กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 174.2 ปีนี้ช่วงหิมะใหญ่มีหิมะตกหนัก
เด็กชายชุดเขียวเงียบไปครู่หนึ่งก็กดเสียงให้ทุ้มต่ำ จุดลึกในดวงตาที่เริ่มมีประกายน้ำเย็นเยียบผุดขึ้นมาจ้องเขม็งไปที่เฉินผิงอัน พยายามพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “นายท่าน พวกเราออกมาเดินในยุทธภพต้องช่วยแค่ญาติมิตรไม่ต้องสนใจเหตุผล ถึงจะกินอร่อยอยู่เป็นสุข แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่เห็นว่าพวกเขาสองพี่น้องสำคัญตรงไหน บุญคุณยิ่งใหญ่ของนายท่าน แม้จะเป็นพี่น้องกัน น้องสาวรู้จักวางตัวเข้าใจเหตุผล แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับทำหน้าไม่พอใจ ด้านหนึ่งคงรู้สึกว่าข้าแทะโลมน้องสาวของเขา ทำให้เขาเสียหน้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเพราะเขามีความนับถือตัวเองต่ำ เพราะลึกๆ ในใจเขารู้ดีว่าตัวเองคือเศษสวะไร้ค่า ต่อให้ไม่เกิดเหตุโกลาหล เขาก็ยังปกป้องน้องสาวตัวเองไม่ได้อยู่ดี คนแบบนี้หากวันหน้ายังดึงดัน ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ก็มีแต่จะยิ่งต้องเสียเปรียบคนอื่น เพราะฉะนั้นนายท่าน ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีต่อพวกเขาสองพี่น้อง”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น หลังจากใคร่ครวญอย่างจริงจังอยู่ในใจตัวเองแล้วก็พยักหน้ารับ เอ่ยเนิบช้า “เจ้าพูดถูก แต่ผิดและถูกมีการแบ่งก่อนหลัง เจ้าไม่ควรเอาความถูกต้องในภายหลังมาปฏิเสธความถูกต้องในกาลก่อนหน้า ความผิดก็ยิ่งควรต้องเป็นเช่นนี้”
เด็กชายชุดเขียวกำหมัดแน่นอยู่ในชายแขนเสื้อ หลุบตาลงต่ำราวกับกลัวว่าหากเปิดเผยสีหน้าของตัวเองออกไป เฉินผิงอันจะมองทะลุ ‘บ่อน้ำ’ มาเห็นกระแสคลื่นในทะเลสาบหัวใจของตัวเอง ปีศาจน้ำผู้ควบคุมแม่น้ำอวี้เจียงซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นรู้สึกถึงเพียงไฟโทสะที่ลุกโหมอยู่ในใจ อยากจะต่อย ‘นายท่านผู้เฒ่าของตน’ ที่น่าเบื่อหน่ายให้ตายๆ ไปซะด้วยหมัดเดียว จากนั้นค่อยเขมือบงูหลามไฟตัวนั้นเพิ่มตบะให้กับตัวเอง ให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นหินรองเท้าแห่งมหามรรคาซึ่งทอดยาวไปสู่สวรรค์ของตน
เด็กชายชุดเขียวหมุนตัวกลับไป กระโดดลงจากธรณีประตู หัวเราะหึหึ “นายท่าน ถ้าอย่างนั้นข้าไปขอโทษพวกเขาแล้วกัน”
เสียงหัวเราะดังเข้ามาในศาลเทพฝ่ายบู๊ ทว่าสีหน้าของเด็กชายชุดเขียวที่หันหลังให้ศาลกลับเต็มไปด้วยจิตสังหารอันชั่วร้าย
หลังจากเด็กชายชุดเขียวจากไปไกลแล้ว เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “นายท่าน เขาโกรธมากจริงๆ นะ หากอยู่ที่แม่น้ำอวี้เจียง ดูจากนิสัยของเขา ไม่แน่ว่าอาจทำให้น้ำท่วมสองชายฝั่งไปแล้ว จากบันทึกในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ตลอดหลายร้อยปีมานี้เกิด ‘ภัยพิบัติทางธรรมชาติ’ อย่างน้ำบ่าท่วมทะลักอยู่หลายครั้ง เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่เพียงแต่ไม่ช่วยระงับการเกิด กลับยังช่วยผลักดันอย่างลับๆ ด้วย”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “ในเมื่อไม่ยอมเชื่อฟัง วันหน้าก็ไม่ต้องพูดเหตุผลกับเขาแล้ว”
คำว่าไม่พูดของเฉินผิงอันก็คือจะไม่พูดหลักการเหตุผลที่น่าเบื่อเหล่านี้กับเด็กชายชุดเขียวอีกแล้วจริงๆ
เดิมทีนึกว่าเดินทางมาร่วมกัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมดีแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ยอมพูดเรื่องพวกนี้ แต่ในเมื่อเขาไม่ชอบฟัง เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะหาเรื่องน่าเบื่อหน่ายมาสู่ตัว ให้ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็พอ วันหน้าขอแค่เด็กชายชุดเขียวไม่ทำเรื่องอะไรที่ล้ำเส้นของเฉินผิงอันก็ปล่อยให้เขาทำไป เหมือนกับเรื่องเล็กน้อยในวันนี้ หากเป็นตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ เฉินผิงอันคงแค่มองดูอยู่เฉยๆ ไหนเลยจะยอมเอ่ยความในใจออกมา เฉินผิงอันเดินทางกับชุยตงซานมาตั้งไกลขนาดนั้น เขาเคยพูดความในใจสักกี่ครั้งกันเชียว?
