กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 179.2 เติมดิน
เว่ยป้อยื่นนิ้วออกมาวาดวงกลมวงใหญ่ “เดิมทีในพื้นที่กว้างขวางของรัศมีพันลี้รอบถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ต่อให้ตอนนี้พื้นที่ชายแดนจะถูกเขตการปกครองใกล้เคียงแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตก แต่ละฝ่ายหาคนในสำนักให้ช่วยพูดขอร้อง จากนั้นก็แบ่งสันปันส่วนกันไปได้คนละนิดหน่อย แต่หากตอนนี้หลงเฉวียนยังเป็นแค่อำเภอก็คงจัดการเรื่องพวกนี้เองไม่ได้ และอันที่จริงต่อให้เลื่อนเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วก็ยังควบคุมได้แค่พอถูไถอยู่ดี”
เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ การเดินทางในครั้งนี้ทำให้เขารับรู้ขนาดเล็กใหญ่ของอำเภอและเขตการปกครองในแต่ละแคว้นที่อยู่บนแผนที่มานานแล้ว เพราะอย่างไรซะเขาก็วัดขนาดจากการเดินแต่ละก้าวมาด้วยตัวเอง เขาจึงถามถึงเรื่องอื่น “งูดำของภูเขาฉีตุนมาอยู่ที่นี่ คงไม่ได้ก่อเรื่องอะไรกระมัง?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ฝึกตนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด ไม่เคยทำร้ายใคร ตอนนี้ต่อให้มันออกไปหาน้ำดื่มแล้วมีคนมาเจอเข้าระหว่างทางก็ไม่มีใครตกอกตกใจอีกแล้ว เพราะไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น พวกหนุ่มฉกรรจ์ในพื้นที่บางคนที่ใจกล้าหน่อยเคยหยิบก้อนหินขว้างใส่มันไกลๆ มันก็อดทน”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ข้าต้องหาคนมาคุยกันให้รู้เรื่อง เว่ยป้อ รู้หรือไม่ว่าใครรับผิดชอบที่นี่? ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ต้องพูดกันให้ชัดเจนก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะรังแกคนอื่นแบบนี้”
“รังแก ‘คน’ ที่ไหนกันเล่า ก็แค่งูหลามยักษ์ในป่าที่เริ่มมีสติปัญญาตัวหนึ่งเท่านั้น”
เว่ยป้อหลุดหัวเราะพรืดก่อน จากนั้นค่อยเอ่ยเย้า “อีกอย่างงูดำก็หนังหนามาก ต่อให้ถูกคนใช้มีดฟันเต็มแรงหลายทีก็ยังไม่เจ็บไม่คัน เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องเป็นกระต่ายตื่นตูม อีกอย่างหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าไม่ได้รู้สึกดีต่องูดำเท่าไหร่ไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้เพิ่งจะกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็เริ่มเข้าข้างมันแล้ว?”
“หากงูดำกล้ารังแกคนอื่นก่อน ครั้งนี้เมื่อพบหน้ากันข้าจะต้องเชิญคนมาสังหารมันให้ตาย ต่อให้ต้องจ่ายเงินข้าก็ยินดี”
แล้วเฉินผิงอันก็ส่ายหน้า “แต่หากมันไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับว่ามันจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ใด ขอแค่งูดำอยู่บนภูเขาอย่างสงบ แล้วยังมีคนไปท้าทายมัน นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย นี่เรียกว่ารนหาที่ตาย หากข้ากล้าทำแบบนี้ก็คงตายอยู่ในภูเขาเป็นร้อยรอบไปนานแล้ว”
“มีเหตุผล”
เว่ยป้อหรี่ตายิ้มบาง “เดี๋ยวกลับไปข้าจะช่วยเอาเรื่องนี้ไปแจ้งแทนเจ้าก็แล้วกัน ความสัมพันธ์น้อยใหญ่ในบรรดาภูเขาพวกนี้ ข้าคุ้นเคยดี”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวางมือสองข้างไว้บนเชือกด้านหน้าของหีบไม้ไผ่ที่คล้องเข้ากับไหล่ สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ เดินกันมาตั้งนานแล้วยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของภูเขา แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นของนายท่าน
นายท่านไม่ได้โม้จริงๆ ด้วย เขามีเงินจริงๆ!
