กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 195.1 หอสยบกระบี่
ในสายตาของจื้อกุยที่มองผ่านจากอีกฝากของกำแพง เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนม้านั่งเล็กตัวโยกโยนไปมา คล้ายคนกำลังสัปหงก
แต่ในการรับสัมผัสของเฉาจวิ้นเซียนกระบี่ จิตวิญญาณของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนรุนแรงประหนึ่งเรือลำน้อยลอยคว้างอยู่ท่ามกลางคลื่นน้ำทะลักทลาย เสี่ยงที่จะถูกล่มเรือได้ทุกเมื่อ
จิ้งจอกแดงเพลิงที่ยืนอยู่บนไหล่เฉาจวิ้นเอ่ยหยอกเย้า “แม้จะไม่รู้ความเป็นมาของตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น แต่ก็แน่ใจได้ว่าระดับของมันสูงมาก ขนาดข้ายังอยากได้ เจ้าแค่เสียเปรียบเล็กน้อยก็ตัดใจได้แล้วหรือ? นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยของเจ้าเฉาจวิ้นเลย”
เฉาจวิ้นโยนเมล็ดแตงเข้าไปยังลานบ้านของบ้านที่อยู่ติดกัน ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่แย่งแล้ว ตาเฒ่าเฉาพูดถูก ช่วงนี้ควรอยู่นิ่งๆ คนตายยังต้องหงายหน้ามองฟ้า ไม่มีชีวิตเหลือแล้ว ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงพูดล่อลวง “เรื่องเดียวกันไม่ทำเกินสามครั้ง ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง ลองเดิมพันดู ไม่มีหญ้าให้กินตอนกลางคืน ม้าก็อ้วนไม่ได้ คนไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่อาจร่ำรวย ในเมื่อเจ้าเฉาจวิ้นสะดุดล้มไปครั้งใหญ่ ถูกคนปั่นป่วนทะเลสาบหัวใจจนเละเป็นบ่อโคลน ทำให้ตบะของเจ้าชะงักค้างไม่ก้าวหน้า ตอนนี้หากไม่ใช้วิธีการอย่างใหม่จะทำเรื่องใหญ่สำเร็จได้อย่างไร?”
เฉาจวิ้นเงียบงัน ทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาแทะเมล็ดแตง สายตาหม่นหมอง
นับตั้งแต่ที่ถือกำเนิดเกิดมา เฉาจวิ้นก็มีชื่อเสียงโด่งดัง เดิมทีก็คือตัวอ่อนเซียนกระบี่ใหญ่ที่หนึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้งในทักษินาตยทวีป ในทะเลสาบหัวใจมีปราณกระบี่ที่บริสุทธิ์ตั้งตระหง่านดุจดอกบัวที่ชูช่อเต็มทะเลสาบมาตั้งแต่เกิด เพียงแค่รอวันที่ดอกบัวจะผลิบานเท่านั้น เพียงแต่ว่าภายหลังพบเจอเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง ถูกสุดยอดผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งทำลายทะเลสาบหัวใจ ปราณกระบี่แตกซ่านกระจัดกระจาย กลายเป็นเพียงดอกบัวที่แห้งเหี่ยว
นับแต่นั้นมาเฉาจวิ้นก็กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งทักษินาตยทวีป ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่วัยเดียวกันที่ในอดีตเคยถูกเขาทิ้งห่างนำไปไกล ตอนนี้แต่ละคนล้วนเหนือกว่าเฉาจวิ้นไปแล้ว
จิ้งจอกแดงเพลิงถอนหายใจอย่างเศร้าอาลัย ใช้กรงเล็บตบศีรษะเฉาจวิ้น “เด็กที่น่าสงสาร รากฐานกระบี่แตกย่อยยับ อนาคตถูกทำลาย หลายปีมานี้ แม้แต่ความกล้าที่จะงัดข้อกับสวรรค์ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว”
