กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 174.3 ปีนี้ช่วงหิมะใหญ่มีหิมะตกหนัก
ท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตก มีเด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาประณีต แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสะพายหีบหนังสือใบเล็ก เด็กหนุ่มผู้เย็นชาที่เดินบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว เด็กสาวรูปร่างอรชรผู้มีฐานกระดูกล้ำเลิศ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เก็บซ่อนตบะรวมทั้งปราณมังกรทั่วร่างไว้เป็นความลับ เด็กชายตัวเล็กแข็งแกร่ง
และสุดท้ายถึงจะเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ในมือถือมีดผ่าฟืนเดินนำทาง มองปราดๆ คือบุคคลที่ไม่สะดุดตาที่สุด
ทว่าเมื่อเจียวเฒ่าเพ่งมองไปหลายครั้งเข้ากลับมองออกถึงความแตกต่างที่ไม่ธรรมดา
ประหนึ่งดวงเดือนที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ดาว แล้วก็เหมือนยอดขุนเขาที่ภูเขาทั้งหลายพากันเคารพกราบไหว้
เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเดินนำอยู่ข้างหน้าก็คล้ายกำลังบอกว่า พวกเจ้าจงติดตามมาด้านหลังอย่างวางใจ
เพราะฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ ข้าล้วนแบกไว้ด้วยสองไหล่หมดแล้ว
……
หลังกลับมาถึงศาลเทพฝ่ายบู๊อีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวก็กลับคืนสู่สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และเฉินผิงอันก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิม
ตอนแรกเด็กชายชุดเขียวยังกังวลอยู่บ้างว่าเฉินผิงอันจะเปลี่ยนใจ ไม่มอบหินดีงูสองก้อนที่เคยรับปากไว้ให้เขาแล้ว จึงถามหยั่งเชิงไปสองครั้ง หลังจากได้รับคำยืนยันที่ชัดเจน เด็กชายชุดเขียวก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพียงแต่ว่าการอยู่ร่วมกันในภายหลัง แม้เฉินผิงอันจะไม่ทำตัวผิดแผกไปจากเดิม ยามที่ควรจะฝึกฝนวิถีวรยุทธ์ก็ยังคงให้เขาป้อนหมัด ยามที่ควรจะขี่ร่างเขาเพื่อเร่งเดินทางก็ยังคงให้เขากลับคืนสู่ร่างจริง แม้เขาจะเกเรดื้อรั้นหรือโวยวายไร้สาเหตุ เฉินผิงอันก็แค่ระอาใจด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร แต่ไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์
ทว่าเด็กชายชุดเขียวมักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง แต่มันคืออะไร เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ยิ่งขยับเข้าไปใกล้บ้านเกิดของนายท่านผู้เฒ่ามากเท่าไหร่ เด็กชายชุดเขียวก็รับรู้ได้ว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งอารมณ์ดีมากเท่านั้น นี่จึงทำให้เขาอารมณ์บูดมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นหลังจากข้ามภูเขาลูกหนึ่งเข้ามาในเขตแดนของแคว้นต้าหลีอย่างเป็นทางการแล้ว เด็กชายชุดเขียวจึงดึงท่าไม้ตายก้นกรุออกมาใช้
