กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 191.1 ทำการค้าก็คือการฝึกตนอย่างหนึ่ง
แม้สะพานแห่งความเป็นอมตะของเฉินผิงอันจะหักไปแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่สามารถฝึกตนได้ชั่วคราว แต่ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่อยู่ในยุทธภพ โดยเฉพาะปรมาจารย์ใหญ่ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทอภินิหารแห่งกระบี่ก็ยังสามารถงัดข้อกับผู้ฝึกลมปราณที่เก่งกาจถึงขั้นพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรได้เช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่สง่างามมากที่สุดบนโลกใบนี้มักจะเป็นผู้ฝึกกระบี่เสมอ ยอดฝีมือด้านวรยุทธ์สองคนที่สถานะ พลังอำนาจ หน้าตาและมาดทัดเทียมกัน คนหนึ่งใช้หมัด คนหนึ่งใช้กระบี่ยาว มักเป็นฝ่ายหลังที่ได้รับความนิยมมากกว่าเสมอ
หากใช้หมัด ก็ต้องหมัดต่อหมัดปะทะถึงเนื้อ สู้กันจนเนื้อหนังปริแตก หรืออาจถึงขั้นหนึ่งหมัดต่อยให้ศีรษะคนอื่นระเบิดแตก มันสมองกระจาย มีหรือจะสู้ใช้กระบี่ได้?
‘นับแต่เยาว์เขามีความกล้าของคนนับหมื่น ยามนี้เสียบดาบวิเศษไว้ที่เอวยิ่งเปี่ยมพลานุภาพ แย้มยิ้มกระดกเหล้าหมดหนึ่งจอก หาญกล้าฆ่าคนกลางตลาดพลุกพล่าน’
‘เวทกระบี่เป็นอาวุธเหมาะมือ เจอเจียวหลงพิฆาตเจียวหลง’
‘สง่างามหรือไม่? องอาจหรือไม่? แน่นอน!’
ตอนที่ได้ยินชุยตงซานท่องกลอนบทนี้ตรงหน้าผาใหญ่ติดริมน้ำ แม้แต่คนที่คร่ำครึน่าเบื่อหน่ายอย่างเฉินผิงอันก็ยังอดเกิดความฮึกเหิมตามไปด้วยไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันฝึกหมัด จะดีชั่วก็ยังมีตำราเขย่าภูเขาอยู่เล่มหนึ่ง ต่อให้แม่นางหนิงจะไม่เห็นดีด้วย แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยชี้นำแนวทางในการฝึกวรยุทธ์ให้แก่เฉินผิงอัน
ถ้าเช่นนั้นหากคิดจะฝึกกระบี่ก็ควรต้องมีวัตถุอย่างคัมภีร์กระบี่ หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็รู้สึกว่าด้วยพรสวรรค์และเชาวน์ปัญญาอันน้อยนิดของตน คาดว่ารอจนตราบสิ้นฟ้าดินก็คงไม่อาจฝึกอะไรได้เป็นรูปเป็นร่าง
นี่ทำให้เฉินผิงอันกลัดกลุ้มไม่น้อย
นอกเรือนไม้ไผ่ มีคนเดินมาแต่ไกล ในมือของเขาถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่ ตรงเอวห้อยยันต์ไม้ท้อ เขาตะโกนเรียกเสียงดัง “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันที่กำลังยืนกลุ้มอยู่ชั้นสองหันหน้าไปมอง ตะโกนตอบเสียงดังเช่นกัน “พี่ใหญ่หลี่ ท่านมาได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันวิ่งห้อลงมาจากหอเรือนตลอดทาง
หลี่ซีเซิ่งตั้งใจพาชุยชื่อเด็กหนุ่มที่พอจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัวมาเยี่ยมเยือนเฉินผิงอันที่เป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว
หลี่ซีเซิ่งปลดยันต์ไม้ท้อตรงเอวออกแล้วพูดเข้าประเด็นทันที “ข้าอาจจะต้องออกไปจากเมืองเล็ก จึงรีบรุดมาที่นี่เผื่อมอบของสิ่งหนึ่งให้เจ้าก่อน ถึงเวลาจะได้ไม่เร่งร้อนฉุกละหุกจนถึงขั้นไม่ทันได้พูดจากันให้ชัดเจน”
เฉินผิงอันไม่ได้ยื่นมือออกไปรบ ไม่ได้กังวลว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าจะมีใจคิดร้าย แต่เคยชินกับการไม่รับค่าตอบแทนหากไม่มีผลงาน หน้าไม่หนาพอที่จะรับเอาของของคนอื่นมาเปล่าๆ
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยว่า “หลี่เป่าเจินน้องชายข้า เจ้าคงรู้จักใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลี่ซีเซิ่งกล่าวต่อ “เรื่องที่จูลู่ลอบฆ่าเจ้าที่จุดพักม้าเจิ่นโถว เขาเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่าเขาทำผิด ตอนที่ข้ารู้เรื่องก็ห้ามไม่ทันแล้ว หลี่เป่าเจินเป็นคนที่ไม่ยอมรับความผิดมาตั้งแต่เด็กแล้ว และก็ช่วยไม่ได้ที่เขาเป็นพี่รองของเป่าผิง ส่วนข้าก็เป็นพี่ใหญ่ของเขา คนในครอบครัวเดียวกันก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อเขาทำผิด อีกทั้งยังไม่ยอมสำนึก ข้าก็ได้แต่ช่วยชดใช้แทนเขา”
หลี่ซีเซิ่งมองเด็กหนุ่มหน้าดำเกรียมที่ยังคงเงียบงันแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้าวางใจเถอะ ว่ากันไปตามสถานการณ์ ยันต์ไม้ท้อชิ้นนี้เกี่ยวกับเรื่องลอบฆ่าเรื่องเดียวเท่านั้น หลังจากนี้เมื่อข้าออกไปจากเมืองเล็ก ตัวเจ้าเองต้องระวังหลี่เป่าเจินเอาไว้ หากเจ้าเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ เฉินผิงอัน ข้าขอร้องเจ้าว่าโปรดมอบโอกาสรอดชีวิตให้แก่เขาสักครั้ง ให้โอกาสเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“แน่นอนว่าหากมีกำลังสูสี หรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่เจ้าไม่ตายข้าก็ม้วย เจ้าก็ไม่ต้องออมมือ รักษาตัวรอดเอาไว้ก่อน”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียดกว่าจะตอบ “ตกลง!”
หลี่ซีเซิ่งส่งยันต์ไม้ท้อมาให้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงรับไปอย่างสบายใจ แค่ของเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีค่าให้พูดถึง”
“พี่ใหญ่หลี่ ท่านไม่จำเป็นต้องมอบของให้ข้า อีกอย่างท่านก็วางใจได้ เรื่องที่ข้ารับปากท่านไปแล้ว ข้าจะต้องทำให้ได้แน่นอน”
เฉินผิงอันโบกมือกล่าวยิ้มๆ “สามารถทำให้พี่ใหญ่หลี่เร่งรุดเดินทางมาตั้งไกลเพื่อมอบของชิ้นนี้ให้ แสดงว่าต้องมีค่ามาก อีกอย่าง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็ไม่พูดอะไรอีก
อันที่จริงอาเหลียงเคยพูดถึงครั้งหนึ่งว่า โชควาสนายิ่งใหญ่ที่แท้จริงของถ้ำสวรรค์หลีจูยังอยู่ที่ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่
ลางสังหรณ์บอกกับเฉินผิงอันว่า มันอาจจะเกี่ยวข้องกับยันต์ไม้ท้อชิ้นนี้ของหลี่ซีเซิ่ง
หลี่ซีเซิ่งเห็นว่าเด็กหนุ่มยืนกรานดื้อดึงผิดปกติก็ให้ลังเลไปชั่วขณะ “ขอคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
