กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 189.3 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 189.3 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ
เว่ยป้อมาหาเฉินผิงอันที่เรือนไม้ไผ่อีกครั้ง ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนอยู่ใต้แสงแดดบนพื้นที่ว่างโล่ง
ส่วนเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั้นกำลังกินของทานเล่นอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เหมือนเป็นเจ้านายยิ่งกว่านายท่านของตัวเอง
เว่ยป้อมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน จนกระทั่งเฉินผิงอันเก็บท่าเจี้ยนหลูแล้ว เว่ยป้อถึงได้หมุนตัวไปบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยยกเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวมาให้ บอกว่าเขามีธุระจะต้องคุยกับนายท่านของนาง
ไม่รอให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลงมือ เด็กชายชุดเขียวก็วิ่งปรู๊ดไปหยิบเก้าอี้มามือละตัว พอวางเก้าอี้ไม้ไผ่เรียบร้อยยังไม่ลืมค้อมตัวกระดกก้น ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเก้าอี้อย่างตั้งใจ
เขามายืนอยู่กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ทันได้เห็นสายตารังเกียจจากนาง เด็กชายชุดเขียวก็พูดอย่างมาดมั่นมีเหตุผล “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร นี่เรียกว่าลูกผู้ชายยืดได้หดได้!”
เว่ยป้อและเฉินผิงอันนั่งเคียงกันบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก เขาเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนว่า “อย่าโทษที่ข้าแอบมองภาพเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในเรือนไม้ไผ่ ตอนนั้นที่เจ้าช่วงชิงปณิธานกับตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น สถานการณ์อันตรายเกินกว่าที่เจ้าคาดคิดไปไกลมาก หากเบาหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก หนักก็คือตายคาที่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปมในใจเล็กๆ ที่มีอยู่พลันคลายออกไปด้วย
เว่ยป้อเอ่ยเนิบช้า “ผู้ฝึกกระบี่มีสองเรื่องให้ต้องทำ ฝึกกระบี่และหลอมกระบี่ ฝึกก็คือฝึกวิชาเวทคาถาของกระบี่ ฝึกคำเดียวกับคำว่าฝึกฝน หลอมก็คือกระบี่ที่พกติดกายและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หลอมคำเดียวกับคำว่าหล่อหลอม”
หลังจากอธิบายถึงสาระสำคัญอย่างเรียบง่ายจบแล้ว เว่ยป้อก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อคำพูดที่จะพูดในวันนี้อย่างมาก “เพราะข้ามองตื้นลึกหนาบางของลำดับชั้นตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นของเจ้าไม่ออก จึงไม่อาจสรุปส่งเดช แต่ข้าสามารถพูดถึงหลักการบางอย่างที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันให้เจ้าฟังแบบง่ายๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่นการขัดเกลากระบี่บินเล่มหนึ่งที่จับต้องได้จริง หรือการหล่อหลอมและเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งด้วยความอบอุ่น ซึ่งล้วนจำเป็นต้องใช้ของวิเศษหายากแห่งฟ้าดินจำนวนเหลือคณานับ ดังนั้นการที่ข้าพาเจ้าเดินไปทั่วภูเขาต่างๆ รอบหนึ่งก็เพราะต้องการให้เจ้าเข้าใจเรื่องหนึ่ง การฝึกตนบนภูเขาจำเป็นต้องกินภูเขาเงินภูเขาทองเป็นลูกๆ คนมีเงินหรือเศรษฐีด้านล่างภูเขา อาจพูดได้ว่ามีทรัพย์สินมากมายผ่านไปหลายรุ่นก็ใช้ไม่หมด แต่บนภูเขา ไม่มีใครที่ใช้เงินของชีวิตนี้ไม่หมด อาจจะมี…บรรพบุรุษของสามลัทธิกระมังที่เป็นข้อยกเว้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่ด้านหลังนั่งสงบสำรวม เงี่ยหูตั้งใจฟัง
