กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 185.2 ตัวอ่อนกระบี่อยู่ในมือ
“ไม่รู้จักได้อย่างไร!” ผู้เฒ่าตบต้นขาที่แน่นตึงเด้งมือของสตรีข้างกาย “ขอให้น้องชายได้เล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน โลกใบนี้ของพวกเรามีหอใหญ่แห่งโชคชะตาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างอยู่เก้าแห่ง ซึ่งต่างก็ตั้งแยกกันอยู่ในเก้าสถานที่ แบ่งออกเป็นสยบภูเขา สยบแคว้น สยบสมุทร สยบมาร สยบปีศาจ สยบเซียน สยบกระบี่ และสยบมังกร หอสูงเสียดเมฆ ยิ่งใหญ่จนแทบจะเท่าเทียมท้องนภาทั้งแปดแห่งนี้ล้วนมีชื่อสองตัวอักษร มีเพียงแห่งสุดท้ายเท่านั้นที่มีชื่อสามคำ ประหลาดที่สุด มันชื่อว่า…”
ชายฉกรรจ์ตบตะเกียบกับโต๊ะ กล่าวอย่างเดือดดาล “พอที เฉาซีเจ้าจะไม่แล้วไม่เลิกจริงๆ ใช่ไหม?!”
ขณะเดียวกันกับที่ตะเกียบตบลงบนโต๊ะ สตรีชาวเรือทุกคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ทว่าไม่ส่งผลต่อการหายใจของพวกนาง มือไม้ของพวกนางยังขยับคล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนว่าแขกต่างถิ่นสองคนบนเรือที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดจะมองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรเลย
“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว และอีกไม่นานสถานะของพวกเราสองคนก็จะถูกเปิดเผย จะดีจะชั่วเจ้าเซี่ยสือก็เป็นบุคคลที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู หากจงใจปิดบังตัวตนกลับยิ่งจะทำให้คนสงสัย ไม่สู้ทำเหมือนข้าที่เดินอาดๆ เข้ามาในเมืองเล็ก แถมไม่แน่ว่าอาจจะยังไปต่อยตีกับคนอื่นด้วย ให้ต้าหลีได้เปิดหูเปิดตาซะบ้าง พวกเขาจะได้ไม่ทำเป็นมองไม่เห็นเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งอยู่ในสายตา”
เฉาซีกล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหลือบตามองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มตาหยี “ต่างก็พูดกันว่าเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ประหนึ่งดวงตะวันร้อนแรงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ชั่วชีวิตไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ทำไมครั้งนี้ถึงแหกกฎได้เล่า?”
เฉาซีโน้มตัวมาด้านหน้า คีบหัวไชเท้าดองชิ้นหนึ่งจากจานกระเบื้องใบเล็กสีเขียวอ่อน ส่งเข้าปาก “ก็แค่เครื่องเคลือบบิ่นแตกชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ ขอแค่เจ้าเปิดปากแล้วก็พยักหน้ารับ ข้าจะช่วยออกหน้าแก้ไขให้เจ้าเอง เซี่ยสือหนอเซี่ยสือ ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าเองก็อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้คนจูงจมูกเดินอยู่อีก? ไม่สมเพชตัวเองหรือไง?”
ชายฉกรรจ์หลุดหัวเราะพรืด “ไม่กลัวว่าลมแรงจะพัดลิ้นให้ขาดบ้างเลยรึ? (เป็นคำกล่าวให้คนระวังคำพูด อย่าพูดอะไรพล่อยๆ) คนที่ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าเป็นคนที่พูดง่ายนักหรือไง?”
เฉาซีทำหน้าตะลึง “ทำไม เหล่าเซี่ยข่าวสารของเจ้าไม่รวดเร็วพองั้นหรือ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเด็กรุ่นหลังในตระกูลข้าเพิ่งจะหมั้นหมายกับสตรีผู้หนึ่งที่เป็นลูกหลานสายตรงของสกุลเฉินผู้มากความรู้? สกุลเฉินเชิญให้ยอดฝีมือตระกูลลู่มาช่วยดูดวงให้ เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร แปดคำมงคล! กิ่งทองใบหยก คู่สร้างคู่สม! เรื่องนี้ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ เพราะในทวีปของพวกเรา ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวเล็กเลย”
เซี่ยสือแค่นหัวเราะ “เรื่องแบบนี้เจ้าเฉาซีไม่อับอายก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำหน้าภาคภูมิใจอีกรึ? ใครเขาให้หน้าเจ้ากัน?”