เฉาจวิ้นตกตะลึงเล็กน้อย หันหน้ากลับไปมองทางบ้านบรรพบุรุษของเด็กหนุ่ม “นิสัยของเจ้าหมอนี่ไม่เลวเลย ก่อนหน้านี้ข้ากลับมองไม่ออกแม้แต่น้อย เขาถึงขั้นหาวิธีที่สะดวกต่อตนเองเจอแล้ว”
สำหรับเทพเซียนบนภูเขาที่เห็นโลกกว้างมามากแล้ว เรื่องราวมากมายบนโลกนี้ไม่ได้น่าตกใจ แต่ยังมีความน่าสนใจหลงเหลืออยู่
จิ้งจอกแดงเพลิงเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน มันกระโดดดึ๋งหนึ่งครั้งก็ขึ้นมายืนบนหัวเฉาจวิ้น ยืดคอเพ่งสายตามองภาพเหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มกำลังต่อสู้อยู่กับตัวอ่อนกระบี่ในร่างตัวเอง แล้วเอ่ยเบาๆ “อืม คล้ายคลึงกับเสาหินผูกม้าในศาสนาพุทธ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมอเรือช่วยผูกเรือลำน้อยแห่งจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มเอาไว้ ร่างกายของเด็กหนุ่มผุผัง ได้รับการปะชุนซ่อมแซมจนเดินมาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากคิดจะกำราบตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น ยังไม่พอ เฉาจวิ้น ก่อนหน้าที่เจ้าจะถูกคนทำร้าย ชีวิตราบรื่นเกินไป ภายหลังยังต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากมาย ไม่แน่ว่าประสบการณ์ของเด็กหนุ่มในวันนี้อาจจะกลายมาเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้าก็ได้…”
เฉาจวิ้นไม่ยิ้มบางๆ อีกต่อไป เขาหุบยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
พรสวรรค์น้อยใหญ่ในด้านการฝึกตนก็เหมือนถ้วยข้าวที่บรรพบุรุษประทานให้ ต่อให้ถ้วยของคนบางคนจะใหญ่มาก แต่ถ้าหากด้านในใส่ข้าวไว้น้อยเกินไป คนก็กินไม่อิ่ม กลายเป็นขีดจำกัดทางธรรมชาติอยู่ดี
การเดินทางไกลในครั้งนี้ จากทักษินาตยทวีปที่มีทิวทัศน์งามสง่าหลากหลาย มาจนถึงบุรพแจกันสมบัติทวีปบ้านป่าเมืองเถื่อน เฉาจวิ้นกลับได้รับผลประโยชน์อย่างเปี่ยมล้น สิ่งละอันพันละน้อยล้วนส่งผลดีต่อเขาทั้งสิ้น
ระหว่างการงัดข้อกับตัวอ่อนกระบี่ แม้เด็กหนุ่มจะรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้ อีกทั้งยังมีสมอเรือช่วยดึงใจให้สงบนิ่งลง จิตวิญญาณไม่ถึงขั้นล่องลอยไปตามกระแสคลื่น แต่เพราะจิงชี่เสินของตัวอ่อนกระบี่พลุ่งพล่านเกินไป พลังอำนาจที่พุ่งชนไปทั่วนั้นดุดันบ้าคลั่ง เป็นวิธีการป่าเถื่อนที่ใช้พละกำลังอย่างเดียวเท่านั้น
จิ้งจอกแดงเพลิงตบกรงเล็บเข้าด้วยกัน กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “จะแพ้แล้ว น่าอนาถๆๆ ไม่แน่ว่าต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียงสิบวันครึ่งเดือนเลยนะเนี่ย ชัดเจนว่าเป็นเพราะตัวอ่อนกระบี่เพิ่งจะมีสติปัญญา ยังไม่รู้จักวิธีโคจรวิชาอภินิหารอันเป็นพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ของตัวเอง หาไม่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่มีทางทนมาได้จนถึงตอนนี้”