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางที่เป็นงูหลามไฟตัวหนึ่งแม้แต่น้อย แต่เกี่ยวข้องกับนายท่านของนางอย่างมาก นางจะไม่ตั้งใจฟังได้อย่างไร หากนายท่านฟังตกหล่นไป หลังจากนี้นางก็จะได้ช่วยเสริมให้
เด็กชายชุดเขียวรับฟังด้วยความเบื่อหน่าย ถึงกับกลอกตามองบน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟังคำพูดของเว่ยป้ออย่างยิ่ง หากวันนี้เว่ยป้อไม่พูด ลงจากภูเขาไป เขาก็คิดจะไปถามหร่วนซิ่วอยู่แล้ว
เว่ยป้อสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ท่าทางเช่นนี้ของเขาค่อนข้างคล้ายเด็กหนุ่มชุยฉาน จากนั้นจึงพูดต่อเนิบช้า “มีคุณสมบัติที่จะกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ คือธรณีประตูขั้นแรกของผู้ฝึกลมปราณ เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว มีเงินที่จะหล่อหลอมกระบี่บินหรือไม่ คือธรณีประตูขั้นที่สอง อีกทั้งธรณีประตูขั้นนี้ยังไม่ต่ำด้วย ระดับความแข็งแกร่งทนทานของกระบี่เล่มหนึ่งตัดสินกันที่ระดับความหนาแน่นของตัวกระบี่เอง ดังนั้นจำเป็นต้องผ่านการทุบตีหล่อหลอมนับร้อยนับพันรอบจากช่างหลอมกระบี่ นอกจากนี้ก็ยังมีระดับความแหลมคมของกระบี่ที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหน้าผาแท่นสังหารมังกรแห่งนั้นถึงได้มีมูลค่ามากนัก เป็นเหตุให้อริยะหร่วนฉงไม่กล้าฮุบไว้คนเดียว จำเป็นต้องดึงเอาศาลลมหิมะและเขาเจินอู่มาแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ถึงจะป้องกันไม่ให้คนอื่นเกิดความละโมบได้”
เฉินผิงอันปลงอนิจจังอยู่ในใจ ที่แท้อริยะก็มีเรื่องให้จำใจเหมือนกัน
เว่ยป้อชี้นิ้วไปยังภูเขาด้านหลังลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล ที่นั่นมีแท่นสังหารมังกรขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง “ขอแค่เป็นอาวุธเทพ ข้อเรียกร้องที่มีต่อหินลับอาวุธก็ยิ่งสูง นี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แท่นสังหารมังกรมีมูลค่าควรเมือง ราคาสูงเกินกว่าที่จะเอามาวางขายกันในตลาด เป็นของหายากมากพอจะกักตุนเอาไว้เก็งกำไรได้ เพราะขอแค่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าอย่างไรก็ได้กำไร เว้นเสียแต่ว่าถึงเวลาคับขัน จำเป็นต้องใช้เงินแบบเร่งด่วนจริงๆ ถึงจะมีคนยอมปล่อยให้มันหลุดมือ ถ้าหากร้านผ้าห่อบุญปล่อยข่าวออกไปว่าจะขายแท่นสังหารมังกรขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง ข้าว่าตลอดทั้งภูเขาหนิวเจี่ยวคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนแน่ๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “เฉินผิงอันหนอเฉินผิงอัน ทำไมหินดีงูที่เจ้ายกให้คนอื่นเหมือนยกผักกาดขาวถึงมีค่ามากนัก เพราะยาทุกชนิดบนโลกมีพิษอยู่สามส่วน ยาทั่วไปต่อให้จะได้ผลดีแค่ไหน ระดับสูงเท่าไหร่ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อช่องโพรงในร่างกายคนระดับหนึ่ง กว่าจะกำจัดออกไปได้นั้นยากแสนยาก ตอนแรกเริ่มยังสามารถกดกำราบ ปล่อยให้สะสมอยู่ในช่องโพรงบางช่องที่ค่อนข้างห่างไกลได้ แต่เมื่อตบะของผู้ฝึกลมปราณเพิ่มสูงขึ้น สิ่งสกปรกเหล่านั้นจะยิ่งเด่นชัด หากใช้วิชาอภินิหารมองทะลุร่างภายใน ข้อบกพร่องน้อยนิดเหล่านั้นจะยิ่งขยายใหญ่ ส่งผลกระทบต่อมหามรรคา ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบถูกคนในโลกเรียกว่าอริยะได้แล้ว แต่ทำไมพวกเขาแต่ละคนถึงทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง? เพราะชอบเป็นตะพาบเฒ่างั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะพวกเขากำลังขจัดสิ่งสกปรกในร่างไปทีละนิดอย่างยากเย็นต่างหาก”