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “นายท่านสามารถพูดกับข้าได้ ข้าชอบฟังเรื่องพวกนี้”
เฉินผิงอันยิ้มเข้าใจ “แต่หากมีเรื่องไหนที่พูดไม่ถูก เจ้าต้องบอกข้าด้วย”
ฉับพลันนั้นความคิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้น นางจึงหลุดปากพูดออกไป “ที่นายท่านบอกว่าต้องอิงตามลำดับนั้น ทำให้ความคิดของข้าสว่างโล่งทันทีทันใด ท่านกล่าวได้ถูกต้องอย่างถึงที่สุด!”
แล้วนางก็หน้าแดงก่ำ รีบอธิบาย “นายท่าน ข้าไม่ได้เลียนแบบเขานะ ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจท่าน!”
เฉินผิงอันมองเปลวไฟ ข้าวใกล้จะสุกแล้ว เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกล่าวขุ่นเคือง “นายท่าน พวกเราไม่ต้องเหลือข้าวไว้ให้เขา ปล่อยให้เขาหิวไปเลย นายท่านอุตส่าห์หวังดีกับเขา เขายังจะมาโกรธท่าน! หากไม่เป็นเพราะร่างจริงถูกกักไว้ในแท่นฝนหมึก วันนี้เขาคงลงมือกับนายท่านไปแล้วจริงๆ เมื่อครู่นี้ข้าตกใจแทบตายแน่ะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องเหลือข้าวเอาไว้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มสดใส “ข้าเชื่อฟังนายท่าน”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน
แน่นอนว่าเด็กชายชุดเขียวไม่ได้ไปขอโทษคนที่เป็นเหมือนมดตัวน้อยในสายตาของเขา แค่อดทนไม่ตบคู่พี่น้องให้กลายเป็นเนื้อบดก็นับว่าเขาใจกว้างมากพอแล้ว
เด็กชายชุดเขียวเอาสองมือไพล่หลัง เดินออกห่างจากศาลเทพฝ่ายบู๊ แตะปลายเท้าเบาๆ หนึ่งครั้งก็ดีดตัวขึ้นบนหลังคาแห่งหนึ่ง เรือนกายเล็กเตี้ยกลายร่างเป็นควันสีเขียวอ่อนจางที่พุ่งออกไปนอกเมือง สุดท้ายทะยานร่างขึ้นสูงหายสวบเข้าไปในชั้นเมฆ วาดเส้นโค้งใหญ่มหึมาอยู่บนท้องฟ้า พอตกลงกลางภูเขาลึกแล้วร่างจริงที่กลับคืนเป็นงูน้ำก็กระแทกลงบนพื้นดิน แผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงจนคนในเมืองต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน
งูน้ำเลื้อยร่างใหญ่โตไปตลอดทาง ไม่ว่าผ่านที่ใดต้นไม้ก็หักโค่นระเนระนาด ก้อนหินกลิ้งขลุกๆ กระเด็นกระดอน ต่อมาก็เลื้อยทวนกระแสลำธารสายหนึ่งขึ้นสู่เบื้องบน สะเก็ดน้ำแตกซ่านกระจาย สุดท้ายเลื้อยร่างพันรอบหน้าผาสีเทาซีดที่โดดเด่นแห่งหนึ่ง หัวโผล่พ้นยอดหน้าผาไปแล้ว แต่หางยังคงวางพาดอยู่ตรงตีนหน้าผา
ต้นไม้ตรงหน้าผาที่เดิมทีก็มีอยู่ไม่มากแหลกเละแล้วกลิ้งหลุนๆ ตกลงมา