ท่ามกลางแสงสายัณห์ บนทางไม้เลียบหน้าผาที่ถูกปล่อยร้างมานานหลายปี คนสามคนก่อไฟนั่งพักเท้าอยู่ในถ้ำที่ค่อนข้างกว้างขวางซึ่งเว้าเข้าไปในหน้าผา เขาเรียกชามกระเบื้องใบใหญ่ออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น ในถ้วยมีน้ำใสอยู่เกือบครึ่ง ปราณวิญญาณแผ่อบอวล ไม่เหมือนกับน้ำไร้ต้นกำเนิด (หมายถึงน้ำที่ไม่ได้ไหลมาจากต้นน้ำโดยตรง) ทั่วไปในโลกมนุษย์
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาที่คลอไปด้วยน้ำแวววาว เพียงครู่เดียวก็รู้ที่มาที่ไปของถ้วยนั้น แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ยังดีที่เด็กชายชุดเขียวใช้สองมือยกถ้วยขยับไปนั่งข้างเฉินผิงอันอย่างเริงร่า พูดอย่างลึกลับว่า “นายท่าน จะให้ท่านดูอะไรดีๆ ใกล้แล้วล่ะ ยังเหลืออีกหนึ่งเค่อ”
เด็กชายชุดเขียวหันไปแสยะยิ้มให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “น้ำแบบนี้ ตอนนี้ข้ามีอยู่ห้าถ้วย มาจากตระกูลเซียนห้าแห่งที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นยังเป็นน้ำที่กอบมาจากบ่อฟ้าคำรามของเขาตะวันเที่ยง รู้หรือไม่ว่านายท่านใหญ่จ่ายเงินไปเท่าไหร่? ต่อให้เอาเด็กโง่อย่างเจ้าไปขายก็ยังได้เงินมาไม่พอ ตอนที่ข้ามีมากที่สุดก็ตั้งเจ็ดถ้วยใหญ่! แน่นอนว่าเจ้าเป็นงูหลามไฟก็ควรต้องมีสิ่งของที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ต้องมีฟืนที่พิเศษสักหนึ่งท่อน ธูปสักหนึ่งก้านถึงจะถูก แต่เจ้าคงไม่มีอะไรสักอย่างเลยสินะ?”
เฉินผิงอันมองเด็กชายชุดเขียวที่มีท่าทางลำพองใจ รวมถึงเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ละอายใจว่าตนสู้คนอื่นไม่ได้แล้วถามว่า “ถ้วยเล็กๆ ใบนี้จะมีอะไรให้ดูได้?”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มกว้าง แสร้งเล่นตัวไม่ยอมปริปาก
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอธิบายเสียงเบา “นายท่าน ข้าเคยอ่านบันทึกบางส่วนของอดีตบัณฑิตที่เก็บไว้ในหอหนังสือ การฝึกตนบนภูเขาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ตระกูลเซียนหลายตระกูลจะมีวิธีการหาเงินเป็นของตัวเองโดยการขายภาพวาดที่น่าสนใจต่อคนนอก อาจจะเป็นภาพทิวทัศน์ของสำนักซึ่งคนนอกได้แต่มองไม่อาจครอบครอง ภาพที่พักอาศัยของผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนที่มีชื่อเสียงบางคน หรือไม่ก็เป็นภาพผู้อาวุโสที่กำลังบังคับลมทะยานกลางอากาศ คนนอกไม่จำเป็นต้องไปเยือนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักเหล่านั้นก็สามารถทำความเข้าใจเพียงแค่มองปราดเดียวแม้จะอยู่ไกลไปนับพันนับหมื่นลี้ ประหยัดทั้งแรงกายแรงใจ อืม ก็แค่ไม่ประหยัดเงินเท่านั้น”
