กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 197.2 เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้ว
หลังปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เด็กชายชุดเขียวก็กระโดดไปนั่งบนราวระเบียงด้วยความกลัดกลุ้ม
คิดกับตัวเองว่าข้าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในแม่น้ำอวี้เจียงมานานหลายร้อยปี เป็นบุคคลผู้เด่นดังที่คนทั้งแคว้นหวงถิงรู้จัก เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน สหายห้อมล้อมรอบกาย เหตุใดพอมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ใหญ่แค่ก้นแห่งนี้ถึงได้ชนกำแพงไปทุกด้าน? (เปรียบเปรยว่าพบกับอุปสรรค ไม่ราบรื่น) ช่วงนี้นายท่านใหญ่อย่างข้าดวงตกไปหน่อยไหม? วันหน้าหากออกจากบ้านไปฉี่ จะฉี่กระเด็นไปโดนเทพเซียนบางท่านโดยไม่ทันระวังแล้วโดนคนเขาต่อยตายในหมัดเดียวหรือเปล่า?
นี่ไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของข้าผู้อาวุโสที่ว่า ย่ำเดินในยุทธภพเมื่อใดต้องเปิดฉากสังหารไปทั่วสารทิศเลย!
เด็กชายชุดเขียวหน้าตาบูดบึ้ง ใช้สองมือทุบราวระเบียงอย่างแรง หงุดหงิดเจียนบ้าแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอยู่ชั้นล่างของเรือนไม้ไผ่ กำลังช่วยเว่ยป้อเทพภูเขาก่อไฟต้มยาถังใหญ่ กลิ่นหอมรวยรินโชยมาปะทะจมูก
ตัวยาในถังใหญ่ใบนี้ไม่แพง หากคิดเป็นเงินขาว เว่ยป้อก็ต้องจ่ายเงินประมาณแปดหมื่นตำลึงของต้าหลี
คนจนเรียนบุ๋น คนรวยเรียนบู๊ คำของคนโบราณไม่เคยโกหกจริงๆ
แน่นอนว่าผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ไม่มีทางทุ่มเงินมากมายอย่างเว่ยป้อ หาไม่แล้วต่อให้ฐานะทางบ้านจะเพียบพร้อมร่ำรวยแค่ไหนก็ต้องถูกควักเอามาใช้จนหมด
ในห้องบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าปรายตามองเด็กหนุ่มที่สีหน้ายังนับว่าดี “นอกจากข้าผู้อาวุโสจะช่วยสลายลมปราณให้เจ้าแล้ว ยังจะช่วยหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณให้เจ้าไปพร้อมๆ กัน ขอแค่เจ้ายืนหยัดให้ได้ถึงท้ายที่สุด ฝ่าทะลุจากขอบเขตสองสู่ขอบเขตสาม ดั่งน้ำไหลหลากเขื่อนก็สร้างเสร็จ (อุปมาว่าเงื่อนไขสุกงอม เงื่อนไขพร้อมจึงทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ) หากโชคดี เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
หากโชคดี
ได้ยินประโยคนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกแล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะระวังในการออกแรงทุกครั้ง จะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกยากลำบากเกินทนตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ถึงสุดท้ายแล้วรสชาติจะเป็นอย่างไร หึหึ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้ลิ้มรสด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลโดยพลัน
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม จิตใจของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นเหมือนบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น ตั้งท่าหมัดที่เรียบง่ายเก่าแก่ช้าๆ “ตอนที่ข้าผู้อาวุโสยังอายุน้อย ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศโดยที่ไม่เคยพกศาสตราวุธใด อาศัยแค่สองหมัดก็ตะลุยไปทั่วบนภูเขาและล่างภูเขา เคยมองฟ้าแล้วพยากรณ์เสียงสายฟ้าบอกเวลาฤดูใบไม้ผลิ! ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล เทพสายฟ้าขับรถรัวกลอง ใช้สายฟ้าสยบสิ่งชั่วร้ายใต้หล้า เปลี่ยนความขุ่นมัวให้เป็นใสกระจ่าง”
ผู้เฒ่าสีหน้านิ่งเฉย “หลังจากสังเกตการณ์อยู่ครั้งหนึ่ง ข้าผู้อาวุโสก็เกิดการบรรลุตระหนักรู้ จึงสร้างกระบวนท่านี้ขึ้นมา ท่าที่มีชื่อว่าเทพตีกลองสายฟ้า!”
เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างไม่ยอมให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เหตุผลนั้นง่ายมาก จะปล่อยให้ตัวเองทนรับความลำบากอย่างเสียเปล่าไม่ได้!
ผู้เฒ่ากล่าวเสียงเฉียบ “เจ้าหนูจงยืนให้มั่นคง ลองชิมสิบหมัดนี้ก่อน!”
ในห้องของเรือนไม้ไผ่พลันบังเกิดเสียงไม้ไผ่ระเบิดดังกังวานเป็นระลอก
สิบหมัดที่ปล่อยติดต่อกันทยอยกันกระแทกลงบนสิบจุดบนร่างของเฉินผิงอัน พละกำลังแทรกซอนเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ เป็นเหตุให้ลมปราณในร่างเฉินผิงอันซัดกระเพื่อมไม่อยู่นิ่ง เหมือนไม้กวาดที่กวาดผ่านที่ใดฝุ่นผงก็คลุ้งตลบอบอวล
หลังเก็บหมัด ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้มประหลาด
ทีแรกเฉินผิงอันที่ทำใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้วยังแปลกใจอยู่บ้าง เพราะรู้สึกว่าผู้เฒ่าไม่ได้ออกหมัดหนักหน่วงนัก เมื่อต่อยลงบนร่างของตนก็อยู่ในระดับที่รับได้
ทว่าผ่านไปเพียงแค่เสี้ยววินาที เลือดก็ทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ดของเฉินผิงอัน เขาหงายผลึ่งแล้วเริ่มกลิ้งตัวไปมา มิอาจลุกขึ้นยืนได้อีก
เฉินผิงอันขบริมฝีปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้อง
ตอนที่ฝึกหมัด นอกจากที่จูเหอเคยบอกไว้ว่า ช่วงต้นของการฝึกวรยุทธ์ห้ามดื่มเหล้าทำร้ายร่างกายแล้ว ยังมีอีกหลายครั้งที่เคยได้ยินคำว่าหนึ่งลมปราณห้ามตกลง กว่าที่เฉินผิงอันจะรู้หลักการฝึกหมัดข้อนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงทะนุถนอมเห็นค่าของมัน มาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงยืนหยัดไม่ย่อท้อ ต่อให้ภายหลังจะรู้จากหลินโส่วอีว่าในเหล้ากานั้นของอาเหลียงมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ เฉินผิงอันก็ไม่เคยนึกเสียใจ
ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่กลิ้งไถลเถลือกไปรอบด้านก็หลุดหัวเราะพรืด “เป็นไง รสชาติไม่เลวใช่ไหม? แก่นของหมัดนี้อยู่ที่พลังของหมัดสามารถเพิ่มเป็นเท่าตัวได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขอแค่เจ้าออกหมัดได้เร็วพอ ได้หลายครั้งพอ ต่อให้เป็นเซียนอรหันต์ที่มีร่างทองไม่แตกสลายก็ยังต้องถูกเจ้าทุบทำลายจนย่อยยับ!”
ผู้เฒ่ากล่าวประโยคนี้จบ สีหน้าของเขาก็ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย
ปีนั้นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ มีเรื่องหนึ่งเขาอยากรู้มาโดยตลอด
หากมรรคาจารย์เต๋าและศาสดาพุทธยินดีที่จะไม่ตอบโต้ ถ้าเช่นนั้นหากถูกกระบวนท่านี้ของตนต่อยอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถยืนหยัดได้กี่ร้อยหมัด?! แล้วตนจะสามารถปล่อยออกไปได้กี่ร้อยหมัด?!
เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็คืนสติ เอ่ยอธิบายว่า “วางใจเถอะ สิบหมัดนี้ผู้อาวุโสออกแรงแค่เล็กน้อย ไม่ทำลายเนื้อหนังมังสาของเจ้า แค่ทุบตีลงบนจิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้น เจ้ากัดฟันเอาสักหน่อยก็น่าจะทนผ่านไปได้”
เด็กหนุ่มกลิ้งอยู่บนพื้นถึงครึ่งก้านธูปเต็ม จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นนั่งพิงผนัง หายใจด้วยวิธีการที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ รวมไปถึงใช้วิธีโคจรลมปราณที่อาเหลียงเคยสอนตน ถึงลุกขึ้นยืนได้ช้าๆ ในอีกหนึ่งก้านธูปต่อมา ทั้งตัวโชกไปด้วยเหงื่อคล้ายลูกไก่ตกน้ำที่เพิ่งขึ้นฝั่ง
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “ดูท่าสิบหมัดยังพอไหว ถ้าอย่างนั้นก็กินอีกสักสิบห้าหมัดแล้วค่อยว่ากัน”
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็ลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นต่อ คราวนี้กระแทกเข้ากับมุมกำแพง ต่อให้หัวกระแทกกับกำแพงก็ยังไม่รู้ตัว
เฉินผิงอันนอนอยู่บนพื้นสองก้านธูปเต็มก็ยังลุกขึ้นนั่งไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะลุกขึ้นมาด่าผู้เฒ่าเลย
ผู้เฒ่ามองการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนของลมปราณในร่างเด็กหนุ่มเงียบๆ ก่อนพูดต่อว่า “วิถีวรยุทธ์ วิถีวรยุทธ์ก็คือวิถีที่ยิ่งใหญ่! ผู้ฝึกลมปราณมักจะดูถูกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว พูดแค่ว่าเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เรียกว่าวิถีวรยุทธ์ เพราะคิดว่าการเรียนวรยุทธ์ไม่มีทางไต่ไปถึงระดับสูงดั่งคำว่า ‘วิถี’ ได้ แต่ข้าผู้อาวุโสไม่เชื่อ!”
“ข้าผู้อาวุโสอ่านตำราของร้อยสำนักมาจนปรุ มีวันหนึ่งอ่านเจอเนื้อหน้าท่อนหนึ่ง ในหน้าหนังสือนั้นยังวาดภาพสตรีร่างอ้อนแอ้นไว้หนึ่งคน รูปโฉมของนางเรียกได้ว่าโฉมสะคราญล่มเมือง ตัวอักษรบอกว่าสตรีที่เป็นเทพพิรุณท่านนี้มีใจห่วงใยอาณาประชาราษฎร ยอมที่จะล้ำเส้นทำผิดกฎสวรรค์ ประทานฝนลงมาโดยพลการ ร่างทองของนางจึงถูกกักขังอยู่ในแท่นลงทัณฑ์เทพแห่งหนึ่ง ทุกวันคืนจะต้องทนฟังสี่คำที่มีอยู่ในโองการตักเตือนแห่งสวรรค์ว่า ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง’ ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสถึงกับตบโต๊ะลุกขึ้นยืน สบถด่าว่าระยำ! โทสะลุกโชนยากสงบ จึงเดินออกไปข้างนอก ตอนนั้นฝนกำลังตกกระหน่ำ ข้าผู้อาวุโสจึงปล่อยหมัดต่อยให้ม่านฝนถอยกลับขึ้นไปสิบกว่าจั้ง!”
“ดังนั้นหมัดนี้ของข้าผู้อาวุโสจึงมีชื่อว่า กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่!”
ผู้เฒ่ามายืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ แล้วยกเท้ากระทืบเข้าที่หน้าท้องของเฉินผิงอันพลางแค่นหัวเราะเสียงหยัน “ลุกไม่ขึ้นก็นอนไปนั่นแหละ! เพราะข้าผู้อาวุโสก็ยังทำให้เจ้ารู้ถึงความมหัศจรรย์ของหมัดนี้ได้อยู่ดี!”
