กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 196.2 ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์
เฉินผิงอันเดินอยู่บนถนนเส้นเล็ก พูดพึมพำกับตัวเอง “สืออู่ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าขายหน้า วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนคาถาควบคุมกระบี่ เจ้าจะได้ไม่ต้องอับอายใครอย่างวันนี้อีก”
เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
ในขณะที่คนอื่นมอบความหวังดีให้กับตน หากเขาไม่อาจทำอะไรได้เลยสักอย่าง มโนธรรมในใจของเฉินผิงอันก็ยากที่จะสงบ
กระบี่บินสีเขียวมรกตที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณดีดเด้งเบาๆ ราวกับว่าอารมณ์ดีในชั่วพริบตา ให้อภัยกับความงุ่มง่ามในการควบคุมกระบี่ของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้อย่างใจกว้าง
เฉินผิงอันยิ้มอย่างอดไม่ได้ ในใจนึกเปรียบเทียบกับชูอีที่มีนิสัยก้าวร้าว เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนกัน แต่สืออู่อ่อนโยนกว่ามากนัก
ผลกลับกลายเป็นว่าความคิดนี้ของเฉินผิงอันเพิ่งจะผุดขึ้น ตัวอ่อนกระบี่ชูอีก็ออกมาจากรังนอน ก่อคลื่นพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทำเอาเฉินผิงอันเจ็บปวดจนต้องงอตัวยืนอยู่ที่เดิม ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
สืออู่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงบินสวบออกมาจากช่องโพรงลมปราณ ว่ายทะยานผ่านด่านสำคัญหลายด่านไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมาหยุดลอยกลางอากาศอยู่ ‘หน้าประตูบ้าน’ ของชูอี ก่อนจะหมุนตัวเบาๆ คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีหรือไม่
เฉินผิงอันเดินได้อย่างปกติไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่ขยับเท้าอย่างยากลำบากไปนั่งลงบนขั้นบันไดตรงทางแยกของตรอก
คงจะเป็นเพราะถูกดึงดูดความสนใจจากกระบี่บินสืออู่ ตัวอ่อนกระบี่ชูอีจึงยอมปล่อยเฉินผิงอันไป
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเป็นดั่งหญิงสาวสองคนซึ่ง ‘แต่งงานให้กับชายไม่ดี’ ต่างฝ่ายต่างหยุดลอยอยู่ในและนอกประตูช่องโพรงลมปราณ ทั้งเหมือนคุมเชิงกันอย่างดุดัน แล้วก็เหมือนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะพบหน้ากันดีหรือไม่
เฉินผิงอันฉวยโอกาสช่องว่างนี้รีบหอบหายใจคำใหญ่ พักผ่อนเล็กน้อยแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ตรอกฉีหลง เรียกเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูให้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
ชูอีไม่ยอมพบสืออู่
ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ระหว่างที่ขยับเข้าไปใกล้ภูเขาเจินจู ชูอีก็ออกฤทธิ์เล่นงานเฉินผิงอันอีกครั้ง ทำเอาเฉินผิงอันเกือบจะลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ได้แต่กัดฟันแน่นนั่งยองลง เหงื่อไหลออกมาตามไขสันหลัง แทบจะตาพร่าหมดสติไป เฉินผิงอันได้แต่พยายามโคจรวิธีหายใจสิบแปดหยุด เนื่องด้วยตอนนี้ทลายคอขวดใหญ่ที่ขวางระหว่างหกและเจ็ดไปได้แล้ว ขณะที่เฉินผิงอันกำลังชักคะเย่ออยู่กับตัวอ่อนกระบี่จึงพอจะรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้บ้าง แต่ค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายไปก็คือต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดมหาศาลที่มาจากการสั่นสะเทือนทั่วทุกเสี้ยวของจิตวิญญาณอย่างชัดเจน ความทรมานเช่นนี้ไม่เป็นรองความเจ็บปวดจากการถูกถลกหนัง หรือถูกแยกร่างออกเป็นชิ้นๆ เลย
สืออู่อยากจะลงมือเต็มแก่ แต่ก็ยังไม่ยอมออกมาจากที่พักพิงของตัวเอง ราวกับว่าหากยังตัดสินใจไม่ได้ก็จะเลือกที่จะดูไฟชายฝั่งก่อนชั่วคราว