……
หลังจากที่หลงเฉวียนเลื่อนจากอำเภอเป็นเขตการปกครอง อำเภอหลงเฉวียนเดิมซึ่งมีชื่ออำเภอที่พิเศษเพราะได้รับใบบุญจากปราณมังกรนี้ก็เปลี่ยนชื่อใหม่ให้ฟังดูธรรมดาเป็นอำเภอไหวหวง ที่ว่าการเขตการปกครองตั้งอยู่ในภูเขาใหญ่แถบทิศเหนือ ที่ว่าการอำเภอยังคงตั้งอยู่ในเมืองเล็ก นายอำเภอคือขุนนางหนุ่มแซ่หยวนคนหนึ่ง ไม่เหมือนกับอู๋ยวนอดีตนายอำเภอที่มักจะลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง น้อยครั้งนักที่นายอำเภอหยวนจะเผยโฉมหน้า แต่ที่น่าแปลกก็คือภาระงานมากมายที่หยุดชะงักค้างคาก่อนหน้าที่เจ้าเมืองอู๋ อู๋ยวนจะได้เลื่อนตำแหน่ง ยกตัวอย่างเช่นการสร้างศาลเจ้าบุ๋นและบู๊ในที่ตั้งของภูเขาเครื่องปั้นและสุสานเทพเซียนกลับดำเนินงานไปได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ดังนั้นหลายคนจึงรู้สึกว่าการที่อู๋ยวนผู้เป็นดั่งหมอนปักลายดอกไม้ได้เลื่อนขั้นแบบพรวดพราดเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง
ผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่คือคนหนุ่มคนหนึ่งที่อายุพอๆ กับนายอำเภอหยวน แซ่เฉา เป็นแซ่สกุลเดียวกับสกุลของนายพลเอกเสาหลักของบ้านเมือง เมื่อเทียบกับนายอำเภอหยวนที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางแล้ว ผู้ตรวจการเฉากลับยินดีเปิดเผยหน้าตามากกว่า ไม่เพียงแต่เป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนตระกูลเศรษฐีบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เท่านั้น แม้แต่ที่โรงเรียนซึ่งสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ยเป็นผู้สร้างก็ยังได้เห็นร่างของคนผู้นี้เป็นประจำ โดยเฉพาะคาบเรียนที่ผู้ช่วยสอนอย่างหลี่ซีเซิ่งเป็นผู้สอน ขอแค่ผู้ตรวจการเฉามีเวลาว่างก็จะต้องไปฟังเสมอ เขาจะถอดชุดขุนนาง เปลี่ยนมาสวมชุดขงจื๊อนั่งอยู่หลังสุดของห้องเรียนอย่างเปิดเผย เรียนร่วมห้องกับเด็กเล็กวัยประถมที่นั่งกันอยู่เต็มห้องโดยไม่รู้สึกอับอายขายหน้า
ทางเดินม้าทางทิศตะวันออกของอำเภอไหวหวง จุดพักม้าที่ใกล้กับเมืองเล็กมากที่สุดมีชื่อว่าจุดพักม้าไหวไจ๋ ขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็เหมือนกับคำบอกที่ว่า แม้นกกระจิบจะตัวเล็กแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน ม้าส่งสารห้าตัวก็ยังถือเป็นม้าศึกชั้นรอง จุดพักม้าขนาดเล็กแห่งนี้จึงเป็นถือเป็นสิ่งที่เขตการปกครองอื่นๆ ทำไม่ได้แม้แต่จะฝันถึง
วันนี้จุดพักม้าไหวไจ๋มีแขกสูงศักดิ์มาเยือนหลายกลุ่ม ช่วงเช้าตรู่ เจ้าเมืองอู๋ยวนก็เดินทางมาจากทางฝั่งตะวันตกของที่ว่าการเขตการปกครอง พาราชเลขาฝ่ายบุ๋นและบู๊มาด้วยแค่สองคนเท่านั้น จากนั้นนายอำเภอหยวนก็นั่งรถม้ามาถึง พอเห็นอู๋ยวนที่เป็นผู้บังคับบัญชารออยู่ข้างทางเดินม้ากลับไม่แม้แต่จะทักทาย เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปในจุดพักม้า สั่งน้ำชามาหนึ่งกาแล้วก็นั่งลงดื่มอยู่กับตัวเอง