งูน้ำที่แผ่กลิ่นอายดุร้ายเพิ่มพละกำลังไปทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายถึงขั้นบีบรัดให้ผาหินทั้งผืนแตกพัง
เขาถึงได้จำแลงร่างกลับคืนท่ามกลางฝุ่นที่ตลบมืดฟ้ามัวดิน แล้วจึงลงจากเขาไปด้วยฝีเท้าเบาดุจขนนก ว่องไวดุจสายฟ้าแลบ
เด็กชายชุดเขียวไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของคนสองคน บนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างไปไกลหนึ่งร้อยลี้ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อยืนตระหง่านรับลม ในมือถือแท่นฝนหมึกที่มีเจียวเฒ่าตัวหนึ่งนอนหลับสนิท ส่งเสียงกรนเบาๆ เหมือนเหนื่อยอ่อน เขาก็คือซือหลางเฒ่าของแคว้นหวงถิง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเผ่าพันธุ์เจียวหลง (ในที่นี้หมายถึงทั้งเจียวและมังกร) ที่เหลืออยู่ไม่มากของแคว้นสู่โบราณ
เจียวเฒ่าได้รับอักษรทองกลางฝ่ามือจากเหวินเซิ่งก่อน จากนั้นจึงกลายเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ กับราชครูต้าหลี หลังจากส่งชุยฉานที่อยู่ในหนังหุ้มของเด็กหนุ่มไปถึงอาณาเขตของต้าสุยแล้ว ผู้เฒ่าก็เดินทางกลับมายังขอบเขตของแคว้นหวงถิง แล้วเริ่มจับเจียวและมังกรทั้งหมดที่เหลืออยู่มากักเก็บไว้ในแท่นฝนหมึก เขาถึงกับใช้วิชาอภินิหารใหญ่อย่างการขุดดินลึกสามฉื่อ ลงน้ำลึกพันจั้ง ตอนนี้ในแท่นฝนหมึกนอกจากเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ชุยฉานเป็นผู้จับมาเองแล้ว ก็ยังมีเจ้าตัวเล็กตัวน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าตัว
เวลานี้ข้างกายของผู้เฒ่ามีหญิงชราหลังงองุ้มคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างจริงของนางคืองูปล้องแดงที่เติบโตขึ้นมาในป่าเขา หลังจากได้รับโชควาสนาด้านการฝึกตนก็ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากมาอีกห้าร้อยปี ถึงได้มีสภาพอย่างทุกวันนี้ เพิ่งจะเลื่อนขั้นสู่ตบะขอบเขตเจ็ดก็ถูกผู้เฒ่าหาที่ซ่อนตัวเจอ อีกฝ่ายเจาะภูเขาลึกลงไปร้อยจั้งแล้วดึงร่างจริงของหญิงชราออกมา นางถึงจำต้องยอมพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ทว่าการยอมศิโรราบต่อผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงโด่งดังแค่ทำให้หญิงชรารู้สึกว่าไม่มีอิสระเท่านั้น หาได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรมใดๆ ไม่
ผู้เฒ่าถามเสียงเรียบเฉย “คิดว่าอย่างไร?”