แม้ว่าตบะของเฉาจวิ้นจะสู้จิ้งจอกที่อยู่บนศีรษะไม่ได้ แต่ต่างอาชีพ ความรู้ความเข้าใจก็แตกต่าง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งมีหวังว่าจะขึ้นไปสู่ยอดภูเขา จึงมีสายตาเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง “ก็ไม่แน่เสมอไป”
จิ้งจอกแดงเพลิงหลุดเสียงตกใจ “เอ๊ะ? ในร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นมีช่องโพรงที่ลึกมากอยู่สามช่อง หรือว่าเขาก็คือตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เลวคนหนึ่ง? ไม่ถูกๆ น่าจะเพิ่งขุดเจาะภายหลัง แต่ผสานรวมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่างเป็นฝีมือที่ยิ่งใหญ่นัก มิน่าเล่าถึงทำให้ข้ามองพลาดไป”
คำว่าช่องโพรงลึกนั้นส่วนใหญ่เป็นวลีของคนในโลกมนุษย์ ใช้บรรยายถึงคนบางคนที่วางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล ค่อนข้างจะเป็นความหมายในเชิงลบ
ทว่าหากเป็นบนภูเขากลับมีความหมายในทางที่ดีมาก ช่องโพรงเป็นเหมือนจวนและนคร แน่นอนว่ายิ่งสูงใหญ่ก็ยิ่งโอ่อ่าน่ามอง
จิ้งจอกแดงเพลิงถอนหายใจเบาๆ “เด็กหนุ่มที่ไม่สะดุดตาคนนั้นก็ยังมีความประหลาดที่ไม่อาจดูแคลน เฉาจวิ้น เจ้าจงเชื่อฟังตะพาบเฒ่าแต่โดยดีเถอะ ช่วงนี้อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวเลย แม้ว่าถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปริแตกแห่งนี้จะเป็นเพียงแค่สถานที่คับแคบแห่งหนึ่ง แต่กลับมีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ จะทำอะไรก็ไม่ควรโอหังมากเกินไปนัก”
เฉาจวิ้นพยักหน้ารับ “ต้องเก็บหางให้ดี ทำตัวให้สำรวม”
จิ้งจอกแดงเพลิงโมโหจึงกระทืบเท้าลงไปบนศีรษะของเฉาจวิ้น “เจ้าตะพาบน้อยเลี้ยงไม่โต คนอุตส่าห์เตือนเจ้าด้วยความหวังดี มาด่าข้าได้ไง!”
ลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมตัวอ่อนกระบี่ที่ได้เปรียบถึงตีกลองสั่งถอนทัพ สะบัดตัวอยู่อย่างสงบในช่องโพรงลมปราณที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
เฉาจวิ้นไม่ลอบมองภาพเหตุการณ์ของทางฝั่งนั้นอีกต่อไป แต่หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้ยินมาว่าเจ้ามีน้องสาวคนหนึ่งชื่อชิงอิง เป็นหนึ่งในบุรพาจารย์เผ่าจิ้งจอกเหมือนเจ้า มีหวังว่าจะมีหางที่เก้างอกออกมา ตาเฒ่าเฉาหลงใหลในความงามของนางมาหลายปีแล้ว นางสวยมากจริงๆ หรือ?”
จิ้งจอกแดงเพลิงยกหางตัวเองขึ้นทำเป็นพัดที่โบกลมเย็นมาเบาๆ แยกเขี้ยวพูด “สวยกะผีน่ะสิ หน้าตาอย่างกะคนตาย ไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เด็ก แถมยังเย่อหยิ่งหัวสูง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไร้วาสนา ด้วยสายตาของเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้น ต่อให้เป็นแม่หมูสักตัว ขอแค่ก้นใหญ่มากพอ เขาก็รู้สึกว่าสวยปานเทพธิดาทั้งนั้นแหละ”
เฉาจวิ้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนถามเบาๆ “ได้ยินว่านางป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กับหอพิทักษ์เมืองมาร้อยปีแล้ว หรือหวังว่าจะได้เป็นอนุภรรยาของเจ้าหมอนั่น?”