เด็กชายชุดเขียวตกใจ รีบยืดตัวนั่งหลังตรงแน่ว ไม่กระดุกกระดิก ไม่กล้ามองนู่นมองนี่เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกละอายใจ อันที่จริงนางคิดมาโดยตลอดว่าจะช่วยเก็บหินดีงูชั้นเยี่ยมสามก้อนนั้นเอาไว้ให้นายท่านของตน นางจะไม่กินมันเด็ดขาด
เว่ยป้อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จากนี้ข้าจะบอกความลับบางอย่างแก่เจ้า เป็นความลับที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยกว่าจะได้รู้มา เฉินผิงอัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาไปพูดส่งเดช”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ตอนนี้นอกจากแม่นางหร่วนกับพี่ใหญ่หลี่แล้ว ในเมืองเล็กก็ไม่มีใครให้ข้าพูดคุยได้อีก”
เว่ยป้อจึงพูดต่อว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสี ไม่พูดตอบ แต่ก็ไม่ส่ายหน้าหรือพยักหน้ารับ
เว่ยป้อนึกว่าชายฉกรรจ์สวมงอบเคยพูดถึง จึงไม่แปลกใจอะไร “ภูเขาห้อยหัวเกิดจากการทุ่มเงินมหาศาลเทียมฟ้าจากหนึ่งในสามลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋า สามารถพูดได้ว่าเป็นตราประทับอักษรขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลุกเสกด้วยคาถาเต๋าอันยิ่งใหญ่ไพศาล ตระหง่านง้ำไม่มีวันล่มสลาย สถานที่แห่งนี้คือจุดตัดระหว่างใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นด่านยิ่งใหญ่และสำคัญแห่งแรก…และอาจจะกลายมาเป็นแห่งสุดท้าย”
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงเป็นแห่งสุดท้าย?”
เว่ยป้อยิ้มขื่น “หากน้ำป่าทะลักทำนบพัง หลังจากนั้นจะขัดขวางอย่างไร?”
เว่ยป้อเงยหน้า หลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดถอนใจพูด “ดังนั้นไม่เพียงแต่อุตรกุรุทวีปอันเป็นทวีปแห่งผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าแห่งอื่น อย่างกลุ่มเซียนที่คราวก่อนบินผ่านแจกันสมบัติทวีปแล้วลดระดับลงต่ำ เผยโฉมหน้าในเวลาสั้นๆ ตอนผ่านเมืองเล็กของพวกเจ้า ครั้งนี้ก็ล้วนถูกเรียกตัวให้ไปที่ภูเขาห้อยหัว และต้องผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อต้านรับการรุกรานจากเผ่าปีศาจที่มาจากใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง”
“ทุกครั้งที่เผ่าปีศาจอาละวาด ก่อให้เกิดสงคราม ก็จะต้องเรียกให้ผู้ฝึกกระบี่ไปที่ภูเขาห้อยหัว ผ่านภูเขาเข้าไปในเมือง ขัดเกลาวิถีแห่งกระบี่ระหว่างศึกตัดสินเป็นตายอยู่บนกำแพงเมืองสูงใหญ่แห่งนั้น”
“กำแพงเมืองปราณกระบี่คือจุดศูนย์รวมของเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้า เป็นที่ที่มีเซียนกระบี่มากที่สุดสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่อันตรายที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นขาดแคลนอะไรมากที่สุด?”
เว่ยป้อหันมามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันได้แต่ส่ายหน้า
เว่ยป้อจึงให้คำตอบ “ขาดแคลนกระบี่!”