แม้ปากของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจะพูดจ้อ แต่อันที่จริงกลับแอบเหลือบมองน้ำถ้วยนั้นอยู่ตลอดเวลา แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา นางเล่นนิ้วตัวเองพลางพูดเสียงแผ่ว “นายท่าน เรื่องนี้มหัศจรรย์มากจริงๆ จำเป็นต้องให้ตระกูลเซียนเหล่านั้นเอาสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำในสำนักตัวเองออกมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นหินก้อนเล็กที่เจาะมาจากกำแพงบังตา ไม้วิเศษที่โค่นมาจากในสำนัก หรือไม่ก็น้ำจากบ่อลึกของเขาตะวันเที่ยงที่บรรจุอยู่ในถ้วยใบนี้ ก่อนหน้าที่จะนำเสนอสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ต่อคนนอกจะต้องเขียนตัวอักษรหนึ่งบรรทัดเพื่อระบุคำเตือนคนซื้อ ส่วนข้อที่ว่าคนซื้อจะยินดีเผาผลาญสมบัติปราณวิญญาณเพื่อรับชมจากที่ไกลๆ หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนซื้อเอง หากเต็มใจก็แค่กรอกปราณวิญญาณเล็กน้อยลงไปในสมบัติชิ้นนั้น แค่นี้สำนักฝ่ายตรงข้ามก็จะใช้วิชาอภินิหารมาเปิดภาพต่างๆ ที่ระบุไว้ตามคำบอกให้คนซื้อได้เห็น น่าสนใจอย่างยิ่ง!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งพูดก็ยิ่งหงอยซึม “ในอดีตหลังจากข้าอ่านเจอบันทึกนั้นแล้ว เคยได้ขอร้องให้สกุลเฉาจือหลันช่วยจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อตามหาไม้ท่อนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าพอข้ามอบผลประโยชน์ให้กับพวกเขาตามที่ตกลงกันไว้แล้ว สกุลเฉากลับหาข้ออ้างต่างๆ นานามาผัดผ่อนข้า สุดท้ายข้าก็เกรงใจที่จะพูดถึงอีก ได้แต่คิดซะว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น”
เด็กชายชุดเขียวพูดอย่างโอหัง “นั่นเป็นเพราะความสามารถของเจ้าอ่อนด้อย หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ดูสิว่าสกุลเฉาจือหลันจะกล้ารับเงินแล้วไม่ทำงานหรือไม่?”
สีหน้านางหม่นหมอง
เฉินผิงอันตบมวยผมน้อยๆ ของนางเบาๆ ปลอบเสียงอ่อนโยน “เสียเปรียบคือวาสนา เมื่อเคยเสียเปรียบมาก่อน วันหน้าก็ไม่ต้องคอยเสียเปรียบบ่อยๆ อีกแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงยหน้าขึ้น พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เด็กชายชุดเขียวเหลือกตาใส่คนโง่ทั้งสองอย่างไม่ปิดบังอาการ
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะลึงระคนดีใจ “เรื่องสนุกมาถึงแล้ว!”
น้ำใสแจ๋วในถ้วยกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
เด็กชายชุดเขียวดีดนิ้วหนึ่งที น้ำใสก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากกลางถ้วยเหมือนน้ำพุที่พุ่งขึ้นสู่เบื้องบน สุดท้ายกลายมาเป็นม่านน้ำที่ใหญ่เท่าม้วนภาพแม่น้ำและภูเขาภาพหนึ่ง
ภาพแรกที่ปรากฏบนม่านน้ำคือภาพยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงทะลุชั้นเมฆซึ่งมีกลุ่มภูเขาห้อมล้อม
