กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 187.1 เหล่าผู้เฒ่าในวันปีใหม่
กระบี่บินเล่มนี้ไม่ได้มีสภาพหยาบๆ เป็นก้อนเงินก้อนหนึ่งอีกต่อไป นอกจากจะเล็กบางแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรที่ต่างจากกระบี่ทั่วไป เพียงแต่ว่ามันอยู่กึ่งกลางระหว่างภาพลวงตากับของจริง โปร่งใสแวววาว เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน
ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง กระบี่บินเล็กจิ๋วแต่ประณีตงดงามทอรัศมีวิบวาวหลายชั้น แสงนั้นช่างเจิดจ้าสะดุดตา
เฉินผิงอันอึ้งอยู่นาน แต่ในที่สุดเปิดปากเอ่ยว่า “ทำอะไร ปีใหม่แล้ว เจ้าอยากวิ่งออกมาสูดอากาศหายใจรึ? ทำไม กระบี่บินอย่างพวกเจ้าก็มีความพิถีพิถันในช่วงปีใหม่เหมือนกันหรือ?”
ปลายกระบี่ของมันสั่นน้อยๆ และเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า
หัวใจของเฉินผิงอันหดเกร็ง เตรียมพร้อมสำหรับการหนีตลอดเวลา
หลังจากมันหมุนวนครบหนึ่งรอบ ปลายกระบี่ก็ตวัดขึ้นเล็กน้อย ด้ามกระบี่ทิ้งตัวลงด้านล่าง คล้ายกำลังทำความรู้จักโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้
เสียงหาวหลังตื่นนอนของเด็กชายชุดเขียวดังมาจากในห้อง กระบี่บินพุ่งสวบเข้าหาหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน ความเร็วนั้นมากจนเป็นเหตุให้ตำแหน่งเดิมยังเหลือภาพของมันค้างอยู่ กลางอากาศมีแสงเล็กบางราวกับเชือกยาวลากเส้นทิ้งเอาไว้ เร็วเหนือกว่าที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไปไกล เดิมทีก็หลบไม่ทันอยู่แล้ว คราวนี้เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าหว่างคิ้วเย็นวาบ พอยื่นมือไปลูบคลำ ไม่เพียงแต่ไม่มีช่องโพรงที่กระบี่บินแทงทะลุ แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็ยังไม่มี
พุ่งกลับเข้าร่าง หวนคืนไปยังช่องโพรง ง่ายดายเหมือนแค่ยกมือ
ราวกับเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งที่ใช้กระบี่เบิกทางบนสมรภูมิรบเพื่อเข้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่
เฉินผิงอันคิดว่าหลังจากนี้จะไปถามแม่นางหร่วนว่ากระบี่บินบนโลกใบนี้มหัศจรรย์แบบนี้เหมือนกันหมดหรือไม่
ตรงหน้าประตู เด็กชายชุดเขียวที่คันไม้คันมือเต็มทีโอบประทัดหอบใหญ่ที่เตรียมพร้อมแล้วไว้ตรงหน้าอก เดินข้ามธรณีประตูออกมาพร้อมกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เขาเตะนางเบาๆ หนึ่งที เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรีบเอามือปัด นี่คือชุดใหม่ที่นายท่านซื้อให้นาง จากนั้นก็รีบหันไปถลึงตาใส่เขา “ทำอะไรของเจ้าน่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวยืนอยู่ในลานบ้าน ถอนหายใจพูดว่า “เจ้าโง่หรือไง เป็นถึงงูหลามไฟ เกิดมาก็เชี่ยวชาญวิชาแห่งไฟอยู่แล้ว งั้นก็รีบๆ เอาไฟจุดประทัดเข้าสิ!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาปริบๆ ที่แท้คาถาแห่งไฟก็เอามาใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ตลอดระยะของการเดินทาง ไม่ว่าจะหุงข้าวหรือทำอาหาร นายท่านล้วนก่อไฟด้วยตัวเองทุกครั้ง ต่อให้จะเป็นค่ำคืนที่ฝนตกหรือมีพายุหิมะก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย
เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึง นางเองก็คิดไม่ถึง ส่วนเด็กชายชุดเขียวก็คาดว่าคงคร้านจะพูด
ภายใต้การร่วมมือกันของเด็กน้อยทั้งสอง เสียงประทัดดังสนั่นแทนคำบอกลาปีเก่า
และไม่นานในตรอกหนีผิงก็มีเสียงประทัดดังมาจากจุดอื่นขานรับกันเป็นทอดๆ
เด็กชายชุดเขียวเล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรอจนประทัดชิ้นสุดท้ายเผาไหม้หมดแล้วถึงไปหยิบไม้กวาดมาจากในบ้าน เตรียมจะเอามากวาดพื้น เฉินผิงอันรับไม้กวาดมายิ้มๆ แล้วคว่ำไม้กวาดลงวางแนบกับกำแพง เพราะตามธรรมเนียมของเมืองหลงเฉวียน วันแรกของเดือนอย่างวันนี้ ทุกบ้านจะต้องวางไม้กวาดกลับหัว เพื่อแสดงให้รู้ว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากพักผ่อน
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงมุมกำแพง มองลานบ้านข้างๆ ที่เงียบสงัดด้วยอารมณ์ซับซ้อน เขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเลือกที่จะหยิบกลอนปีใหม่และตัวอักษรฝูสองตัวไปแปะบนกำแพงบ้านของบ้านข้างๆ
เด็กชายชุดเขียวถามยิ้มๆ “บ้านของเพื่อนรักนายท่านหรือ?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ขอแค่ไม่เป็นศัตรูกันก็พอแล้ว”
กลับมาที่บ้านตัวเอง เฉินผิงอันยืนอยู่ในตรอกหน้าบ้าน มองไปทางเทพทวารบาลสีสันสดใสสองแผ่นบนประตู หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ เทพฝ่ายบุ๋นถือแผ่นหยก เทพฝ่ายบู๊ถือคทาเหล็ก เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ยังดูแปลกประหลาด แต่ไหนแต่ไรมากระดาษภาพเทพทวารบาลที่ขายช่วงปลายปีในเมืองเล็กมักจะมีหลากสีหลายรูปแบบ นอกจากเทพทวารบาลฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แล้ว ยังมี ‘เทพเซียน’ อีกมากมายซึ่งรวมถึงเทพทวารบาลและเทพแห่งความร่ำรวยอยู่ด้วย แต่ปีนี้เทพทวารบาลทั้งหมดในเมืองเล็กล้วนสร้างตามระเบียบเดียวกัน ได้ยินเจ้าของร้านบอกว่าเป็นกฎที่ที่ว่าการกำหนดมา อีกทั้งองค์เทพร่างทองที่จะตั้งไว้ในศาลบุ๋นและศาลบู๊ของเมืองเล็กในอนาคตก็ยังเป็นสองท่านที่ถูกวาดไว้บนกระดาษนี้ด้วย
เฉินผิงอันนึกถึงประโยคนั้นที่หยางเหล่าโถวเคยพูดถึง ยิ่งสัมผัสยิ่งลึกซึ้ง
เขาปัดเป่าความขุ่นมัวที่อยู่ในใจออกไป เริ่มนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้าน ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งตัวเล็กต่ออีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวเอาสองมือไพล่หลังเดินเตร่อยู่ในลานบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิม โหวกเหวกเสียงดังว่าวันนี้เขาจะตั้งใจฝึกตน ให้นายท่านและนังเด็กโง่ต้องมองตนเสียใหม่ และเมื่อถึงปลายปี เขาก็จะสามารถเดินเบ่งไปทั่วเมืองเล็ก ไม่ต้องกลัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดเก้าหน้าไหนอีกแล้ว
พูดมาถึงช่วงท้าย เด็กชายชุดเขียวก็ยิ้มประจบ “นายท่าน ขอแค่ท่านมอบหินดีงูที่ค่อนข้างดีให้ข้าอีกสักสองสามก้อน อย่าว่าแต่สิ้นปีเลย พรุ่งนี้ข้าก็สามารถเอาชนะทุกคนในเมืองเล็กได้ ถึงเวลานั้นนายท่านก็พาข้าไปรังแกบุรุษย่ำยีสตรีบนถนน ทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้ต่ำช้าที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เจอผู้หญิงสวยคนไหนก็ลากมาที่ตรอกหนีผิง วะฮะฮ่า นายท่าน แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้วใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปคว้าเมล็ดแตงกำหนึ่งมาจากเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู พยักหน้าพูดว่า “แค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอแล้ว”