จิ้งจอกแดงเพลิงปล่อยหาง กุมท้องหัวเราะก๊าก ราวกับได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า “นายท่านป๋ายหรือจะถูกใจนาง? นายท่านป๋ายถือเป็นหนึ่งในราชาปีศาจใหญ่ที่อยู่มานานที่สุดในใต้หล้านี้ เคยเดินทางไปทั่วทุกมุมของสองใต้หล้าใหญ่ มีตัวเมียแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน? แล้วมีหรือจะมาถูกใจจิ้งจอกน้อยธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง?”
หอสยบสมุทรตั้งอยู่บนชายหาดทะเลใต้ของทักษินาตยทวีป และคนสกุลเฉาก็เป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูพอดี ดังนั้นเฉาจวิ้นจึงรู้เรื่องภายในมากมาย
จิ้งจอกแดงเพลิงกดเสียงลงต่ำ “อริยะสามลัทธิไม่ยุติธรรมต่อนายท่านป๋ายของพวกเรา! เห็นๆ กันอยู่ว่านายท่านป๋ายช่วย…”
เสียงเฉาซีตวาดดังมาจากในห้อง “นังตัวเหม็นอยากตายรึ? ยังไม่หุบปากอีก!”
จิ้งจอกแดงเพลิงพลันคืนสติ รู้ดีว่าตัวเองพลั้งปากไปจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า ยกสิบนิ้วขึ้นพนม โค้งตัวลงต่ำราวกับกำลังขออภัยอย่างจริงใจ อีกทั้งยังปล่อยให้ร่างกายถูกปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่เฉาซีดีดออกมาระเบิดร่างเป็นจุลอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยง
“ยี่สิบคำ จงรับการลงโทษแต่โดยดี!”
เฉาซีปล่อยปราณกระบี่ออกมาติดต่อกันอีกยี่สิบเส้น จิ้งจอกแดงเพลิงไม่หลบเลี่ยงสักครั้ง มาถึงท้ายที่สุดเฉาจวิ้นต้องใช้สองมือโอบประคองมันที่หายใจรวยรินเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ไฟโทสะของเฉาซียังไม่มอดดับ เขาชี้ไปที่จิ้งจอกในอ้อมแขนของเฉาจวิ้นแล้วแผดเสียงด่า “หากอยากตายก็กระโดดเข้าไปในเตาหลอมกระบี่ของหร่วนฉงซะ หร่วนฉงอาจจะยังเห็นความดีของเจ้าบ้าง อย่ามาแหกปาก ลากสกุลเฉาของข้าให้ตายไปพร้อมกับเจ้าอยู่แถวนี้! ฟ้าดินกว้างใหญ่ เจ้าลัทธิสามท่านอาจจะไม่ถือสา แต่ลูกศิษย์ในสำนักของพวกเขาล่ะ ไม่พูดถึงคนอื่น เอาแค่เจ้าของภูเขาห้อยหัว นิสัยของเขาเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้รึ?! นังผู้หญิงขี้แพ้!”
ศีรษะของจิ้งจอกแดงเพลิงเอียงไปด้านหนึ่ง มันหมดสติไปแล้ว
เฉาจวิ้นพูดเบาๆ “พอสมควรก็พอแล้ว ไม่มีมันก็ไม่มีเจ้าเฉาซีในวันนี้ คนเลวคนชั่วนั้นเป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ควรมีมโนธรรมในใจบ้าง”
เฉาซีพลันหยุดพูด จ้องมองไปยังหลานชายที่คราวนี้ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยสีหน้ามืดทะมึน
จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ ทำสีหน้ารังเกียจ “ไสหัวไปบอกเจ้าลูกหมาที่ชื่อเฉาเม่าผู้นั้นซะ บอกเขาว่าอย่าไปถือสาสกุลหยวน สายตาเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารอย่างเขาแค่จับตามองผลได้ผลเสียของราชสำนักต้าหลีอย่างเดียวก็พอแล้ว ไอ้พวกเศษสวะ ทำไมไม่ตายๆ กันไปให้หมด! ยังมีหน้ามาพบบรรพบุรุษ บอกให้เขาไสหัวไปไกลๆ!”