เฉาซีผู้หน้าหนาดั่งกำแพงถามย้อน “น่าอายตรงไหน? หลานชายของข้าอาศัยความสามารถที่แท้จริงหลอกว่าที่หลานสะใภ้มาได้ ข้าที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ทำไมจะไม่ยินดี?”
เซี่ยสือยกมือสองข้างกอดอก หรี่ตาเอ่ยเสียงหนัก “ว่ามาเถอะ สรุปว่าเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร? หากเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องปั้นชิ้นนั้น เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าไม่มีทางรับปากเจ้า เพราะนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของข้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้าเฉาซี”
เฉาซีร้องปัดโธ่แล้วขยี้ตาตัวเอง “ไม่เสียแรงที่เป็นจอมยุทธ์ใหญ่เซี่ยผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ความซื่อตรงเที่ยงธรรมที่มีอยู่ทั่วร่างช่างเจิดจรัสสะดุดตา ทำเอาข้าต้องรีบขยี้ตาตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงทนไม่ไหว…”
เชือกสีเขียวบนข้อมือของผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนไม่สลักสำคัญเผยตัวอีกครั้ง
คนทั่วทั้งทักษินาตยทวีปต่างก็รู้ดีว่าวิชากระบี่ของเฉาซีไม่ถือว่าเป็นสุดยอดในบรรดาเซียนกระบี่พสุธา แต่กระบี่ประจำกายของเขาที่เป็นอาวุธอาคมชิ้นหนึ่งมากพอจะทำให้เขาอยู่ในสิบอันดับแรกของหนึ่งทวีปได้
และในความเป็นจริงแล้วบนข้อมือของเฉาซีได้ผูกน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งกำลังไหลกรากเอาไว้
แม่น้ำสายนี้ก็คือกระบี่ประจำกายของเฉาซี
สำหรับข่าวของทวีปอื่นที่ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรพวกนี้ เซี่ยสือเคยได้ยินมานานแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังถามไปตรงๆ ว่า “เจ้าคิดว่าต้องตีกันสักรอบก่อน ถึงจะหุบปากได้?”
เฉาซีที่เอาแต่ดื่มเหล้ากินกับแกล้มโคลงศีรษะพูด “คนในทักษินาตยทวีปต่างก็พูดว่าข้าเฉาซีอารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ นิสัยวิตถาร เซี่ยสือ เจ้ารู้สึกว่าคนอย่างข้าคบหาได้ยากมากใช่หรือไม่?”
เซี่ยสือเริ่มหลับตาทำสมาธิ
ทุกครั้งที่เรือทัศนาจรจอดรับผู้โดยสารเพื่อตกลงเรื่องการค้า สตรีชาวเรือจะปลดโคมดวงหนึ่งที่แขวนอยู่บนตำแหน่งซึ่งกำหนดไว้ตรงหัวเรือออก แสดงให้รู้ว่าเรือลำนี้มีแขกเต็มแล้ว ไม่รับแขกอีก
เฉาซีโบกตะเกียบ “ผิดแล้ว ผิดมหันต์เลย บนโลกนี้คนที่คบหาได้ยากที่สุดคือคนอย่างเจ้าเซี่ยสือ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดความในใจ”
เซี่ยสือหลับตา “ความอดทนของข้ามีจำกัด”
เฉาซีกลอกตาใส่อีกฝ่าย “ก็ได้ พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน มีคนไม่ต้องการเห็นสกุลซ่งแห่งต้าหลีลุกผงาด เจ้าเซี่ยสือกลับดื้อด้าน ยึดมั่นในคำสัญญา จำต้องออกมาจากภูเขา เป็นเหตุให้การเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวถูกถ่วงให้ล่าช้าออกไป”
“ไม่บังเอิญเลยก็คือ สกุลเฉินผู้มากความรู้ไม่อาจทนเห็นฉีจิ้งชุนมีชีวิตที่ดีได้ แม้แต่ความประทับใจที่มีต่อต้าหลีในอดีตก็แย่ตามไปด้วย เพียงแต่ว่าวันนี้พวกเขาเปลี่ยนความคิดแล้ว จะด้วยสาเหตุใดก็ไม่รู้ แล้วข้าเองก็ไม่ได้สนใจ สรุปก็คือสกุลเฉินผู้มากความรู้ไม่เพียงแต่อาศัยนามของสกุลเฉินเมืองหลงเว่ยแห่งแจกันสมบัติทวีปสร้างโรงเรียนขึ้นในเมืองเล็ก ยังให้ข้าเดินทางไกลมาขัดขวางเจ้าเซี่ยสือเอาไว้ โดยจะจ่ายเงินเป็นของขวัญในวันแต่งงานให้แก่หลานชายของข้า”
“แม้จะไม่รู้แผนการอย่างเป็นรูปธรรม แต่เมื่อข้าปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว หลังจากนี้ก็จะต้องจับตามองเจ้าให้ดี”
เซี่ยสือไม่ได้ลืมตา แต่ปากกลับเอ่ยเยาะหยัน “เจ้าจะขวางข้าไว้ได้จริงๆ รึ?”