เด็กชายชุดเขียวได้ยินหลักการยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้ยินมานานก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง แน่นอนเขาไม่ได้รู้สึกว่าที่เฉินผิงอันกล่าวมามีเหตุผลสักเท่าใด แต่การที่เฉินผิงอันโต้เถียงเทพเซียนชุดขาวที่เขามองตื้นลึกหนาบางไม่ออกผู้นั้นก็ทำให้เด็กชายชุดเขียวพึงพอใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก “เว่ยป้อ เจ้ารู้จักหร่วนซิ่วไหม? คือแม่นางคนหนึ่งที่อยู่ในร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี”
เว่ยป้อแสร้งทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ทำท่าเข้าใจในฉับพลัน “เจ้าหมายถึงบุตรสาวของอริยะหร่วนฉงน่ะหรือ เคยเห็นไกลๆ แค่ไม่กี่ครั้ง ภูเขาเสินซิ่วของนางคือภูเขาที่ราชสำนักต้าหลีทุ่มเทกำลังมากที่สุดในการก่อสร้าง หลายครั้งที่นางขึ้นเขาไปดูความคืบหน้าก็จะต้องแวะเข้าไปเดินเล่นในภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น ฯลฯ ก่อนหน้าที่เรือนไม้ไผ่จะสร้างเสร็จ นางก็เคยมาที่ภูเขาลั่วพั่วหนึ่งครั้ง ยืนสองมือไพล่หลัง มองดูข้าที่ยุ่งวุ่นวายอยู่บนหลังคาของเรือนไม้ไผ่ ยังถามข้าด้วยว่าต้องการคนช่วยหรือไม่ ข้าไม่ได้ตอบ แล้วแม่นางน้อยก็เงยหน้ามองข้าอยู่อย่างนั้นเป็นครึ่งๆ วัน ทำเอาข้าขัดเขินทำตัวไม่ถูก สุดท้ายไม่รู้ว่านางจากไปเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เฉินผิงอันหันกลับไปยิ้มให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูและเด็กชายชุดเขียว “แม่นางหร่วนคือเพื่อนที่ดีมากของข้า ข้ามีร้านอยู่ในเมืองเล็กสองร้าน ล้วนเป็นนางที่ช่วยดูแลให้ เมื่อพบนาง พวกเจ้าก็เรียกนางว่าพี่หญิงหร่วน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับทันที “ได้เลย!”
เด็กชายชุดเขียวไม่ใคร่จะเต็มใจนัก “ด้วยอายุของข้า จะเป็นบรรพบุรุษนางก็ยังได้ แล้วทำไมต้องให้ข้าเรียกนางว่าพี่ด้วย ลดลำดับศักดิ์สิบแปดรุ่นไปเสียเปล่าๆ …”
เฉินผิงอันปรายตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยทีเดียว เด็กชายชุดเขียวก็รีบยกสองมือทุบอกเสียงดังราวตีกลอง กล่าวสีหน้าจริงจัง “นายท่านสั่งมา จะให้ข้าเรียกนางว่ามารดาก็ยังได้!”
เฉินผิงอันอารมณ์ดีทันใด กล่าวอย่างคนรวยใจกว้างซึ่งหาได้ยากยิ่ง “กลับไปจะมอบหินดีงูธรรมดาให้พวกเจ้าคนละหนึ่งก้อน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกระโดดตัวลอยด้วยความปิติยินดี
เด็กชายชุดเขียวถามขลาดๆ “นายท่าน แล้วถ้าข้าเรียกนางว่าฮูหยิน ท่านจะมอบหินดีงูให้ข้าอีกก้อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันคลึงขมับ “ถึงเวลาหากแม่นางหร่วนจะตีเจ้าให้ตาย ข้าก็ไม่ขัดขวางนางหรอกนะ”
เด็กชายชุดเขียวสะดุ้งตกใจ พลันนึกขึ้นได้ว่าเว่ยป้อเคยเอ่ยถึง ‘บุตรสาวของอริยะหร่วนฉง’ เกี่ยวกับวีรกรรมและพฤติกรรมของหร่วนฉงอริยะแห่งเขาเจินอู่ ตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงเขาก็เคยได้ยินมานานแล้ว นั่นต้องเรียกว่าเป็นบุคคลที่โอหังไม่เห็นหัวใคร ไร้เหตุผลตัวจริงเสียงจริง มีอริยะที่ไหนบ้างกระชากคนอื่นเข้ามาในเขตแดนของตัวเองแล้วซ้อมพวกเขาเสียน่วม?