รอจนชูอีกลับคืนสู่ความสงบด้วยความพึงพอใจ ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันก็เหมือนเพิ่งถูกงมขึ้นมาจากในน้ำ เดินกะโผลกกะเผลกไปด้านหน้าอีกครั้ง ท่าเดินนิ่งของเขาเดินอย่างโซซัดโซเซ ตัวโยกเอียงไปมา ทว่าแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังตระหนักไม่ได้ว่า ปณิธานแห่งหมัดที่มองไม่เห็นซึ่งไหลรินไปทั่วกายเขาเปลี่ยนมาเป็นเข้มข้นหนักแน่นมากกว่าเดิมแล้ว
กลางภูเขาลูกใหญ่มีผู้เฒ่าเปลือยเท้าสวมอาภรณ์ขาดวิ่น เส้นสายตาขุ่นมัวมองเห็นได้ไม่ชัดกำลังเดินโซเซเหมือนแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนไปทั่ว ปากก็พร่ำซ้ำคำเดิมๆ “อาจารย์ของฉานฉานล่ะ อาจารย์ของฉานฉานข้าล่ะ…”
ทันใดนั้นดวงตาของผู้เฒ่าวิปลาสก็พลันสว่างไสวขึ้นมาหลายส่วน หลังจากกวาดตามองไปรอบด้าน เขาก็ไม่ได้ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ยิ่งไม่ได้บังคับลมโผบิน แต่สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลงสำรวจทิศทางการเดินบนภูเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แล้วก็มาโผล่ตรงหน้าคนทั้งสามโดยตรง ผู้เฒ่ามองไปยังเด็กหนุ่มที่ฝึกเดินนิ่งจนเหงื่อท่วมตัว ถามว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอันใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันเกร็งร่าง พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวสีหน้าทึ่มทื่อ หมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง
อะไรกัน เดิมทีออกมาจากเมืองเล็กนึกว่าจะได้เป็นดั่งสกุณาที่โบยบินบนท้องนภากว้างไกล แต่นี่แค่เดินอยู่บนทางเล็กที่รกร้างในภูเขาก็เริ่มมีเทพเซียนตัวประหลาดที่สามารถต่อยตนให้ตายด้วยหมัดเดียวปรากฏตัวอีกแล้วหรือ?
ผู้เฒ่ารีบถามด้วยสีหน้าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด “ชุยฉานฉานของข้า…ข้าคือปู่ของชุยฉาน ตอนนี้เจ้าคืออาจารย์ของเขารึ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยิ่งระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม “ถือว่าใช่”
ผู้เฒ่าพูดรัวเร็ว “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ถูกคนรังแกหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่ายากที่จะตอบคำถามข้อนี้ เพราะครั้งนั้นที่เดินทางไกล เด็กหนุ่มราชครูชุยฉาน หรือควรจะเรียกว่าชุยตงซานที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันไม่อยากโกหกผู้เฒ่าน่าเวทนาที่เรียกตัวเองว่าเป็นปู่ของชุยฉานผู้นี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงอีก และจิตใต้สำนึกของเฉินผิงอันก็ทำให้เขารู้สึกว่าพลังอำนาจของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายคลึงกับวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก จุดที่ไม่เหมือนมีแค่ตบะของคนทั้งสองสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนข้อที่ว่าวานรย้ายภูเขาตนนั้นจะมีตบะสูงกว่า หรือผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ที่มีตบะสูงกว่ากันแน่ เนื่องด้วยตบะของเฉินผิงอันยังต่ำเกินไปจึงมองตื้นลึกหนาบางอะไรไม่ออก
แค่ผู้เฒ่าขมวดคิ้วก็ทำให้เฉินผิงอันและเด็กน้อยทั้งสองรู้สึกกดดันหายใจไม่ออกกันแล้ว ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “แม้ว่าเจ้าจะเป็นอาจาร์ของหลานชายข้า ข้าควรจะให้ความเคารพเจ้า แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยังไม่ถึงขอบเขตสามจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้หลานชายข้าได้อย่างไร?! วันหน้าเมื่อหลานข้าเจอปัญหา เจ้าที่เป็นอาจารย์ก็จะทำเพียงชมละครอยู่ไกลๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้นน่ะหรือ?! ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย!”
สายตาของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคมปลาบราวใบมีด เขาจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “พาข้าไปยังสถานที่ที่เจ้าคิดว่าปลอดภัย ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง”
ไม่รอให้เฉินผิงอันตอบรับ ผู้เฒ่าก็ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นิ้วทั้งห้าที่เป็นราวกับตะขอคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ “รีบบอกมา! เวลาไม่คอยข้า ข้ามีสติแจ่มชัดมากที่สุดแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น อย่ามัวเสียเวลา!”
เฉินผิงอันมึนงงสับสนไปหมด
แต่แค่ผู้เฒ่าจับไหล่ก็ไม่เพียงแต่ทำให้เฉินผิงอันปวดร้าวไปทั้งห้องหัวใจ แม้แต่กระบี่บินอย่างชูอีและสืออู่ก็ยังสั่นสะเทือน ร้องครวญครางดังอื้ออึง จะอย่างไรซะพลังอำนาจที่พวกมันสามารถสำแดงออกมาได้ก็เกี่ยวพันกับตบะและขอบเขตของเฉินผิงอันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงไม่อาจห้ามปรามการบีบคั้นจากผู้เฒ่าไว้ได้เลย
เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ไม่กล้าขยับ ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่เป็นเพราะทำไม่ได้
เล่าลือกันว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เดินไปสู่จุดสูงสุด ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตยอดเขาของขั้นที่เก้า พลังอำนาจจะมารวมตัวกัน แล้วปลดปล่อยออกไปข้างนอกดุจปราณกระบี่ที่ไหลทะลัก ใครก็มิอาจสกัดกั้น เพียงแค่เสียงคำรามอย่างเดือดดาลทีเดียวก็สามารถสะเทือนขวัญสั่นประสาทของศัตรูให้แหลกสลาย ไม่ว่าจะเป็นในยุทธภพหรือในสมรภูมิรบ ต่างก็มีให้เห็นได้ไม่ยาก
ผู้เฒ่าตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “รีบพูด! หากยังอึกๆ อักๆ ข้าผู้อาวุโสจะตัดแขนขาเจ้าให้ขาดด้วยหมัดเดียว ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะใช่อาจารย์ของหลานชายข้าหรือไม่!”
สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว กัดฟันโคจรลมปราณ เตรียมพร้อมจะสู้ตายเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งให้กับตัวเอง
ผู้เฒ่าประสานสายตากับเฉินผิงอันแล้วหัวเราะฮ่าๆ เขาปล่อยไหล่ของเด็กหนุ่ม ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าเด็กน้อย พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เลวๆ คือวัสดุที่ดีชิ้นหนึ่ง! หากไปตกอยู่ในมือของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เฮงซวยคนอื่น ต่อให้จะทุ่มเทแรงใจสลักกลึงเกลาเจ้าแค่ไหน เจ้าก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ แต่กับข้านั้นไม่เหมือนกัน!”
เว่ยป้อที่สวมชุดขาวพลิ้วกายล่องลอยดุจเซียนมาปรากฏอยู่บนทางภูเขา นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “ไม่สู้พาผู้เฒ่าท่านนี้ไปที่เรือนไม้ไผ่ หากเจ้าตอบรับ ข้าจะนำทางให้”
ผู้เฒ่ามองไปทางเว่ยป้อ “โอ้โห ไม่เจอเทพภูเขาที่ร่างเป็นคนแต่การกระทำดุจสุนัขเช่นนี้มานานแล้ว น่าสนใจๆ รอให้เรี่ยวแรงของข้าผู้อาวุโสกลับคืนมาสักหน่อย มีโอกาสจะต้องแลกเปลี่ยนฝีมือกับเจ้าบ้างแล้ว”
เว่ยป้อกล่าวยิ้มๆ “ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มาแลกเปลี่ยนฝีมือกับข้าเลย แค่ขัดเกลาขอบเขตวรยุทธ์ของอาจารย์หลานชายท่านให้ดีก็คงยุ่งมากพอแล้ว”
ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยแววเหยาะหยัน “พูดเรื่องไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย พาข้าไปยังถิ่นของเฉินผิงอันที่เรียกว่าภูเขาลั่วพั่วอะไรนั่นซะ ข้ารู้ว่าที่นั่นมีสถานที่ที่เหมาะกับการลับมีด นำทาง!”