ในที่สุดเฉาซีก็กินกับแกล้มทั้งหลายในจานเล็กๆ จนหมด เขาวางตะเกียบลง กล่าวอย่างมาดมั่น “ข้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้หรือไม่ แต่มั่นใจว่าขวางเจ้าไว้ได้”
เซี่ยสือพลันลืมตาหันขวับมามอง
มือกระบี่หน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ไม่ได้พกกระบี่ยาวหรือสะพายกระบี่ยาว แต่วางกระบี่ยาวพาดเป็นแนวขวางไว้ด้านหลัง ข้อศอกสองข้างค้ำไว้บนฝักกระบี่กำลังมองสบตากับเซี่ยสือด้วยรอยยิ้มบางๆ
ตอนอยู่ที่จวนของผีสาวสวมชุดแต่งงานที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำใสลมแรง’ คนผู้นี้ดึงกระบี่ออกจากฝักแค่หนึ่งชุ่น ก็สามารถดึงเทือกเขาขนาดจิ๋วมาไว้ตรงหน้า ต้านรับกระบี่ที่คมกริบของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาเอาไว้ได้
ตอนอยู่เมืองหงจู๋ เขาเคยพบหน้าและดื่มเหล้ากับอาเหลียง ตอนอยู่บนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา เขาเคยได้พูดคุยกับเฉินผิงอัน ตอนนั้นดูเหมือนว่ายังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้จักกุมหมัดคารวะคนอื่นอีกด้วย สุดท้ายก็เป็นเขากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งนามว่าหลิวอวี้ที่พาเว่ยป้อแห่งเขาฉีตุนเดินทางไปที่หลงเฉวียน
ตอนนั้นเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนเรียกเขาว่า ‘คนผู้นั้นจากสำนักโม่’
……
เฉินผิงอันนั่งตรงข้ามกับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นอยู่ในห้องเป็นนาน สุดท้ายเขาค้นพบว่าไม่ว่าทำอย่างไรก็ทำใจให้สงบไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ได้ ฝึกคัดตัวอักษรไม่ได้ แม้แต่ฝึกเดินนิ่งและท่าเจี้ยนหลูก็ยังทำไม่ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงสะพายตะกร้าไม้ไผ่ เอากระบี่ไม้ไหวใส่ไว้ด้านใน ออกจากบ้านบรรพบุรุษ เดินออกมานอกตรอกหนีผิง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
รอจนเขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ตกใจกันยกใหญ่
เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ หัวใจของเขาพลันสงบนิ่ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคิดจะเดินตามไปด้วย แต่ถูกเด็กชายชุดเขียวคว้าคอเอาไว้ เขาเอ่ยสั่งสอนเสียงเบา “เจ้านี่มันโง่จริงๆ ดูไม่ออกหรือไงว่านายท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูทำหน้าเหลอหรา
เด็กชายชุดเขียวลากนางมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก พูดจามาดมั่นน่าเชื่อถือ “ด้วยนิสัยของนายท่านเรา มีแค่สองสถานการณ์เท่านั้นแหละที่ทำให้เขาผิดปกติแบบนี้ได้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงี่ยหูรับฟังอย่างตั้งใจ