เฉาจวิ้นอุ้มจิ้งจอกเดินจากไปด้วยสีหน้าเฉยชา
เหลือเฉาซีอยู่ในบ้านบรรพบุรุษเพียงลำพัง เขาจึงเริ่มเดินวนรอบลานเปิดกลางบ้านอย่างเชื่องช้า
ในอดีตที่นี่มีผู้เฒ่าขี้โรคคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่ในห้องมืดสลัวตลอดทั้งปี มีชายฉกรรจ์ขี้เหล้าอกกตัญญูที่ทั้งวันต้องปวดหัวกับการหาเงินมาจัดงานศพ มีสตรีแต่งงานแล้วขี้ขลาดไร้หัวคิดซึ่งตั้งแต่เจ้าจรดค่ำ นอกจากต้องทำงานบ้านแล้วยังต้องทำไร่ทำนา อายุสามสิบปีกลับดูแก่ยิ่งกว่าสตรีอายุสี่สิบปีคนอื่นๆ ในตรอกหนีผิงซะอีก
แต่เวลานั้นมีเด็กหนุ่มยากจนนิสัยเกเรคนหนึ่งที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน วันๆ หาแต่เรื่องสนุกใส่ตัว ไม่เรียนหนังสือหนังหา งานการก็ไม่ทำ เอาแต่ฝันกลางวัน ด้วยมักรู้สึกว่าสักวันหนึ่งตนจะต้องซื้อบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดบนถนนฝูลวี่ ส่วนข้อที่ว่าหากทนได้ถึงวันนั้นจริงๆ ปู่และพ่อแม่จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตอนนั้นเด็กหนุ่มมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเที่ยวเล่นและฝันกลางวัน ไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด
ผู้เฒ่าที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มมานานแล้วควักเหรียญทองแดงเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยสนิมเหรียญนั้นออกมา ชูสูงเหนือศีรษะ มองลอดผ่านรูสี่เหลี่ยมกลางเหรียญทองแดง แล้วก็มองลอดผ่านไปนอกเพดานสี่เหลี่ยมที่เปิดอ้าอีกที
หวนนึกถึงอดีต ดูเหมือนว่าจะมีสนทนาแบบนี้เกิดขึ้น
“ท่านแม่ วันหน้ารอให้ข้าเจริญก้าวหน้าเมื่อไหร่ ข้าจะให้ท่านได้นอนบนกองเงินกองทอง”
“เฮ้อ!”
“ท่านแม่ ข้าพูดจริงนะ!”
“รีบเก็บเหรียญนั้นลงไปซะ ถ้าพ่อเจ้ามาเห็น เดี๋ยวก็เอาไปอีกหรอก”
……
เฉาซีหยุดความคิดทั้งหมดลง กวาดตามองรอบด้าน พูดเย้ยตัวเอง “กลายเป็นเซียนก็ไม่มีกลิ่นอายความเป็นคนอีกแล้ว”
……
เฉินผิงอันใส่กุญแจประตูหน้าบ้านเรียบร้อยก็ออกจากตรอกหนีผิง มาที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง เด็กชายชุดเขียวนั่งเหม่ออยู่บนธรณีประตู พอเห็นเฉินผิงอันก็แค่เรียกว่านายท่านอย่างไร้เรี่ยวแรง เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปก็พบว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยืนอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง กำลังดีดลูกคิดคำนวณของที่วางอยู่บนชั้นด้านหลังด้วยสีหน้าจริงจัง นิ้วทั้งสิบพลิ้วไหวเหมือนผีเสื้อบินล้อมดอกไม้ ทำให้คนมองตาลาย เสียงดีดป้อกๆ แป้กๆ ดังเสนาะหู เด็กสาวและสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวของเมืองเล็กที่ยืนล้อมวงดูอยู่ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงและเลื่อมใส