“เพราะสงครามของที่นั่นเกิดขึ้นถี่เกินไป อีกทั้งยังโหดร้ายอย่างมาก กระบี่มีชื่อเสียงอันเป็นอาวุธเทพล้ำโลกที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนขั้นเป็นอาวุธอันดับต้นแห่งทวีปซึ่งถูกเซียนกระบี่มากมายพกพาไปที่นั่น บ้างก็ตัวกระบี่หัก บ้างก็ปณิธานกระบี่แตกย่อยยับ เจ้าของกระบี่ตายดับ บาดเจ็บล้มตายนับจำนวนไม่ถ้วน ดังนั้นการที่ผู้ฝึกระบี่ซึ่งเกิดและเติบโตที่นั่นจะได้ครอบครองกระบี่ดีๆ สักเล่มจึงยากมากๆ”
“บวกกับที่ในเผ่าปีศาจเองก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่เก่งกาจอยู่มาก พวกมันจะชอบเก็บเอาเศษซากของกระบี่ที่มีชื่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ฝึกกระบี่ที่ต้านทานเผ่าปีศาจ ณ กำแพงเมืองปราณกระบี่จึงต้องการกระบี่จำนวนมาก ถึงขั้นเรียกร้องให้ภูเขาห้อยหัวขอกระบี่และซื้อกระบี่จากโลกภายนอกมาให้ไม่ขาดระยะ ร้านค้ามากมายที่อยู่นอกภูเขาห้อยหัวจึงนั่งตั้งราคา รอให้ได้ราคาสูงก่อนค่อยขาย คนจำนวนนับไม่ถ้วนถึงกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเพราะสาเหตุนี้”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูดไม่พุด
ดูเหมือนเว่ยป้อจะรู้ความคิดของเฉินผิงอันจึงเอ่ยเย้ย “เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเจ้าหรือไง? เป็นคนดีเกินเหตุที่คิดจะมอบของมีค่าให้ใครก็มอบให้โดยไม่คิด? มอบให้ไปแล้วยังเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะหนักหรือไม่ ต้องการให้เจ้าช่วยถืออีกหรือเปล่า?”
เด็กชายชุดเขียวขยี้จมูกสีหน้ากระอักกระอ่วน รู้สึกว่าตนควรจะมีมโนธรรมมากกว่านี้ วันหน้าควรทำดีกับเฉินผิงอันอย่างจริงจังสักที?
เฉินผิงอันเงียบ ไม่ตอบโต้
“เฉินผิงอัน คำพูดเหลวไหลพวกนี้ของข้า เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย บอกตามตรง อันที่จริงข้านับถือเจ้ามาก”
เว่ยป้อรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ราวกับว่ากักเก็บไว้ในท้องมานานแล้ว หากไม่ปล่อยออกมาคงอึดอัดแย่ จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นคมกริบ แค่นเสียงเย็น “ในบรรดาปีศาจใหญ่ของใต้หล้าแห่งนั้น แค่ข่าวที่ข้ารู้มาตอนนี้ก็มีเซียนกระบี่ล้ำโลกที่มีชื่อเสียงมานานอยู่แล้วสามท่าน พลังการต่อสู้สูง พลังสังหารยิ่งใหญ่จนเกินจะจินตนาการได้ถึง เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ จำนวนจะมากขึ้นหรือลดน้อยลงก็ไม่อาจรู้ได้”
เว่ยป้อตบศีรษะตัวเอง “เกือบลืมบอกไป เรื่องที่ว่าทำไมเผ่าปีศาจถึงคอยโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้น เหตุผลเรียบง่ายมาก เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเกินไป ปราณวิญญาณเบาบาง ไม่เหมาะกับการฝึกตน ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่ง เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า ฟ้าดินแห่งหนึ่งก็เหมือนลานเลี้ยงแมลงพิษขนาดมหึมา ผู้ที่แข็งแกร่งก็ได้ครอบครองดินแดน ทรัพยากรการฝึกตนและมีลูกหลานมากมาย และใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็คือเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ แม้ไม่ได้อยู่ในปาก แต่ตาก็มองเห็น ชามของตัวเองมีแต่เศษน้ำแกงเย็นชืด ในชามของคนอื่นมีปลาชิ้นโตเนื้อชิ้นใหญ่ แล้วจะไม่ให้พวกเขาน้ำลายสอได้อย่างไร?”