หลังจากนั้นผู้ตรวจการเฉาก็ควบม้ามาถึงเพียงลำพัง ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสุราโชยคลุ้ง เขาพลิกตัวโงนเงนลงจากหลังม้า เรอเอิ้กเอากลิ่นสุราออกมาหนึ่งที แล้วจูงม้าเดินมาข้างหน้า เกรงว่าเมื่อคืนคงดื่มมาอย่างหนัก เช้าวันนี้จึงคิดจะดื่มเหล้าถอนอาการเมา พอเห็นอู่ยวนก็รีบตบเสื้อผ้าขับไล่กลิ่นเหล้าอย่างคนร้อนตัว ก่อนจะจูงม้าเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าใต้เท้าเจ้าเมือง กุมมือคารวะพลางหัวเราะ “ข้าน้อยเฉาเม่าคารวะใต้เท้าเจ้าเมือง”
อู๋ยวนที่ได้เลื่อนสู่ตำแหน่งสูงกลับไม่มีท่าทางฮึกเหิมลำพองใจใดๆ เขาตอบกลับอย่างสุภาพ “ผู้ตรวจการเฉาคือขุนนางที่ขึ้นตรงกับกรมพิธีการ อันที่จริงเมื่อพบข้าก็ไม่จำเป็นต้องคารวะ”
เฉาเม่าผู้ตรวจการงานเตาเผาคลี่ยิ้ม ใบหน้าดุจหยกงาม เรือนกายสูงเพรียว ไม่เสียแรงที่เป็น ‘ต้นไม้หยกแห่งตระกูลเฉา’ ผู้งามสง่า ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำก็ล้วนทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ “จะได้อย่างไร หมวกขุนนางเล็กเจอหมวกขุนนางใหญ่ ก็ต้องให้ความเคารพสักหน่อย อีกอย่างวันหน้าหากใต้เท้าอู๋กลายเป็นลูกเขยของตระกูลหยวนเมื่อไหร่ นั่นก็เท่ากับลมเมฆแปรเปลี่ยนเป็นมังกร ยิ่งบุกตะลุยวงการขุนนางได้ราบเป็นหน้ากลอง ข้าไม่กล้าเพิกเฉยหรอกนะ”
เฉาเม่ามีท่าทางอ่อนน้อมอย่างมาก แต่คำพูดกลับไร้ยำเกรง ถ้อยคำเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางอย่างยิ่ง เพราะอันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีความเคารพต่ออู๋ยวนที่เป็นขุนนางใหญ่ซึ่งดูแลเขตการปกครองใหญ่แห่งหนึ่งสักเท่าไหร่
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ในฐานะหลานชายคนโตที่ตระกูลเฉาฝากความหวังไว้มาก เฉาเม่าจึงมีเหตุผลมากพอที่จะไม่ชอบว่าที่ลูกเคยของตระกูลหยวนอย่างอู๋ยวน
เดิมทีหยวนและเฉาสกุลนายพลเอกสองสกุลใหญ่ในเมืองหลวงมีความสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้นเพราะการแต่งงานที่มีมาหลายยุคหลายสมัย ทว่าร้อยปีล่าสุดที่ผ่านมาพวกเขากลับเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ บุรพาจารย์ของสองตระกูลที่ช่วยสร้างเกียรติให้กับวงศ์ตระกูลของตัวเองเคยเป็นสหายที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน อีกทั้งยังเป็นเสาหลักสำคัญที่ทำให้ต้าหลีลุกผงาดขึ้นมาได้ บวกกับที่เฉาห้างและหยวนเซี่ยนายพลเอกสองคนเป็นสกุลที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ดังนั้นในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์จึงขนานนามพวกเขาเป็น ‘ห้างเซี่ยร่วมแรง บุ๋นบู๊คู่หยก’ จนถึงทุกวันนี้พวกชาวบ้านของต้าหลียังเล่าขานเรื่องราวมหัศจรรย์มากมายเกี่ยวกับพวกเขา