เด็กชายชุดเขียวรีบหัวเราะแห้งๆ ทันที “ข้าจะต้องมีมารยาท เคารพนอบน้อมต่อพี่หญิงหร่วนแน่นอน ข้ายังจะช่วยนายท่านจับตามองนางเด็กโง่ ไม่ให้นางพูดจาไม่ระวังปากล่วงเกินพี่หญิงหร่วน จนกลายเป็นว่านำหายนะมาสู่ตัว สุดท้ายทำให้นายท่านที่เป็นคนกลางลำบากใจ…”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดสามารถ จงใจไม่พูดถึงนิสัยอ่อนโยนของแม่นางผู้นั้น กลับกันยังอืมรับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางพยักหน้า “เมื่อเจอหน้ากันต้องมีมารยาทและเกรงใจนางให้มาก”
เดินเลี้ยวซ้ายทีเลี้ยวขวาที สุดท้ายเว่ยป้อก็พาทุกคนเดินขึ้นไปบนทางเล็กที่ปูด้วยหินเขียวเส้นหนึ่ง เขาเอ่ยเยาะตัวเอง “ทางเล็กใต้ฝ่าเท้าของพวกเราเส้นนี้ ข้าเป็นคนมาปูไว้เอง แค่รวบรวมหินในภูเขามาอย่างไม่พิถีพิถันนัก เฉินผิงอันเจ้ากลับมาแล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะเถอะ”
เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางแผ่นหินที่แน่นหนาและเป็นระเบียบกล่าวยิ้มๆ “ไม่เปลี่ยนๆ นี่ก็ดีมากแล้ว”
การมองเห็นของทุกคนพลันเปิดกว้าง มองเห็นเรือนไม้ไผ่สองชั้นหลังหนึ่ง สีมรกตปลั่งราวจะคั้นน้ำออกมาได้ รูปแบบประณีตงดงามมีเอกลักษณ์ ประเด็นสำคัญคือหอไม้ไผ่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับภูเขาและแม่น้ำสายใหญ่พอดี
ชั้นล่างของหอไม้ไผ่วางเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กกะทัดรัดน่ารักไว้สองสามตัว ด้านบนปูด้วยเบาะสานเล็กๆ
เฉินผิงอันมองตาค้าง ปากอ้าเผยอ ตื่นตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เดิมทีในจินตนาการของตน ขอแค่เรือนไม้ไผ่ที่เว่ยป้อรับปากจะสร้างให้ตนไม่เอนเอียงบูดเบี้ยวก็ดีมากแล้ว
ไหนเลยจะเคยคิดว่ามันจะดีได้ถึงขนาดนี้
พอคืนสติ เฉินผิงอันก็ถามเบาๆ “มันเป็นของข้าหรือ?”
เว่ยป้อยิ้ม “แน่นอน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “เว่ยป้อ ต่อไปนี้ภูเขาลั่วพั่วถือเป็นบ้านของเจ้าครึ่งหนึ่ง หากอยากมาอยู่ก็มาอยู่ได้ตามสบาย”
เว่ยป้อยิ้มกว้าง “โอ้ เปลี่ยนคำพูดซะแล้วรึ? ก่อนหน้านี้ใครนะที่พูดว่าภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่ของ ‘พวกเรา’?”
เฉินผิงอันหัวเราะแหะๆ “เว่ยป้อ เจ้าเป็นถึงเทพแห่งผืนดินบนเขาฉีตุนผู้ยิ่งใหญ่ มาคิดเล็กคิดน้อยกับข้าจะลดคุณค่าของตัวเองเอานะ”
เว่ยป้อหัวเราะร่า ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เดินทางไกลไปขอศึกษาต่อครั้งนี้ไม่ถือว่าเสียเที่ยว”
จากนั้นเว่ยป้อก็เห็นว่าหนึ่งผู้ใหญ่สองเด็กเผ่นแผล็วเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ แล้วไปยืนเรียงกันฟุบตัวบนรั้วระเบียงทอดสายตามองไปไกล ศีรษะหนึ่งสูงกว่าเล็กน้อย อีกสองศีรษะเล็กเตี้ยกว่า มองจากมุมของเว่ยป้อแล้ว อันที่จริงก็ดูเหมือนภูเขาลูกย่อมลูกหนึ่งไม่น้อย
“นายท่านๆ ทัศนียภาพของที่นี่สวยมากเลย วันหน้าพวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ไหม?”
“ต้องได้แน่อยู่แล้ว”
“นายท่าน แบ่งที่นี่ให้ข้าเถอะ ข้าไม่เอาหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งก็ได้ ตกลงไหม?”