สีหน้าของเว่ยป้อกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง “อันที่จริงหากจะให้พูดว่าถูกหรือผิด ฝ่ายหนึ่งทำเพื่อความอยู่รอดและขยับขยายเผ่าพันธ์ หวังให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าเดิม อีกฝ่ายหนึ่งทำเพื่อปกป้องบ้านของตัวเอง ยอมตายเพื่อเฝ้าพิทักษ์ดินแดน หากเอาตัวไปวางเป็นบุคคลที่สาม มองเรื่องนี้จากมุมของคนนอกก็อาจจะไม่ได้แบ่งแยกว่าใครดีใครเลวอย่างจริงจังนัก เรื่องวงในเหล่านี้ ข้าเองก็เพิ่งรู้มาบ้างเล็กน้อยหลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในภูเขาพีอวิ๋น รับปากว่าจะเป็นทวยเทพแห่งขุนเขา ซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรใหญ่คนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว เรื่องต่อไปนี้ เจ้าสามารถฟังเป็นเรื่องเล่าจากตำราสวรรค์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก”
“ว่ากันว่าก่อนหน้านี้มีมหาศึกที่โหดร้ายจนไม่นึกว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้ ปีศาจใหญ่หลายสิบท่านจับมือกันมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อปรึกษาหารือกับนักพรตยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์ หวังว่าจะแลกเปลี่ยนพื้นที่ขนาดเท่าบุรพแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับภูเขาห้อยหัวมาเป็นเงื่อนไขในการพักรบ เพียงแต่ว่าพวกเราไม่มีทางตอบรับ ได้คืบจะเอาศอก นี่คือหลักการที่แม้แต่เด็กก็ยังรู้”
“หลังมหาศึกครั้งนั้นผ่านไปมีศึกเดิมพันครั้งหนึ่งเกิดขึ้น สิบสามต่อสิบสาม อันที่จริงก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง เผ่าปีศาจและกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างฝ่ายต่างส่งคนออกมาสิบสามคน เจ็ดชนะหกแพ้ หากเผ่าปีศาจชนะก็สามารถยึดครองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียกำลังพลแม้แต่คนเดียว แต่หากพวกเราชนะก็จะต้องได้ครอบครองกระบี่ทั้งหมดของเผ่าปีศาจ!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ “สู้! ทำไมพวกเราจะไม่กล้าสู้ทั้งสิบสามศึกนี้เล่า!”
“รู้หรือไม่?!”
เว่ยป้อชี้นิ้วไปทางทิศใต้อย่างห้าวเหิม “ลำพังแค่เรื่องลำดับการส่งคนออกรบของสองฝ่าย ใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็เค้นหัวคิดกันแทบแตก มีบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของสกุลลู่แห่งดินแดนกลางที่เรียกตัวเองว่าเป็นเจ้าของนิกายหยินหยางครึ่งหนึ่ง ยอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะพออนุมานลำดับการออกรบของยอดฝีมือเผ่าปีศาจได้!”
“สุดยอดศึกใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตัดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกของฝั่งตัวเองออก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สู้กันจนลืมจุดประสงค์ สู้กันจนเขตแดนของสองดินแดนทะลุถึงกัน สู้จนสองดินแดนวุ่นวายโกลาหล ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากเป็นเช่นนั้น ศึกตัดสินที่ยุติธรรมครั้งนี้ก็จะไม่มีความหมายอะไรอีก”
“แต่ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ แค่การต่อสู้เจ็ดครั้งแรก หากไม่นับครั้งที่หนึ่งก็ชนะไปแล้วหกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังจะได้คว้าชัยชนะมาครอง การต่อสู้ครั้งที่แปด เรากลับพ่ายแพ้ อีกทั้งเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นยังเป็นคนแรกที่ถูกเผ่าปีศาจฆ่าตายกลางสนามรบ หลังจากนั้นขวัญกำลังใจของทหารก็เหมือนภูเขาที่ล้มครืน แพ้อย่างต่อเนื่องจนถึงครั้งที่สิบสอง การต่อสู้ครั้งนั้น ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดว่าจะต้องชนะแน่นอน เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นั้นได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือการต่อสู้เป็นเอก อีกทั้งผ่านมาแล้วร้อยสมรภูมิรบก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”
“แต่สุดท้ายเขาก็ยังแพ้ กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่คนที่สองที่ตายในสนามรบ”
“หลังจากนั้นใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง เพราะทุกคนรู้สึกว่าเราต้องแพ้อย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเซียนกระบี่ที่ขึ้นเวทีการต่อสู้เป็นคนสุดท้ายของฝ่ายกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่แข็งแกร่งมากพอ ตรงกันข้ามเลยทีเดียว เขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนทำให้คนรู้สึกว่าไม่มีใครทัดทานได้ แต่คนสุดท้ายของเผ่าปีศาจได้รับการยอมรับว่ามีพลังการสังหารเป็นสามอันดับแรกตลอดชั่วระยะเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมาของใต้หล้าแห่งนั้น เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะผ่านด่านแห่งความเป็นความตายมา ก่อนหน้านี้จึงปิดด่านไปนานพันปี จึงไม่ได้อยู่ในรายชื่อสามอันดับแรกที่ถูกตัดออก เมื่อเป็นเช่นนี้ ขนาดยอดฝีมือสกุลลู่นิกายหยินหยางที่ทุ่มชีวิตคิดคำนวณทุกด้านก็ยังคำนวณไม่ถึงข้อนี้ เห็นได้ชัดว่าทางเผ่าปีศาจต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยถึงปิดบังความลับใหญ่นี้เอาไว้ได้”
“ปีศาจใหญ่ตนนั้นคือผู้ฝึกกระบี่! ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด!”
“ในประวัติศาสตร์การบุกเข้าโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของเผ่าปีศาจ เขามักจะเป็นคนแรกที่บุกสังหารขึ้นมาถึงหัวกำแพง และเป็นคนสุดท้ายที่ถอยออกไปเสมอ”
เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งฟังอยู่ด้านหลังหน้าซีดขาวราวหิมะไปแล้ว
แม้แต่เฉินผิงอันที่มีจิตใจหนักแน่นเหนือกว่าคนทั่วไปก็ยังกำสองหมัดวางทับบนหัวเข่าแน่น เหงื่อรินมาตามกระดูกสันหลังโดยไม่รู้ตัว
จู่ๆ เว่ยป้อก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาก้าวยาวๆ เดินไปด้านหน้า ชายแขนเสื้อสะบัดไหวรุนแรง นิ้วมือของเขาชี้ไปยังทิศใต้ที่อยู่ห่างไกล หันหน้ามา ชูมืออีกข้างกำเป็นหมัด “แต่ว่าพวกเราชนะ”
“บุรุษที่สังหารปีศาจใหญ่เซียนกระบี่ผู้นั้น ทุกคนล้วนเรียกเขาว่าอาเหลียง! ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน เขาจะไปที่ไหน รู้แต่ว่าเขาสังหารเผ่าปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไปมากที่สุด!”
เว่ยป้ออารมณ์เบิกบานสุดขีด เขาโบกแขนของตัวเองอย่างแรง ตะโกนพูดก้องฟ้าดิน “เขาชื่อว่าอาเหลียง!”
เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังเรือนไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ใครบางคนตั้งชื่อให้ว่าเรือนเหมิ่งจื่อช้าๆ (猛字 เรือนอักษรเหมิ่ง เหมิ่งแปลว่ากล้าหาญ ฮึกเหิม ดุเดือด)
เด็กหนุ่มผู้เข้มแข็งพลันหลั่งน้ำตารินเป็นสาย
จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอหน้ากัน
มีชายฉกรรจ์วัยกลางคนสวมงอบคนหนึ่ง มือจูงลาสะพายดาบ ยิ้มแนะนำตัวเองกับเด็กหนุ่มว่า
ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม
ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
————