จากนั้นก็มีสตรีชุดขาวผู้หนึ่งขี่กระบี่บินทะยานกลางอากาศ เรือนกายของนางโผล่พรวดขึ้นมากลางม้วนภาพอย่างกะทันหัน ตรงเอวของสตรีผู้นั้นแขวนน้ำเต้าโบราณเรียบง่ายลูกหนึ่ง นางขี่กระบี่บินขึ้นไปยังยอดเขาสูงอย่างรวดเร็ว แรกเริ่มสุดร่างของนางที่อยู่ในม่านน้ำใหญ่แค่เมล็ดข้าวสารเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นคนจิ๋วสูงเท่าฝ่ามือ ใบหน้าของนิ่งสงบเยือกเย็น แต่บุคลิกโดดเด่นไม่ธรรมดา
ขณะที่ยังห่างจากยอดเขาอีกเล็กน้อย ปราณกระบี่ก่อตัวเป็นสสารที่จับต้องได้จริง คล้ายเมฆแต่ไม่ใช่เมฆ คล้ายหมอกแต่ไม่ใช่หมอก แปลกประหลาดแต่มหัศจรรย์จนไม่อาจหาคำใดมาบรรยาย เซียนสาวไม่ขี่กระบี่ขึ้นสู่ยอดเขาสูงอีกต่อไป แต่ยืนนิ่งอยู่บนกระบี่บิน เริ่มเพ่งมองไปยังปณิธานกระบี่ที่อัดแน่นอยู่ในปราณกระบี่เหล่านั้น ต่อให้อยู่ห่างไกลนับพันนับหมื่นลี้ มีม่านน้ำภาพวาดนี้กั้นขวาง ปณิธานกระบี่บนยอดเขาที่ซุกซ่อนความหมายลึกล้ำยาวไกลหลากหลายชนิดกลับยังคงพุ่งมาปะทะใบหน้า บ้างก็เป็นกลิ่นอายของบรรพกาลเก่าแก่ บ้างก็เป็นพลังชีวิตที่เปี่ยมไพศาลดุจดวงตะวันโผล่พ้นมหาสมุทรใหญ่ทางทิศบูรพา บ้างก็เป็นพายุฝนฟ้ากระหน่ำถี่ยิบเหมือนสาดน้ำลงบนพื้นดิน
เด็กชายชุดเขียวไม่ได้มองปณิธานแห่งกระบี่ที่สับสนวุ่นวายเหล่านั้น เขาเอาแต่จ้องมองสตรีขี่กระบี่ผู้นั้นตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลย้อย หัวเราะชั่วร้าย “เทพธิดาซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยงผู้นี้คือสตรีในดวงใจของนายท่านใหญ่อย่างข้า เป็นรองจากเทพธิดาผู้เดียว เจ้าดูรูปร่างบุคลิกของนางสิ สหายเทพวารีผู้นั้นของข้าต่ำช้ายิ่งนัก แม้ว่าเขาเองก็เลื่อมใสเทพธิดาซูเจี้ยเหมือนกัน แต่ก็ยังชื่นชอบเทพธิดาที่มีหุ่นอวบอิ่มคนอื่นด้วย คนที่มองผู้อื่นแต่ภายนอกนับว่าสายตาตื้นเขิน อริยะนักปราชญ์พูดได้ถูกต้องตรงเผงเลย”
เขาหมุนนิ้วหนึ่งครั้ง ภาพนั้นก็หมุนเปลี่ยนทิศทางไปเล็กน้อย เปลี่ยนมาเป็นด้านหลังของซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยง จากนั้นขยุ้มกางเบาๆ ภาพแผ่นหลังของเทพธิดาก็พลันขยายใหญ่ เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคักฟังดูโง่งม ยื่นมือเช็ดมุมปากตัวเอง อยากจะเอาหน้าไปแนบติดแผ่นหลังของซูเจี้ยให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เกรงว่าคงทำอย่างนั้นไปนานแล้ว
เด็กชายชุดเขียวพูดหน้าบานเป็นกระด้ง “แต่สุดที่รักอันดับหนึ่งในใจข้ายังคงเป็นแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียง! นั่นคือเทพธิดาในหมู่เทพธิดา เทพเซียนในหมู่เทพเซียน หากนางยอมให้ข้าลูบมือเล็กๆ ของนางสักครั้ง ต่อให้อายุขัยสั้นลงหนึ่งร้อยปี ข้าก็ยินดี ไม่โกหกแน่นอน แล้วถ้าใครสามารถช่วยแนะนำ ทำให้ข้าได้พูดคุยกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงสักคำ จะให้ข้าเป็นลูกเป็นหลานของเขาก็ได้หมด…”