เว่ยป้อไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับพลังอำนาจที่บีบคั้นของผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มตาหยีพยักหน้ารับ ดีดนิ้วหนึ่งที แม่น้ำและภูเขาก็พลิกกลับ เพียงชั่วพริบตาคนทั้งกลุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่นอกเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันมองเว่ยป้อ ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เบาๆ
ผู้เฒ่าคว้าไหล่ของเฉินผิงอัน กระโดดเบาๆ ทีเดียวก็ขึ้นมาที่ชั้นสอง เปิดประตูแล้วพาเด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน ผู้เฒ่าเลิกคิ้ว หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “เป็นสถานที่ที่ดี เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ! อย่างน้อยวันหนึ่งข้าก็สามารถมีสติแจ่มชัดได้เป็นชั่วยาม ไม่ด้อยไปกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเลย ในที่สุดก็พอจะมีมาดของอาจารย์ฉานฉานข้าสักที”
ผู้เฒ่าถอยหลังไปหลายก้าว “เฉินผิงอัน เจ้าทนรับความลำบากได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันที่ประหลาดใจมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว “ทนได้”
ผู้เฒ่าถามอีก “รับความลำบากที่ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่กล้าตอบคำถามข้อนี้
ผู้เฒ่าไม่พอใจเล็กน้อย เขาผรุสวาทเสียงดัง “ทำตัวอย่างกะพวกผู้หญิง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว! ไม่คล่องแคล่วเอาเสียเลย หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าผู้อาวุโสไม่เต็มใจปรนนิบัติรับใช้หรอก!”
เฉินผิงอันบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าสมองของผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ไม่ใคร่จะดีนัก ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เขาอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป
ผู้เฒ่าเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตั้งท่าหมัดที่โบราณเรียบง่ายโดยมือหนึ่งกำหมัดค้างอยู่กลางอากาศ อีกมือหนึ่งกำหมัดแนบติดหน้าอก เรียบๆ ง่ายๆ แต่วินาทีนั้นพลังอำนาจของเขากลับน่าตะลึงอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “รับความลำบากในความลำบากได้ก็คือคนเหนือคน ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราต้องคิดหวังว่าจะเดินสู่เบื้องบน หากยังไม่ไปถึงยอดเขาก็ต้องทำตัวดั่งหมาเร่ร่อนที่ขุดหาอาหารข้างทางเพื่อให้มีชีวิตรอด! ต้องบอกกับตัวเองว่า ข้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างสะใจ ต้องช่วงชิงมหามรรคากับฟ้าดิน! ช่วงชิงกับพวกเทพเซียนเฮงซวย! ช่วงชิงกับผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเดียวกัน! สุดท้ายยังต้องแข่งขันกับตัวเอง! ช่วงชิงลมหายใจเฮือกนั้นมาให้จงได้!”
“ยามที่พ่นลมหายใจเฮือกนี้ออกมา ต้องทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี! ต้องทำให้เทพเซียนคุกเข่าโขกหัวให้ ต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกรู้สึกว่าเจ้าก็คือท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!”
นาทีนั้นผู้เฒ่าที่สภาพทุเรศยิ่งกว่าขอทานกลับมีพลังอำนาจแกร่งกล้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอย่างหาสิ่งใดมาเทียบเทียมมิได้!
ดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังบอกหลักการข้อหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มอย่างตรงไปตรงมา
คนตรงหน้าผู้นี้ ไร้ผู้ใดจะทัดเทียม!
—–