนั้น ถ้าหาก…”
เด็กชายชุดเขียวมองประเมินเด็กสาวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าเก่ามอซอพอๆ กับนายท่านของตน หน้าตาของนางแค่พอดูได้ แต่รูปร่างกลับยอดเยี่ยม อายุน้อยๆ ก็มีหุ่นอวบอิ่มเปี่ยมเสน่ห์ดุจสตรีแต่งงานแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง เด็กชายชุดเขียวหุบยิ้ม พูดเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจังของตัวเองต่อไป “ถ้าหากรู้สึกว่าพระคุณช่วยชีวิตยากจะหาสิ่งใดมาตอบแทน ใครบางคนจึงคิดจะเสนอตัวร่วมเตียงกับนายท่านของข้า ข้าก็จะไปช่วยรายงานให้…”
เด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าเล็กน้อยสีหน้ามืดทะมึน จะหมุนตัวจากไปด้วยความโมโห แต่กลับถูกเด็กสาวรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้เบาๆ เขาถึงได้เห็นว่าผู้มีพระคุณเดินออกมาจากศาลเทพฝ่ายบู๊แล้ว และหลังจากเขกมะเหงกใส่เด็กชายชุดเขียวก็กล่าวขออภัย “พวกเจ้าอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง เขาก็ชอบพูดเล่นข่มขู่คนอื่นแบบนี้แหละ”
เด็กสาวตอบเขินอาย “ไม่เป็นไร พี่ชายและข้าไม่ถือสา”
ที่แท้พี่น้องสองคนก็เอาอาหารมามอบให้ เฉินผิงอันรับมาแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างพูดไม่เก่ง เด็กหนุ่มจึงหมุนกายกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว ส่วนเด็กสาวยอบตัวคำนับอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วจึงเอ่ยบอกลาผู้มีพระคุณที่มีโอกาสพบกันโดยบังเอิญ
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินกลับเข้าไปในศาลเทพฝ่ายบู๊ มองเด็กชายชุดเขียวที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนธรณีประตูพลางเอ่ยเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่คราวหน้าอย่าพูดจาเลื่อนเปื้อนกับทุกคนอีก คำพูดไร้เจตนาบางคำสามารถทำร้ายคนได้ และคนบางคนก็อาจจำฝังใจไปอีกหลายปี”
ดวงตาสีเขียวเข้มที่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดของเด็กชายชุดเขียวเผยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่นับว่าอำพรางได้ดีมาก เขาก้มหน้าร้องอ้อหนึ่งคำแล้วก็เงียบไป
เฉินผิงอันเองก็ไม่พูดอะไรอีก นั่งลงในศาลเทพฝ่ายบู๊แล้วเริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่ง
กู้ช่านที่อาศัยอยู่สุดตรอกหนีผิงจดจำ “ศัตรู” ได้มากมายตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนที่พูดถึงคนเหล่านั้นเวลาอยู่ตามลำพังกับเฉินผิงอัน กู้ช่านมักจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แผ่ปราณสังหาร เด็กตัวเล็กแค่นั้นก็มีความคิดที่จะแอบไปรื้อสุสานบรรพบุรุษของคนอื่นแล้ว
เรื่องนี้ใครถูกใครผิด บอกได้ยากยิ่ง
แต่หากอิงตามคำบอกของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งโดยไล่เรียงตามลำดับขั้นตอน แท้จริงแล้วปมในใจหลายปมของกู้ช่านมีต้นกำเนิดมาจากคำพูดเย้ยหยันแดกดันที่มองดูแล้วต่อให้เอามารวมกันก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอนั่นเอง
เด็กชายชุดเขียวมองเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ยุ่งหัวหมุนอยู่ในห้อง รวมไปถึงเฉินผิงอันที่รวบรวมสมาธิฝึกวิชาหมัดแล้วขยับปากจะพูดไม่พูด สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับลงท้อง แต่ดูเหมือนว่าความกลัดกลุ้มที่สั่งสมไว้ยากจะกำจัดทิ้งไปได้ ฝีเท้าที่เดินเตร่ไปมาบนธรณีประตูจึงถี่กระชั้นกว่าเดิม ท้ายที่สุดเขารู้สึกว่าหากไม่พูดออกมาคงอัดอั้นตายแน่ สองเท้าที่อยู่บนธรณีประตูจึงหยุดกึก เรือนกายเล็กเตี้ยแกว่งโยกไปมาเป็นวงกว้างเหมือนชิงช้า เดี๋ยวก็คว่ำหน้าเข้าไปในวัด เดี๋ยวก็หงายหลังออกไปนอกวัด พูดกับเฉินผิงอันว่า “เด็กหนุ่มตรอกยากจนช่างไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นเสียบ้างเลย แค่คำพูดหยอกล้อสองสามคำก็ทนฟังไม่ได้ ตายไปเสียยังดีกว่า! ความสามารถอะไรก็ไม่มีสักอย่าง แต่จิตใจกลับสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า สมควรแล้วที่เด็กหนุ่มคนนั้นต้องลำบากยากแค้นไปทั้งชีวิต!”
เฉินผิงอันยังคงนั่งนิ่งหลับตาฝึกท่าเจี้ยนหลูของตนเหมือนเดิม ไม่ฟังไม่ถาม ไม่พูดไม่ตอบ
—–