พอเหล่าเด็กสาวและสตรีโตเต็มวัยที่นิสัยซื่อสัตย์เห็นเฉินผิงอันต่างก็เรียกเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เฉิน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง “นายท่าน ข้ากำลังช่วยคิดบัญชีของร้าน อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ เดินอ้อมไปหลังโต๊ะคิดเงิน บอกให้คนเอาพู่กันและกระดาษมาให้ ก่อนที่ตัวเองจะเริ่มเขียนใบรายการของขวัญ ตอนนั้นก่อนออกไปจากเมืองเล็ก เขาได้ให้หร่วนซิ่วช่วยส่งขวัญมากมายแก่เพื่อนบ้านใกล้เคียง เพราะในอดีตก่อนที่เฉินผิงอันจะได้ไปทำงานที่เตาเผามังกร ก็ถือว่าเติบโตมาได้เพราะข้าวจากบ้านของคนมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเขามักจะไปขอข้าวที่บ้านกู้ช่านกินเป็นประจำ แล้วก็มักจะได้รับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เด็กของบ้านอื่นสวมใส่ไม่ได้ สำหรับเฉินผิงอันแล้ว อาหารทุกมื้อ เสื้อผ้าทุกชิ้นล้วนเป็นพระคุณยิ่งใหญ่ที่ช่วยต่อชีวิตให้กับเขา ตอนนั้นเขาก็เคยบอกกับหร่วนซิ่วแล้วว่า วันหน้าขอแค่ตนยังมีชีวิตอยู่ ทุกปีจะต้องส่งของขวัญไปให้แต่ละบ้าน ของที่มอบให้อาจไม่มากนัก แต่สำหรับตระกูลเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับตรอกหนีผิงแล้ว ของชนิดต่างๆ มูลค่าเจ็ดแปดตำลึงถึงยี่สิบตำลึงย่อมไม่ถือว่าน้อยอย่างแน่นอน
ตอนนั้นหร่วนซิ่วก็เคยถามว่า ทำไมถึงไม่มอบเงินจำนวนมากให้ไปรวดเดียวเลย เพราะทั้งสะดวกกว่าและยังทำให้คนเหล่านั้นซาบซึ้งในบุญคุณได้ด้วย
เฉินผิงอันบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาเติบโตมาในชนชั้นล่างตั้งแต่เด็ก ใช่ว่าจะไม่เข้าใจจิตใจของคนและวิถีของโลก ก็แค่ไม่อาจพูดให้มีหลักการเหมือนในตำราเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่มองดูเหมือนยิบย่อยที่สุดกลับบั่นทอนจิตใจอันดีงามและความกตัญญูได้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงอธิบายเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ของเขาให้หร่วนซิ่วฟังอย่างละเอียด สภาพการณ์ของทุกครอบครัวในเมืองเล็กแห่งนี้ แท้จริงแล้วไม่ต่างจากการทำไร่นาสักเท่าไหร่ ล้วนมีการแบ่งปีเล็กปีใหญ่ ลูกหลานบางครอบครัวก็ได้ดิบได้ดี ร่ำรวยไม่ขาดเงิน แต่บางตระกูลกลับเจอการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ครอบครัวที่เดิมทีมั่นคงก็อาจจะล้มครืนลงมาในทันที ดังนั้นของที่เขาเฉินผิงอันเตรียมไว้จึงได้ทั้งกินทั้งสวมใส่ หากมีเรื่องร้อนใจต้องใช้เงินจริงๆ ก็ยังสามารถเอาของเหล่านั้นไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ หากมอบให้กับครอบครัวที่มีกินมีใช้ พวกเขามีแต่จะดีใจ หากมอบให้ครอบครัวที่ยากแค้น พวกเขาก็มีแต่จะยิ่งทะนุถนอมเห็นค่า
ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มลายดอกไม้บนผ้าแพร หรือมอบถ่านให้ในวันหิมะตก
ก็ล้วนเป็นเรื่องดี
เพียงแต่เฉินผิงอันเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมตัวเองทำถูกในเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อรู้จักตัวอักษร อ่านหนังสือออกแล้ว
หร่วนซิ่วที่ตอนนั้นได้ฟังยิ้มอย่างยินดีเป็นพิเศษ บอกว่าบนภูเขากับล่างภูเขาค่อนข้างจะแตกต่างกัน
—–