เฉินผิงอันมองปณิธานปราณกระบี่ที่จำแลงมาเป็นเมฆหมอก ไม่ว่าจะตั้งใจมองอย่างไรก็ยังได้แค่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ แต่ไม่อาจมองออกถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดความคิดทุกอย่างลง พยายามจะหาเงาร่างหนึ่งจากม่านน้ำ ซึ่งก็คือวานรย้ายภูเขาที่ทำพฤติกรรมชั่วร้ายในเมืองเล็ก น่าเสียดายก็แต่บนม้วนภาพมีแต่ร่างของซูเจี้ยคนเดียวตลอดเวลา หากจำไม่ผิด คนที่ชื่อหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าก็แอบชอบซูเจี้ยอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ม่านน้ำเริ่มจางลง พร่าเลือนไปเรื่อยๆ สุดท้ายร่วงไปรวมกันอยู่ด้านล่าง กลับคืนมาเป็นน้ำใสในถ้วยเหมือนเดิม
แต่เห็นได้ชัดว่าระดับน้ำลดลงไปจากเดิมเล็กน้อย
เด็กชายชุดเขียวเก็บถ้วยขาวและน้ำใสลงไป ถูมือพูดอารมณ์ดี “การชมครั้งนี้ เพราะมีทัศนียภาพปราณกระบี่บนยอดเขาตะวันเที่ยงจึงเผาผลาญพลังไปไม่น้อย แต่ไม่ขาดทุนแน่นอน! ก่อนหน้านี้เคยมองทัศนียภาพในจุดต่างๆ ของเขาตะวันเที่ยงอยู่หลายครั้ง เทพธิดาซูเจี้ยเคยปรากฏตัวแวบๆ แค่ไม่กี่ครั้ง ทว่าคราวนี้…จุ๊ๆ ไม่นึกเลยว่าเทพธิดาซูเจี้ยจะผ่านการบำรุงมาดีเยี่ยมขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยมองออกเลย…”
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน เดินไปยังทางสะพานไม้นอกถ้ำ ลมภูเขาพัดผ่านมาเป็นระลอกจนเสื้อผ้าเขาโบกสะบัดไปรวมกันด้านหนึ่ง
แต่ตอนนี้มีตบะของขอบเขตสองที่มั่นคง บวกกับได้เดินขึ้นเขาลงห้วยมาแล้วหลายครั้ง เก็บดินใส่ถุงมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ร่างกายของเฉินผิงอันในเวลานี้นิ่งตระหง่านดุจขุนเขาจนเหมือนจะกลมกลืนเข้ากับหน้าผาแคบชันด้านหลัง
เฉินผิงอันพลันร้องอุทานน้ำเสียงระคนความยินดี “หิมะตกแล้ว!”
เขายื่นมือค้างรอให้เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือ แค่หันหน้ากลับไปแจ้งข่าวที่น่ายินดีกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “พวกเจ้ารีบมาดูเร็วเข้า หิมะตกแล้ว!”
หิมะเกล็ดใหญ่เท่าขนห่านมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย
ปลายปีของปีนี้ ยี่สิบสี่ช่วงของการเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศในหนึ่งปีทยอยกันเดินผ่านไป ทว่าช่วงหิมะน้อยระหว่างที่คนทั้งสามเดินทางกลับบ้านเกิดกลับมีเพียงลมฝนเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นช่วงของหิมะใหญ่ (หมายถึงหิมะตกหนัก ตกเยอะ) ก็มีหิมะตกหนักจริงๆ
หลังจากบอกกับพวกเขาแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมือรอเกล็ดหิมะต่อไป เขาเงยหน้าขึ้น พึมพำด้วยความยินดี “หิมะตกแล้ว หิมะตกแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่เคยเห็นนายท่านดีใจขนาดนี้มาก่อน นางจึงกระโดดโลดเต้นขยับเข้าไปหาเขา
เด็กชายชุดเขียวไม่เคยเห็นใครอ่อนต่อโลกขนาดนี้มาก่อน เขายืนอยู่ที่เดิม บ่นงึมงำ รู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเบื่อไร้รสชาติ
—–