มหาสมุทรลมปราณของเฉินผิงอันพลันเกิดเสียงดังอื้ออึง ราวกับว่ากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน
ตอนนั้นที่เขาติดตามชุยตงซานเดินทางจากต้าสุยกลับมายังแคว้นหวงถิง ได้ผ่านบึงน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีไอหมอกลอยกรุ่น เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างมาก จากคำพูดของชุยตงซานทำให้รู้ว่านั่นคือภาพเหตุการณ์ที่เรียกว่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่แม้ว่าจะเป็นภาพที่งดงามมองแล้วสุขตาแค่ไหน พอต้องมาเจอกับเท้าที่กระทืบมาอย่างรวดเร็วของผู้เฒ่าครั้งนี้ ในร่างของตนที่ต้องแบกรับกับอาการเด้งกระเด็นกระดอนเหมือนการสะบัดม้วนภาพวาด นั่นก็เรียกว่าเป็น ‘ความรันทดหลังจากสุขสุดๆ’ อย่างแท้จริง เท้านี้ของผู้เฒ่ากระทืบลงบนมหาสมุทรลมปราณที่อยู่ใต้จุดตันเถียนของเฉินผิงอัน ทำให้มหาสมุทรลมปราณโถมตัวลอยสูง เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนตับไตไส้พุงปริแตกไปทีละชุ่น นาทีถัดมาอาจจะกระอักเอาเครื่องในทั้งหมดออกมาทางลำคอก็เป็นได้
ทุกครั้งที่ไอน้ำในมหาสมุทรลมปราณลอยขึ้นสูง เฉินผิงอันก็เหมือนถูกคนเหวี่ยงขึ้นด้านบนหนึ่งครั้ง ร่างดีดจากพื้นสู่กลางอากาศ จากนั้นก็กระแทกกลับลงมาบนพื้น เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สุดท้ายอาจเป็นเพราะร่างกายที่เด้งขึ้นเด้งลงของเด็กหนุ่มทำให้ผู้เฒ่ารำคาญตา เขาจึงกระทืบซ้ำอีกครั้ง “นิ่งเดี๋ยวนี้!”
เฉินผิงอันถูกฝ่าเท้านั้นเหยียบจนแน่นิ่งติดพื้น แขนขาทั้งสี่ของเด็กหนุ่มชักกระตุก สีหน้าบูดเบี้ยว นัยน์ตาขุ่นมัว
เห็นเพียงว่าทั่วร่างของเฉินผิงอันมีเม็ดเลือดที่เล็กจิ๋วอย่างถึงที่สุดจำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากรูขุมขนบนกล้ามเนื้อ แล้วสุดท้ายก็รวมตัวกันกลายเป็นแถบใหญ่
ผู้เฒ่าคำรามเดือด “เฉินผิงอัน! จงฟังให้ดี! ลมปราณแรกเริ่มบนวิถีวรยุทธ์เฮือกนั้นถูกเจ้าค้นพบมาตั้งนานแล้ว แล้วเจ้าจะเอามันมาไว้ดูเฉยๆ อย่างนั้นหรือ! ร่างขยับไม่ได้แล้วอย่างไร?! ขอแค่ลมปราณเฮือกนี้ไม่ตกลงก็พอ!”
ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ เฉินผิงอันได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าเลือนๆ จึงออกคำสั่งทะเลสาบหัวใจตามสัญชาตญาณ บอกให้ลมปราณลี้ลับที่เป็นเหมือนมังกรไฟขุมนั้นโคจรด้วยตัวเอง อยากจะไปไหนก็ไป เพราะเขาไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกแล้ว แม้แต่จะยกนิ้วขึ้นสักนิ้วก็ยังทำไม่ได้
ผู้เฒ่าก้มหน้าเพ่งมองไป ในสายตาของเขามองเห็นลมปราณเส้นหนึ่งที่หนาไม่เกินเส้นด้าย มองดูคล้ายมังกรไฟกำลังพุ่งชนเส้นชีพจรตรงหน้าอกของเฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่ง เขาจึงหัวเราะเสียงดัง “ดี!”
ผู้เฒ่าดึงเท้าข้างนั้นกลับมา เอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างดีดนิ้วใส่เฉินผิงอันเบาๆ “เคยชมการคุมเชิงของสองกองทัพบนยอดเขา ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ราวกับมังกรและช้างกำลังประลองกำลัง มังกรคือตัวแทนของผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดในน้ำ ส่วนช้างก็คือตัวแทนของผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดบนผืนดิน ศึกนั้นเรียกได้ว่าเป็นสงครามที่ต่อให้ผ่านไปร้อยปี ผู้คนก็ยังแซ่ซ้องสรรเสริญ! ข้าผู้อาวุโสบรรลุหนึ่งหมัด ให้ชื่อว่ากระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ!”
ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าดีดนิ้วด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย กระดูกซี่โครงท่อนหนึ่งของเฉินผิงอันก็ต้องแตกหักตามไปด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันหลุดเสียงร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด
นั่นก็เพราะความเจ็บปวดที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่มันเกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
เด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนราวระเบียงด้านนอกอกสั่นขวัญผวา เกือบจะผลัดตกลงมา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลันทรุดตัวนั่งยองยกสองมือกุมศีรษะ ไม่กล้าฟัง
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ผู้เฒ่าก็เดินออกมานอกห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พอเปิดประตูออกมาแล้วก็พูดกับเด็กชายชุดเขียวที่ตัวสั่นระริกว่า “มาแบกเขาลงไปข้างล่าง แล้วโยนตัวลงไปแช่ในถังยา เสื้อผ้ารองเท้าไม่ต้องถอด อย่ามองข้ามการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพราะสำหรับเฉินผิงอันแล้ว หากหลังจากนี้ต้องการให้ขอบเขตมั่นคงก็ห้ามไปขยับพวกมันเด็ดขาด อีกอย่างไปบอกกับเทพภูเขาหน้าหวานคนนั้นด้วยว่า ห้ามวาดงูเติมหาง (การกระทำที่เกินความจำเป็น) โดยการเพิ่มยาวิเศษอะไรลงไป ข้าผู้อาวุโสก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ความลำบากที่เจ้าเด็กนี่ทนรับไปในวันนี้จะต้องสูญเปล่า”
หลังได้เห็นผู้เฒ่า รับฟังคำสั่งจากอีกฝ่าย เด็กชายชุดเขียวที่ตกใจจนไม่กล้าเดินลงบันไดก็กระโดดพรวดลงไปข้างล่างโดยตรง ได้แต่ไปบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมาหามเฉินผิงอัน เพราะตัวเขานั้นไม่กล้าแม้แต่จะเดินสวนกับผู้เฒ่า
แต่พอมาถึงด้านล่าง บอกความทั้งหมดให้เว่ยป้อฟังอย่างเกินความจำเป็นแล้ว เห็นว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวิ่งเหยาะๆ ออกไปนอกประตูโดยไม่ถามไม่ปฏิเสธให้มากความ เด็กชายชุดเขียวกลับกัดฟัน แตะปลายเท้าเบาๆ หนึ่งที พุ่งตัวไปด้านนอก จากนั้นก็แตะปลายเท้าอีกที ทะยานขึ้นไปยังชั้นบน แข็งใจเดินเข้าไปในห้องตัดหน้าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู แล้วแบกเฉินผิงอันที่เลือดท่วมตัวขึ้นหลัง
ค่อยๆ วางเฉินผิงอันลงในถังยาอย่างระมัดระวัง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่น้ำตาอาบหน้าถามเบาๆ “เทพภูเขาเว่ย นายท่านของข้าจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?”
เว่ยป้อมองเฉินผิงอันที่สลบไสลไม่ได้สติ “หากสามารถยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าล้มเลิกความพยายามไปกลางคัน ทุกสิ่งที่ทำมาไม่เพียงแต่เสียเปล่า เกรงว่าคงทิ้งโรคร้ายไว้อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นชีวิตนี้ได้แต่ค้างอยู่ที่ขอบเขตสองหรือสามของวิถีวรยุทธ์ เพราะปูรากฐานมาไม่มั่นคง คิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตที่สูงได้อย่างเต็มตัวก็ไม่มีทางทำได้ เพราะนี่ไม่ต่างจากให้เด็กยืนถือกำแพงหิน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมึนงงเล็กน้อย
เด็กชายชุดเขียวเดินออกไปนอกห้องเพียงลำพัง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ยกสองมือเท้าแก้ม เหม่อลอยไปไกล
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันที่ก่อนหน้านี้แช่ตัวอยู่ในถังยาเหมือนคนน่าสงสารที่ฝันร้ายแต่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ ต่อให้จะหลับสนิท ลมหายใจก็ยังคงวุ่นวายอย่างถึงที่สุด ทว่าตอนนี้ในที่สุดลมหายใจของเขาก็เริ่มมั่นคงขึ้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะเขย่งปลายเท้า ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนถังน้ำ กลัวว่านายท่านจะเจ็บจนตาย กลัวว่านายท่านจะจมน้ำตาย กลัวว่านายท่านหลับไปครั้งนี้แล้วจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก นางจึงได้แต่เบิกตาโตมองเขาอยู่อย่างนั้น เพราะเอาเข้าจริงนางก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
—–