ใบหน้ายิ้มระรื่นของเด็กชายชุดเขียวเหี่ยวแฟบลงทันควัน เขาทอดถอนใจพลางนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ประกบฝั่งซ้ายขวากับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เหมือนเทพทวารบาลน้อยๆ สององค์ เพียงแต่เขารู้สึกว่าวันแรกของปีใหม่ไม่มีการเริ่มต้นด้วยลางดีออกจะอัปมงคลไปสักนิด ดังนั้นจึงควักหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งออกมาเคี้ยวกร้วมๆ ได้แต่หาฤกษ์ชัยอันดีงามให้กับตัวเอง
และเวลานี้เอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็หยิบถุงขนาดเล็กที่เย็บอย่างประณีตสองถุงออกมาจากในชายแขนเสื้อ นี่เป็นหนึ่งในสินค้าปีใหม่ที่วางขายในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงของเขาเอง เขายื่นส่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองพลางเอ่ยเย้า “รับเอาไว้ นี่คือเงินยาสุ้ย (หรือเงินอั่งเปาที่มอบให้กันในวันตรุษจีน) ที่นายท่านมอบให้พวกเจ้า”
ทีแรกเด็กชายชุดเขียวไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่พอเปิดออกดู ลูกตาเขาก็เกือบถลนออกจากเบ้า นั่นคือหินดีงูที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมก้อนหนึ่ง สีสันเรืองรองดุจแสงยามตะวันรอน
ก้อนที่อยู่ในมือของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็เป็นหินดีงูชั้นเยี่ยมเช่นกัน
ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวเห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากหินดีงูธรรมดาเก้าก้อนสิบก้อนแล้ว หลังจากเฉินผิงอันกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ ในห่อสัมภาระยังเหลือหินดีงูมูลค่าควรเมืองอีกสิบเอ็ดก้อน จากนั้นก็มอบให้พวกเขาคนละสองก้อน เท่ากับหายไปสี่ก้อน ตอนนี้ยังเอาออกมาอีกสองก้อน ก็ไม่เท่ากับว่าหายฮวบไปครึ่งหนึ่งเลยหรือ?
เฉินผิงอันเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นกุมารแห่งทรัพย์สินที่มอบความร่ำรวยเพื่อผูกบุญสัมพันธ์กับผู้คนหรืออย่างไร?
แม้ว่าจะกำหินดีงูไว้แน่น แต่เด็กชายชุดเขียวก็อดที่จะเปิดปากเตือนไม่ได้ “นายท่าน ท่านมอบของมีค่าขนาดนี้ให้พวกเราเท่ากับควักสมบัติชิ้นโตออกมาให้ วันหน้าเวลาแต่งภรรยาท่านจะทำอย่างไร?”
มือสองข้างของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูโอบประคอง ‘เงินยาสุ้ย’ เอาไว้ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา บนดวงหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูมีน้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
เด็กชายชุดเขียวอึกๆ อักๆ แต่จะไม่พูดก็อัดอั้น จึงถามว่า “นายท่าน ท่านไม่กลัวว่าข้ากินหินดีงูสามก้อนนี้เข้าไปแล้วตบะจะทะยานพรวดพราด จนท่านตามข้าไม่ทันไปตลอดชีวิตหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “หากเจ้ามีสหาย แล้วเขามีชีวิตที่ดี เจ้าจะดีใจไปด้วยหรือไม่?”