ปัจจุบันนี้เทพทวารบาลทั้งหมดในเขตการปกครองหลงเฉวียนล้วนมีเกณฑ์การสร้างเหมือนกันหมด เทพทวารบาลบุ๋นบู๊ที่แขวนไว้คู่กัน แท้จริงแล้วก็คือภาพวาดของเฉาห้างกับหยวนเซี่ยสองบรรพบุรุษตระกูลเฉาและตระกูลหยวนนั่นเอง
ส่วนเรื่องที่ว่าทั้งสองตระกูลต่างก็ให้ลูกหลานสายตรงของตัวเองมารับตำแหน่งขุนนางที่นี่ จะเป็นเพราะได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือบนภูเขาหรือไม่ หรือในใจพวกเขาคิดอยากจะรับการคุ้มครองบางอย่างจากบรรพบุรุษ ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจทราบได้ เพราะอย่างไรซะต้นไหวโบราณต้นนั้นก็ล้มครืนลงมาแล้ว กิ่งก้านย่อยยับ ใบไหวแห้งสลาย ‘ดินแดนมังกรผงาด’ สำหรับสองตระกูลอย่างเฉาและหยวนแห่งนี้จะยังหลงเหลือร่มเงาของบรรพบุรุษอยู่อีกหรือไม่ ก็บอกไม่ได้จริงๆ
เพียงไม่นานก็มีหลายคนเดินทางมาถึง ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เฒ่าที่มีอายุมากแล้ว
มีหญิงชราถือไม้เท้าสกุลจ้าว ในฐานะเด็กรับใช้ของฉีจิ้งชุน จ้าวเหยาหลานชายของนางจึงนั่งรถเทียมวัวออกไปจากบ้านเกิดก่อนหน้าที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองเล็กแล้ว
และยังมีบรรพบุรุษตระกูลหลี่ผู้มีสีหน้าสำรวม หลังจากตราผนึกในถ้ำสวรรค์หลีจูหายไป ผู้เฒ่าก็เลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้สำเร็จ ช่วงชิงตำแหน่งขุนนางพระราชทานมาให้คนในตระกูลได้สองตำแหน่ง แต่หลี่ซีเซิ่งหลายชายคนโตกลับปฏิเสธ หลี่เป่าเจินรับเอาไว้ ตอนนี้จึงกลายเป็นขุนนางน้ำดีของเมืองหลวงต้าหลีไปแล้ว
ตำแหน่งที่เหลือได้แต่ ‘เก็บไว้’ เพราะอย่างไรซะก็ยังสามารถเก็บไว้ให้กับคนรุ่นหลังของตระกูลหลี่ที่มีความสามารถได้
และยังมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยหน้าตาใจดีที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งหัวมุมตรอกเถาเย่ ตอนนั้นที่เฉินผิงอันทำหน้าที่ส่งจดหมาย ผู้เฒ่ายังคิดเชิญเด็กหนุ่มเข้าไปดื่มน้ำในบ้าน เพียงแต่เด็กหนุ่มผู้ยากจนจากตรอกหนีผิงไม่กล้าตอบรับก็เท่านั้น
ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ที่เหลือก็เป็นประมุขของสี่แซ่สิบตระกูลในเมืองเล็กเช่นกัน ในมือของพวกเขาได้ถือครองเตาเผามังกร ที่นาคุณภาพดีและภูเขาทั่วไปจำนวนแตกต่างกันออกไป คือเศรษฐีบ้านนอกในเมืองเล็กอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อศีรษะสวมกวานสูงท่านหนึ่งเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นเบาๆ พอเดินลงจากรถม้า ผู้เฒ่าก็หรี่ตามองไปรอบด้าน ทำให้คนอื่นสัมผัสถึงพลานุภาพกดดันจนหายใจไม่ออกได้ทันที
ชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาที่ติดตามตัว
ผู้เฒ่าคนนี้ได้ครอบครองยศตำแหน่งที่แฝงไว้ด้วยพละกำลังมหาศาลจำนวนนับไม่ถ้วน ศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของฉีจิ้งชุน ราชครูต้าหลี อริยะแห่งลัทธิขงจื๊อ นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่เคยประมือกลางเมฆกับเจ้าเมืองนครจักรพรรดิขาว…