“ไม่ได้”
ราวกับถูกอารมณ์ร่าเริงของพวกเราแพร่มาสู่ เว่ยป้อที่ไม่ใช่เทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนมานานแล้วหมุนตัวมองไปยังภูเขาและแม่น้ำที่ห่างไปไกลด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน
อยู่กับคนที่จิตใจดีมีเมตตา ประหนึ่งเข้าไปในห้องที่อวลด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ นานวันเข้าตนก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับกลิ่นหอมนั้น
……
เฉินผิงอันพาพวกเขาลงจากเขาไปที่เมืองเล็ก เว่ยป้อทำตัวลึกลับซับซ้อน เขาหายตัวไปตอนไหนไม่มีใครรู้ เด็กชายชุดเขียวอดเตือนเบาๆ ไม่ได้ “ทำตัวลับๆ ล่อๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี! นายท่าน วันหน้าอย่าสนิทสนมกับไอ้หมอนี่ให้มากนักเลย นี่คือข้อสรุปจากประสบการณ์ที่ข้าผ่านมาอย่างโชกโชน”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา
เดินข้ามเขาลงห้วยด้วยความคุ้นชิน เมื่อคนทั้งสามมองเห็นบ้านเรือนทางฝั่งตะวันตกของเมืองได้ไกลๆ เฉินผิงอันก็ถอนหายใจเบาๆ
ก่อนหน้านี้จงใจปีนข้ามภูเขาเจินจูที่ไม่สะดุดตา เฉินผิงอันมองบ้านเกิดของตนจากที่ไกลๆ ไปแล้วรอบหนึ่ง และได้ชี้ชวนให้เด็กสองคนข้างกายดูตำแหน่งคร่าวๆ ของหลายๆ สถานที่
ยกตัวอย่างเช่นตรอกหนีผิงที่ตั้งของบ้านบรรพบุรุษ โรงเรียนที่อาจารย์ฉีเคยสอนหนังสือในปีนั้น ตรอกฉีหลงที่เขามีร้านค้าอยู่สองร้าน ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ที่ได้รับจดหมายมากที่สุด ร้านตีเหล็กนอกเมืองเล็ก สุสานเทพเซียนทางทิศตะวันออกและภูเขาเครื่องปั้นทางทิศเหนือสุด เป็นต้น
มีเพียงสะพานหินที่กลับคืนสู่สภาพเดิมเท่านั้นที่เฉินผิงอันทำเพียงเหลือบมองผ่านๆ ตอนที่มองไปทางร้านตีเหล็ก ไม่เพียงแต่ไม่ได้แนะนำมัน ถึงขั้นไม่หยุดสายตามองให้ชัดเจนด้วยซ้ำ
ได้เห็นความมหัศจรรย์พันลึกและความอันตรายของโลกภายนอกมากับตาตัวเอง ทำให้เขาต้องยิ่งระแวดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เด็กชายชุดเขียวเดินอาดๆ “นายท่าน เดี๋ยวพวกเราจะไปที่ตรอกฉีหลงเพื่อดูร้านเฉ่าโถวกับร้านยาสุ้ยก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ไปที่หลุมศพพ่อแม่ข้าก่อน”
คนทั้งสามไม่ได้เดินทะลุเมืองเล็ก แต่เดินเลียบไปทางตอนล่างของลำคลอง
เดินผ่านสะพานหินที่ไม่เห็นกระบี่โบราณอยู่แล้ว ผ่านร้านตีเหล็กที่มีกระท่อมหลังเล็กเตี้ยซ้อนเรียงกันเป็นตับและมีเตาหลอมกระบี่ขนาดใหญ่ไปเงียบๆ สุดท้ายมาถึงด้านหน้าหลุมศพเล็กๆ เฉินผิงอันปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง หยิบถุงผ้าฝ้ายที่ขนาดใหญ่ไม่ถึงกำปั้นพวกนั้นออกมาเติมดินให้กับหลุมศพ
บนใบหน้าดำเกรียมของเด็กหนุ่มไม่มีทั้งอารมณ์เจ็บปวดปานจะขาดใจ แล้วก็ไม่มีสีหน้าของคนที่กลับมาบ้านเกิดด้วยความภาคภูมิใจ
เด็กหนุ่มที่เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำด้วยระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ เรื่องแรกที่ทำหลังจากกลับมาถึงบ้านก็คือแกะถุงเหล่านั้นออก เติมดินแต่ละกำมือเพิ่มให้กับหลุมศพของพ่อแม่เงียบๆ
—————————