หญิงชราตอบนอบน้อม “เรียนท่านบุรพาจารย์ งูน้ำตัวนี้ยังมีนิสัยดื้อรั้นเกเรอยู่มาก แต่สายเลือดและฐานกระดูกของเขา ต่อให้เป็นข้าก็ยังรู้สึกอิจฉาไม่น้อย”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ชาติกำเนิดพอใช้ได้ น่าเสียดายที่โง่เขลา นิสัยแปรปรวน ไม่อาจนำมาใช้ในงานสำคัญได้ เสียโอกาสในการลอกคราบลับๆ ไปอย่างสิ้นเปลือง”
หญิงชราอึ้งตะลึง ไม่รู้ว่าทำไมผู้เฒ่าถึงพูดเช่นนี้
ก่อนหน้านั้นคนทั้งสองลอยตัวอยู่กลางก้อนเมฆเหนือศาลเทพฝ่ายบู๊ที่รกร้างอยู่ตลอดเวลา เจียวเฒ่าใช้วิชากอบน้ำดูฟ้าดินจึงมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
หากเด็กชายชุดเขียวกล้าลงมือกับเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นแค่การท้าทาย เขาก็ต้องตายไปอย่างเฉียบพลัน เจียวเฒ่าไม่คิดใจอ่อนมีเมตตาแน่นอน
และในความเป็นจริงแล้วเจียวเฒ่าก็ค่อนข้างจะเกลียดชังเด็กชายชุดเขียว ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนิสัยใจคอ แต่ล้วนเป็นเพราะความขัดแย้งทางสายเลือด ท่ามกลางสายเลือดของเจียวและมังกรจำนวนมากที่หลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์ สายของเด็กชายชุดเขียวมักจะฝึกตนได้ว่องไว ค่อนข้างจะเป็นลูกรักของสวรรค์ แต่กลับถูกเจียวและมังกรที่แท้จริงผลักไสไล่สงมากที่สุด ก็เหมือนกับบุตรนอกสมรสในตระกูลชนชั้นกลางที่มักจะได้รับสถานะไม่สูงไม่ต่ำ ไม่มีความสามารถโดดเด่น แต่กลับขัดหูขัดตาผู้คนอย่างมาก
ตบะของหญิงชราต่ำ วิสัยทัศน์คับแคบ จึงมองสายสนกลในอะไรไม่ออก
ส่วนนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดของงูน้ำตัวนั้น หญิงชราก็ยิ่งไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ การที่สันหลังของนางโก่งงอ นั่นเป็นเพราะครั้งแรกที่ช่องโพรงในร่างถูกเปิด พละกำลังยังอ่อนแออยู่มาก กลับถูกคนจับงูในภูเขาจับตัวได้ ระหว่างที่ต่อสู้กันได้ถูกคนผู้นั้นทำลายต้นกำเนิดของพลัง จึงเป็นเหตุให้ถึงแม้นางจะกลายร่างเป็นมนุษย์ก็ยังมีสันหลังคดงอติดมาด้วย ภายหลังนางไปเจอลูกหลานของคนผู้นั้น การชำระแค้นเลือดที่ช้าไปถึงสองร้อยกว่าปีจึงเกิดขึ้น คนของตระกูลชนชั้นกลางตระกูลหนึ่งในเมืองล้วนตายหมดภายในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าเด็กสตรีหรือคนชราก็ล้วนไม่มีใครหนีพ้นหายนะไปได้ ควันธูปของตระกูลขาดสายลงอย่างสิ้นเชิง
หลังจบเรื่องหญิงชรายังรู้สึกไม่สาแก่ใจ เจ็บใจก็แต่คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน หาไม่แล้วนางจะต้องทำให้เขาลิ้มรสชาติของความรู้สึกอยู่ไม่สู้ตายไปชั่วชีวิตให้จงได้
ดังนั้นการที่งูน้ำตัวนั้นสามารถอดทนข่มกลั้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มยากจนจู้จี้ขี้บ่นคนนั้น เด็กชายชุดเขียวกลับไม่หลุดคำพูดหยาบคายออกไปแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งเข้ามาในป่าลึกแล้วถึงได้ปลดปล่อยปราณสังหารอำมหิต ในสายตาของหญิงชราจึงเห็นว่าอีกฝ่ายฝึกระงับอารมณ์ได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ฐานกระดูกของเจ้าเทียบกับงูน้ำตัวนั้นไม่ได้ นิสัยและสติปัญญาก็ยิ่งสู้งูหลามน้อยตัวนั้นไม่ได้ ห่างชั้นไกลอักโขนัก”
หญิงชราหน้าเผือดสีทันใด
หวาดกลัวว่าหากผู้เฒ่าไม่พอใจจะสังหารตัวเอง
เพราะอย่างไรซะตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันมาก็มีพวกเผ่าพันธ์เดียวกันที่มีตาแต่ไร้แวว ไม่ยอมรับการพันธนาการอยู่ไม่น้อย ซึ่งทุกตัวล้วนถูกผู้เฒ่าลงมือสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น พอตายไปแล้วต้นกำเนิดพลังและจิตวิญญาณทั้งหมดยังไม่มีที่ให้หลบหนี ล้วนถูกดึงเข้าไปไว้ในแท่นฝนหมึกโบราณ ได้แต่กลายมาเป็น ‘หมึกบางๆ’ ชั้นหนึ่งเท่านั้น