เด็กชายชุดเขียวพยักหน้ารับ “ต้องดีใจแน่นอนอยู่แล้ว สหายรักที่ข้าคบหาในชีวิตล้วนไม่ใช่สักเรียกแต่ปากเท่านั้น”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วถ้าสหายของเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าเจ้ามาก เจ้าจะดีใจหรือไม่?”
เด็กชายชุดเขียวลังเลเล็กน้อย
เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง กล่าวยิ้มๆ “ข้าจะยิ่งดีใจเข้าไปอีก”
บัดนี้สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวเลื่อนลอยเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ายุทธภพที่ตนอยู่มาหลายร้อยปีเหมือนจะไม่ใช่แห่งเดียวกับของเฉินผิงอัน เป็นเพราะยุทธภพของตนลึกเกินไป? หรือเป็นเพราะยุทธภพของเฉินผิงอันตื้นเกินไป? (คำว่ายุทธภพภาษาจีนอ่านว่าเจียงหู ซึ่งหากแปลตรงตัวจะหมายความว่าแม่น้ำและทะเลสาบ ในบริบทนี้จึงใช้ได้ทั้งสองความหมาย)
เฉินผิงอันพูดไปแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะนี่เป็นแค่การคุยเล่นสำหรับเขาเท่านั้น
กลับเป็นเด็กชายชุดเขียวที่อัดอั้นไม่ร่าเริง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เก็บก้อนหินไว้เรียบร้อยแล้วก็เงียบไปเช่นกัน
เฉินผิงอันเริ่มเสียใจทีหลัง หรือเขาไม่ควรมอบเงินยาสุ้ยนี้? หรือว่าควรจะมอบให้ช้ากว่านี้อีกสักนิด?
กลุ้มจริง
ในขณะที่ซ่งจี๋ซิน จื้อกุย กู้ช่านและมารดาของเขาจากไป ในตรอกหนีผิงแห่งนี้กลับมีครอบครัวใหม่เพิ่มมาหนึ่งครอบครัว ก่อนจะปีใหม่พวกเขาก็เอาโฉนดบ้านของบรรพบุรุษไปมอบให้ที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียน ฝ่ายที่ว่าการคิดจะตรวจสอบอย่างละเอียดสักครั้ง เพราะตอนนี้ทุกพื้นที่ในเมืองเล็กมีค่าเท่าทองคำ ไม่รู้ว่าคนนอกมากมายแค่ไหนอยากจะยัดเยียดตัวเองเข้ามา ต่อให้ไม่สามารถซื้อบ้านได้ก็ยังยินดีที่จะเช่าบ้านอยู่ที่นี่ ดังนั้นฝ่ายครัวเรือนของที่ว่าการอำเภอจึงอยากจะตรวจสอบอย่างระมัดระวังให้แน่ใจ จะปล่อยให้พวกเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนมายึดครองพื้นที่ไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าเพียงไม่นานอู๋ยวนผู้เป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอหลงเฉวียนซึ่งได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองของเขตการปกครองหลงเฉวียนก็บุกมาถึงที่ว่าการอำเภอ แล้วรับเรื่องนี้ไปทำต่อเอง
ต่อมาก็มีคนหนุ่มนามว่าเฉาจวิ้นมาอยู่เพิ่มในตรอกหนีผิง บรรพบุรุษของเขาย้ายออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เขากลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด
เฉาจวิ้นเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน แทบจะไม่เคยเผยโฉม พวกเพื่อนบ้านต่างสงสัยใคร่รู้กันอย่างมาก ดังนั้นชาวบ้านในเมืองเล็กส่วนใหญ่จึงเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานเปิดภูเขาสร้างอาคาร อีกทั้งจากประกาศหลายฉบับที่ออกมาจากที่ว่าการอำเภอและเขตการปกครองก็ได้ยืนยันเรื่องที่บนภูเขามีเทพเซียนจริง ชาวบ้านหลงเฉวียนจึงจำต้องเชื่อ ตอนแรกเริ่มก็มีการคาดเดากันว่าเฉาจวิ้นที่รูปโฉมหล่อเหลา ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปจะเป็นหนึ่งในเซียนหรือไม่ เพียงแต่ว่าพอกลับมาย้อนนึกดู เทพเซียนที่ไหนจะมาอาศัยอยู่ในตรอกหนีผิง? แบบนั้นออกจะลดค่าตัวเองไปหน่อยไม่ใช่หรือ