บุรพแจกันสมบัติทวีปคือหนึ่งในเก้าทวีปใหญ่ที่เล็กที่สุด แต่การปรากฏตัวของราชครูชุยฉานกลับช่วยให้ทวีปเล็กๆ แห่งนี้ดึงดูดสายตาของบุคคลยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังได้มากมาย
หลังชุยฉานลงมาจากรถม้าแล้ว ทุกคนต่างก็พากันกุมมือคารวะเขาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
รอจนทุกคนค่อยๆ ยืดตัวเงยหน้าถึงค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าด้านหลังผู้เฒ่าที่มีอำนาจล้นเหลือคนนี้มีเด็กสาวหน้าตางดงามสวมชุดสตรีชาววังเดินตามมาด้วย นี่ทำให้คนบางส่วนที่รู้เรื่องราวทำอะไรไม่ถูก
ชุยฉานเอ่ยเรียบๆ “ทุกคนกลับไปกันให้หมด”
ไม่มีใครกล้าเสนอความเห็นที่แตกต่าง แม้แต่จะเผยสีหน้าไม่พอใจก็ยังไม่มีใครกล้าทำ
ชุยฉานใช้สองนิ้วถูหยกพกชิ้นหนึ่งที่ห้อยติดเอว เดินไปทางจุดพักม้าไหวไจ๋ เด็กสาวเดินตามมาด้านหลังสีหน้าเฉยชา
ชุยฉานนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง บอกให้คนในจุดพักม้าเอาเหล้ามาสามไห ตอนที่ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเดินยกไหเหล้ามาพร้อมกับลูกจ้าง แต่ละคนรู้สึกปากคอแห้งผาก
ชุยฉานโบกมือปฏิเสธไม่ให้คนเหล่านั้นปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เขาเปิดจุกฝาเหล้าด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็กดฝ่ามือลงเบื้องล่างแสดงให้เด็กสาวที่ยืนอย่างเคร่งขรึมอยู่ข้างโต๊ะนั่งลง พูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องระมัดระวังเกินไปนัก ออกเดินทางครั้งนี้ ข้าแค่มาคุ้มครองเจ้าเท่านั้น เจ้าต่างหากที่เป็นเจ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้”
ชุยฉานยกถ้วยขาวใบใหญ่ขึ้นดื่มเหล้าบ้านป่าชั้นเลวรสชาติธรรมดา เขาไม่ถือสาในเรื่องนี้ ปีนั้นตอนที่ทรยศออกจากสำนัก เขาคนเดียวพกกระบี่หนึ่งเล่มเดินทางไปทั่วสารทิศในใต้หล้า ความลำบากใดบ้างที่ไม่เคยเผชิญ ชุยฉานจึงคิดมาตลอดว่าหากตัวเองทนรับความลำบากได้ก็เสวยสุขได้ ดังนั้นถึงได้มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้
ชุยฉานมองไปทางเด็กสาวที่มีท่าทางกระวนกระวายแล้วถามยิ้มๆ “จื้อกุย ถ้อยความทั้งหลายที่เจ้าพูดกับสำนักโหราศาสตร์ล้วนถูกบันทึกไว้ในเอกสาร ข้าอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดแล้ว ถ้าอย่างนั้นยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้ายังไม่ได้พูดถึงอีกหรือไม่? จะเรื่องหยุมหยิมแค่ไหนก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นยุคสมัยที่เซี่ยสือและเฉาซียังหนุ่ม ข้างกายพวกเขาเคยมีคนวัยเดียวกันที่น่าสนใจบ้างหรือเปล่า? หรือยกตัวอย่างเช่นใครเจอหายนะใหญ่แต่กลับรอดตาย ใครที่โดดเดี่ยวมาตั้งแต่ยังเด็ก?”
—–