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “บนมหามรรคา ผู้คนล้วนแย่งชิงเป็นที่หนึ่ง หากช้าไปก้าวเดียวก็ช้าไปทุกก้าว บางคนที่เอาแต่งีบหลับเกียจคร้าน ขอบเขตกลับทะยานพันลี้ภายในวันเดียว แต่เจ้าตั้งใจฝึกตนอย่างยากลำบากทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายก็ยังเป็นแค่เศษสวะคนหนึ่ง การฝึกตนก็น่าหน่ายใจเช่นนี้”
หญิงชรารีบเอ่ยเสริม “ท่านบุรพาจารย์ เด็กหนุ่มคนนั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่ร้ายกาจ แต่เป็นคนนำทางของเด็กหนุ่มต่างหากที่เก่งกาจอย่างแท้จริง หากเด็กหนุ่มเป็นแค่เด็กหนุ่ม ไม่ว่าเขาจะมานะพยายามแค่ไหน ขอบเขตของวิถีวรยุทธ์ก็ไม่มีทางสูงไปได้สักเท่าไหร่ อย่างมากก็ได้แค่ขอบเขตหกขอบเขตเจ็ด แค่นี้เท่านั้น”
ลงน้ำเป็นเจียว ลงมหาสมุทรเป็นมังกร นี่คือสองการขัดเกลาครั้งใหญ่ที่เหล่าเจียวหลงปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ท่ามกลางขั้นตอนนี้จะต้องพบเจอกับอุปสรรคยากลำบากเหลือคณา ไม่เพียงแต่ต้องเลือดโชกจนแยกเนื้อหนังไม่ออก ยังต้องผจญกับความทรมานของการผลัดเปลี่ยนกระดูก การลอกคราบระหว่างการเลื่อนขั้นในช่วงแรกเป็นแค่การลอกคราบระดับเล็ก ต้องผ่านการลอกคราบอยู่อีกหลายครั้ง สองครั้งหลังถึงจะเรียกว่า “การลอกคราบใหญ่”
ผู้เฒ่าเดินออกมาจากยอดเขาทีละก้าวท่ามกลางสายลม หญิงชราได้แต่กลับสู่ร่างจริงถึงจะติดตามไปได้ งูปล้องแดงยาวเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่งส่ายหางเลื้อยอยู่ข้างกายผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อ
เจียวเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าเส้นทางของเด็กหนุ่มจะต้องถูกเสมอไป อาจจะเป็นมหามรรคาที่ทอดยาวสู่สวรรค์ หรืออาจจะเป็นทางตันที่ไร้อนาคต แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้ทางสายนั้นเป็นทางตันก็มากพอที่จะทำให้งูน้ำตัวน้อยกลายร่างเป็นเจียว น่าเสียดายที่อยู่ท่ามกลางวาสนา แต่ดันไม่รู้ตัว ตัดขาดอนาคตของตัวเอง มิน่าเล่าสวรรค์ถึงไม่ประทานของกินให้ ต่อให้ประทานแล้วก็ยังไม่มีปัญญาถือถ้วยข้าวได้มั่นคง”
งูปล้องแดงพูดภาษามนุษย์ “ท่านบุรพาจารย์มีตบะลึกล้ำ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำและภูเขา เห็นมหาสมุทรเปลี่ยนเป็นไร่นามานับไม่ถ้วน สายตายาวไกล แค่พวกเราได้ทำตามคำสั่งของท่านบุรพาจารย์ก็พอใจแล้ว สำหรับพวกเราแล้ว นี่นับเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่อย่างหาสิ่งใดมาเทียบเทียมมิได้”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อเพียงแค่ยิ้มรับ
อันที่จริงยังมีคำพูดอีกมากมายที่เจียวเฒ่าไม่ได้เปิดเผยกับงูปล้องแดงตัวนี้ ซ้ำยังจงใจเอ่ยคำพูดบางอย่างที่ค้านต่อสถานะของตัวเองด้วย
พรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ถือว่าโดดเด่นก็จริง แต่เด็กที่ชื่อเฉินผิงอันคนนี้ไม่ได้ ‘ธรรมดา’ อย่างที่เจียวเฒ่าพูดแน่นอน ครั้งแรกที่เห็นเด็กๆ ซึ่งไปขอศึกษาต่อ ณ แดนไกลกลุ่มนั้นที่คฤหาสน์ของตน เจียวเฒ่าได้ใช้วิชาอภินิหารมองไปในปราดแรก เฉินผิงอันเป็นคนสุดท้ายที่เข้าสู่เนตรทิพย์ของเขา แต่มองไปมองมา เจียวเฒ่ากลับค้นพบว่าทุกคนต่างก็ห้อมล้อมอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ซึ่งสาเหตุไม่ได้มาจากคำพูดและการกระทำของเขาเท่านั้น
แต่มาจากพลังอำนาจที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
—–