และวันนี้ก็มีคนแปลกหน้าสองคนมาเยือนตรอกหนีผิง
คนหนึ่งคือเศรษฐีเฒ่าที่สวมเชือกสีเขียวไว้บนข้อมือ อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่วางกระบี่พาดขวางไว้ด้านหลัง พวกเขาเดินเข้ามาในตรอกหนีผิงด้วยกัน เข้ามาทางฝั่งบ้านของกู้ช่าน ดังนั้นจึงต้องผ่านบ้านของซ่งจี๋ซินและเฉินผิงอัน เพราะกำแพงบ้านต่ำเตี้ย ผู้เฒ่าจึงปรายตามองมายังเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพร้อมยกยิ้มมีเลศนัย
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่รู้ความนัย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เด็กชายชุดเขียวมองดูเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ แต่อันที่จริงในใจกลับกำลังภาวนา นี่คงไม่ใช่ปีศาจใหญ่หรือเทพเซียนผู้เฒ่าอะไรอีกหรอกนะ?
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มพลางโบกมือทักทาย “เฉินผิงอัน พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตูแล้วถามยิ้มๆ “มาเยี่ยมเยียนคนที่นี่ในวันปีใหม่รึ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มส่ายหน้า “มีเรื่องให้ต้องจัดการนิดหน่อย แต่ก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนคนในวันปีใหม่ไปด้วยเสียเลย”
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเปิดปากพูดบ้าง “ได้ยินว่าเจ้าทำให้บ้านบรรพบุรุษของตระกูลข้าถูกวานรย้ายภูเขาตัวหนึ่งเหยียบซะหลังคาถล่ม แต่หลังจากนั้นเจ้าก็ออกเงินช่วยซ่อมแซมให้?”
ผู้อาวุโสในตระกูลของผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้น?
หัวใจของเฉินผิงอันหดเกร็ง เอ่ยขออภัย “ท่านผู้เฒ่า ต้องขอโทษด้วย เรื่องนี้ผิดที่ข้าจริงๆ”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร บ้านเก่าๆ หลังนั้น หากยังไม่ซ่อมต้องพังครืนลงมาเองแน่นอน จะขอโทษทำไม ตระกูลเฉาของข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กเฉาจวิ้นผู้นั้นคิดจะแย่งของของเจ้า ใช่ไหม? เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปสั่งสอนเขาเดี๋ยวนี้…ฮ่าๆ ลืมพูดไป สวัสดีปีใหม่ๆ”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้เฒ่าที่ท่าทางมีเมตตาก็ถึงกับกุมมือคารวะ เขย่าเบาๆ ถือเป็นการสวัสดีปีใหม่
เฉินผิงอันรีบคารวะกลับ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขมวดคิ้ว ขยับมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่กระโตกกระตาก ขวางอยู่ระหว่างผู้เฒ่าและเฉินผิงอัน จากนั้นก็โอบไหล่ของฝ่ายหลัง ดันเขาเดินเข้าไปในลานบ้านยิ้มๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่าเฉา ท่านกลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าค่อยตามไป”
ผู้เฒ่าหรี่ตาพยักหน้ารับ ไม่ถือสากับเรื่องนี้ เดินจากไปช้าๆ เพียงลำพัง กว่าเขาจะได้กลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่หลายร้อยปีแล้ว
หลังจากเฉินผิงอันและผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป ประกายแสงเล็กน้อยบนร่างเทพทวารบาลสององค์ที่แปะอยู่หน้าประตูบ้านซึ่งดวงตาของคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นพลันสลายหายวับไป
——————————