เด็กชายชุดเขียวยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง กดเสียงต่ำ “สถานการณ์อย่างแรก คือเงินหาย อีกทั้งจำนวนยังไม่ใช่น้อยๆ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะชั่วร้าย “อีกอย่างหนึ่งก็คือนายท่านได้รับบาดเจ็บทางอารมณ์อย่างรุนแรง ยกตัวอย่างเช่นนอนพลิกตัวไปมาอยู่เพียงลำพัง ข้างหมอนไร้คนเคียงคู่จึงยากจะหลับตาลง แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดแผลงๆ จึงวิ่งไปบอกรักแม่นางหร่วนซิ่ว ผลคือถูกนางปฏิเสธมา หรือไม่ก็ตอนที่บอกรักสตรีในดวงใจทำตัวได้คืบจะเอาศอก คิดจะจูบปากนาง กอดนาง แต่กลับถูกแม่นางหร่วนตบบ้องหูอย่างแรง ด่าเขาว่าเป็นอันธพาลตัวเหม็น ทำเอานายท่านของพวกเราขุ่นเคือง จำต้องมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “นายท่านไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก”
เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจด้วยความเศร้าสลดหนึ่งที “เจ้านี่ไม่เข้าใจผู้ชายเอาเสียเลย”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นสอง มองลอดผ่านช่องว่างของรั้วระเบียงไปยังทิศไกล
เขาหยิบตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นออกมา ก้มหน้าจ้องมองมันนิ่งๆ เวลานี้ตัวอ่อนกระบี่เป็นเหมือนวัตถุที่ตายแล้วซึ่งอยู่นิ่งอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคลื่อนไหวผิดปกติเหมือนตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิง
ไม่รู้ว่าเหตุใด จิตใจของเฉินผิงอันถึงได้สงบสุข ถึงขั้นจิตใจมั่นคงกว่าตอนที่ฝึกวิชาหมัดในเวลาปกติ หัวสมองโล่งโปร่ง ความคิดกระจ่างชัดแจ่มแจ้ง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กำตัวอ่อนกระบี่ที่อยู่กลางฝ่ามือแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ของที่ไม่ใช่ของข้า ต่อให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า พอข้าหยิบขึ้นมา มันก็จะเป็นฝ่ายตามหาเจ้าของที่หายไป สุดท้ายก็ยังเป็นของผู้อื่นอยู่ดี แต่หากเป็นของข้า ก็คือของข้า เจ้าจะไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต่อให้เจ้าหนีไปจนสุดขอบฟ้า ข้าก็จะไปตามจับเจ้ากลับมา”
ตัวอ่อนกระบี่สีเงินเริ่มเปลี่ยนมาเป็นอุ่น ผ่านไปไม่นานก็เริ่มร้อนลวกมือ
เฉินผิงอันกัดฟันแน่น ใช้มือเดียวกำมันไว้ มืออีกข้างว่างไว้บนกระบี่ไม้ไหวเบาๆ ให้มันช่วยเป็นที่พึ่งทางใจ มาถึงช่วงท้ายก็ถึงกับต้องกำตัวกระบี่ไว้แน่น
ใจกลางฝ่ามือถูกลวกจนกลายเป็นสีแดงก่ำอยู่นานแล้ว
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ สะเทือนไปยันจิตวิญญาณ
ความเจ็บปวดที่มาจากการแผดเผาของตัวอ่อนกระบี่ นอกจากจะส่งไปถึงเลือดเนื้อผิวหนังแล้ว ที่มากไปกว่านั้นคือความน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่งซึ่งคล้ายเอาน้ำทองแดงร้อนๆ ราดรดลงบนหัวใจ
วิธีการโคจรลมปราณสิบแปดหยุดไหลเวียนเองโดยอัตโนมัติ พยายามสุดชีวิตที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนซึ่งความร้อนแผดเผานั้นนำมาให้ระหว่างที่คอยจู่โจมไปยังช่องโพรงลมปราณต่างชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมักจะหยุดชะงักอยู่ที่การโคจรลมปราณหกและเจ็ดหยุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจข้ามผ่านธรณีประตูบานนั้นไปได้
ไม่ว่าเฉินผิงอันจะตั้งใจฝึกท่าหมัด ฝึกยืนเดินแค่ไหน ไม่ว่าจะขัดเกลาร่างกายและจิตใจกับเด็กชายชุดเขียวอย่างไรก็ล้วนไม่อาจทำได้ จึงจำเป็นต้องหาวิถีทางอย่างอื่น
เพื่อลดทอนระดับความเจ็บปวดให้เหลือน้อยลงมากที่สุด เฉินผิงอันที่ร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจึงต้องพยายามแบ่งสมาธิไปคิดถึงเรื่องอื่น คิดถึงเนื้อหาในตำราอริยะปราชญ์ที่ชุยตงซานเคยท่องเสียงดัง คิดถึงตัวอักษรในเทียบยาที่นักพรตหนุ่มลู่เฉินเขียนไว้ให้ คิดถึงหนึ่งกระบี่ที่ทะลวงหมื่นคาถาของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ คิดถึงภาพมหัศจรรย์ยามที่กระบี่บินส่องประกายแสงสีขาวโจมตีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิและสายลมฤดูใบไม้ร่วงในตรอกหนีผิง…
แต่ละเรื่องราว คิดแล้วก็ล้วนแต่มีประโยชน์
นอกจากเลือดเนื้อกลางฝ่ามือของเฉินผิงอันที่อยู่ติดกับตัวอ่อนกระบี่ซึ่งอยู่ในสภาพเหวอะหวะแล้ว เลือดยังเริ่มไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขา ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ รูขุมขนเล็กๆ ทั่วร่างเริ่มมีเลือดซึมซิบๆ สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นหยดเลือดมากมาย มองดูแล้วน่าอกสั่นขวัญผวา
สภาพภายนอกของเขาว่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุดแล้ว ภายในกลับยิ่งสาหัส เส้นชีพจรที่อยู่ระหว่างช่องโพรงลมปราณเหมือนถูกกีบเท้าม้าเหล็กควบผ่าน จึงทำให้ดินโคลนเปรอะกระเซ็นไปทั่ว
สุดท้ายเฉินผิงอันคิดถึงแม่นางคนหนึ่ง
เขายิ้มอยู่ในใจ
แล้วก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจเท่านั้น
เพราะใบหน้าของเฉินผิงอันบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสีหน้าที่ดุร้ายแข็งกระด้าง ไม่อาจมองเห็นอารมณ์อื่นๆ ได้นานแล้ว
เฉินผิงอันยังคงทนรับความเจ็บปวดมหาศาลอยู่เงียบๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว
จิตสำนึกของเขาเริ่มพร่าเลือน ท่ามกลางความมึนงง เฉินผิงอันนึกถึงชื่อของคนหลายคน หากเป็นคนที่คุ้นเคยหน่อย ภาพเหตุการณ์ที่พบเจอกันก็จะชัดเจนและยาวนาน แต่หากไม่สนิทสนม ภาพก็จะผ่านวูบไปอย่างรวดเร็ว
บ้างชื่นชอบ บ้างเลื่อมใส บ้างเคารพ บ้างหวาดกลัว บ้างรังเกียจ บ้างอคติ บ้างก็สงสาร บ้างก็เคียดแค้น และบ้างก็สงสัย…
ตึกๆๆ …
เหมือนมีคนใช้นิ้วเคาะหัวใจของเด็กหนุ่ม
คล้ายกำลังสอบถามอะไรบางอย่าง
ตรงดิ่งไปที่หัวใจดวงเดิม
เด็กหนุ่มที่หลงเหลือจิตสำนึกซึ่งประคับประคองไม่ให้เขายอมแพ้เพียงเสี้ยวเดียวได้แต่ใช้เสียงหัวใจตอบกลับ คำตอบนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
พละกำลังของคนต้องมีช่วงเวลาที่หมดลง
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ประคองตนต่อไปไม่ไหว เขาหงายตึงไปด้านหลัง ตอนที่ท้ายทอยกระทบกับพื้นไม้ไผ่สีเขียวมรกตก็พอจะดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย
หวึ่งๆๆ
เขารู้สึกเพียงว่าในท้องมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ เกิดขึ้น
ร่างกายของคนก็คือฟ้าดินขนาดเล็ก และทันใดนั้นเสียงกระบี่ก็ร้องดังไม่หยุด!
————————–