กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 200.1 เงื่อนตายของทางตาย
หลังจากนกขมิ้นมาหยุดอยู่บนไหล่ เซี่ยสือก็วางถ้วยชาลงราวกับวางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยเสียงดังกังวาน “นี่ก็คือวิธีการต้อนรับแขกของต้าหลีอย่างนั้นหรือ?”
เฉาซีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เขาอยากจะสังหารเซี่ยสือผู้นี้ก็จริง เพราะหวังว่าหลังจากนี้เขาจะสามารถดึงเอาผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิเต๋าบางคนที่อยู่เบื้องหลังเซี่ยสือออกมาได้ ถึงเวลานั้นจะได้เอามายำรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสกุลเฉินอิ่นอิงแห่งนาตยทวีป หร่วนฉงอริยะของที่แห่งนี้ รวมไปถึงปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปอย่างศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ หอป๋ายอวี้จิงที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของต้าหลี ชุยฉานราชครูต้าหลีผู้มีอุบายลึกล้ำ ฯลฯ เฉาซีทั้งสามารถทำตามข้อตกลงของสกุลเฉินผู้มากความรู้ จนกระทั่งได้ควบคุมเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จนกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จ เขาก็แค่ต้องหาโอกาสพาตัวเองออกมา ไปนั่งชมไฟชายฝั่งอย่างสบายอุรา ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงกว่าคอยช่วยต้านรับ เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ วันหน้าอย่างมากก็แค่ไปหลบอยู่ที่หอสยบสมุทรเสียก็สิ้นเรื่อง
แต่เฉาซีกลับไม่อยากเป็นเหมือนนกออกจากป่าที่เลือกพุ่งชนกับเซี่ยสือซึ่งๆ หน้าในทันที
หลังสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของนกขมิ้นตัวนั้น เดิมทีสวี่รั่วที่มีความรู้กว้างขวางล้มเลิกความคิดที่จะชักกระบี่ไปแล้ว แต่พอได้ยินประโยคนี้ของเฉาซีกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ เอื้อมมือจับด้ามกระบี่อีกครั้ง จอมยุทธ์สำนักโม่ที่เดินเล่นอยู่ในตรอกจึงเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านเก่าตระกูลเซี่ยช้าๆ พลางพูดไปด้วย “ต้าหลีรับแขกอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสวี่รั่วพูดให้มากความ เพราะหากมีใจคิดร้ายกับเจ้าจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กสาวจื้อกุยมาปรากฏตัวที่เมืองเล็กแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์หรือเหตุผลก็ถือว่าต้าหลีทำได้ไม่เลวแล้ว กลับเป็นเจ้าเซี่ยสือที่พูดจาใหญ่โตตอนอยู่ในจุดพักม้า ไม่เห็นต้าหลีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทำไม ตอนนี้อาศัยว่ามีปฐมาจารย์ทางฝ่ายนั้นของเจ้าหนุนหลัง เลยคิดจะวางอำนาจข่มคนอื่นต่องั้นรึ? ได้ วันนี้ข้าสวี่รั่วจะใช้แค่ตัวตนของสวี่รั่วมาตัดสินเป็นตายกับเจ้า”
สวี่รั่วเดินมาถึงหน้าบ้านตระกูลเซี่ย เอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ลูกศิษย์สำนักโม่อย่างพวกเรารักษาคำพูดอย่างยิ่ง เรื่องวันนี้ของข้าสวี่รั่วให้จบสิ้นที่ความเป็นความตายระหว่างเจ้าและข้า วันหน้าต้าหลีก็ดี อาจารย์ของสำนักโม่ก็ช่าง จะไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าเซี่ยสืออีก”
ชุยฉาน เฉาซี หร่วนฉง สวี่รั่ว ผู้ฝึกยุทธ์ไร้แซ่ไร้นาม เมืองเล็กคือสถานที่ที่มังกรขดตัวพยัคฆ์นอนหมอบ เพียงแค่ห้าคนนี้ก็สามารถร่วมมือกันสร้างตาข่ายยักษ์ไร้รูปลักษณ์โอบล้อมเซี่ยสือไว้ได้ ตามหลักแล้วสวี่รั่วคือบุคคลที่ไม่ควรลงมือเป็นคนแรกมากที่สุด คาดไม่ถึงว่าเมื่อถึงสุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่าจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ที่พูดง่ายกว่าใครคนนี้คิดจะชักกระบี่ สังหารฝ่ายตรงข้าม เป็นฝ่ายขอวัดฝีมือความสามารถที่ค้ำฟ้าจากเทียนจวินลัทธิเต๋าเพียงลำพังเป็นคนแรก
เซี่ยสือขมวดคิ้ว มองไปทางหน้าประตูของเรือนใหญ่ กล่าวเสียงหนัก “สวี่รั่ว เจ้าจะลงมือจริงๆ หรือ?”
สวี่รั่วตบด้ามกระบี่ พูดกลั้วยิ้มอย่างสง่างาม “ไม่เคยชักกระบี่ออกมาเต็มเล่มเป็นเวลาหกสิบปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้ายังหล่อเลี้ยงกระบี่อีกสองสามเล่มไว้ด้วย ก็ประจวบเหมาะพอดี เชื่อว่าจะไม่มีทางทำให้เซี่ยเทียนจวินผิดหวังอย่างแน่นอน”
เซี่ยสือรู้สึกเหมือนคนขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก หากเป็นความแค้นส่วนตัว แล้วอยู่ที่อุตรกุรุทวีป เขาเซี่ยสือคงลงมือได้อย่างเต็มที่ แต่ข้ามทวีปลงใต้มาครั้งนี้กลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เรื่องที่เขาเซี่ยสือไม่เต็มใจจะทำ เดิมทีก็บอกได้ถึงปัญหาอย่างแน่ชัดอยู่แล้ว ในฐานะเจ้าลัทธิเต๋าของแคว้นหนึ่ง จะยอมเก็บกลั้นความโกรธแค้น ย้อนกลับบ้านเกิดที่อยู่ทางใต้เพียงแค่เพราะถูกคนเอาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตมาบีบบังคับได้อย่างไร?
เฉาซีรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
สวี่รั่วผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็ง ถือเป็นคนที่นิสัยดีที่สุดในบรรดากลุ่มของจอมยุทธ์พเนจรในโลก สวี่รั่วมีความสามารถมากน้อยเท่าไหร่ ตบะลึกล้ำหรือตื้นเขิน ที่พึ่งของเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เนื่องด้วยเขาลงมือน้อยครั้งมาก ดังนั้นคำถามเหล่านี้จึงเป็นปริศนามาโดยตลอด แต่ทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็เชื่อในเรื่องหนึ่งนั่นคือ สามารถชีวิตอยู่มาได้อย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่นิสัยดีเท่าไหร่ ตอนที่แสดงด้านนิสัยเสียออกมาย่อมต้องน่าตะลึงมากอย่างแน่นอน
และเวลานี้เอง น้ำเสียงแก่ชราที่ดังกังวานดุจเสียงระฆังก็ดังขึ้นมาในบ้านเก่าของตระกูลเซี่ย “สวี่รั่ว เจ้าอย่ามาแย่งกับข้าผู้อาวุโส เซี่ยสือผู้นี้ ข้าผู้อาวุโสจะเอามาใช้ฝึกปรือฝีมือสักหน่อย เป็นการฉลองที่ข้าผู้อาวุโสกลับคืนสู่ขอบเขตสิบอีกครั้งพอดี หากคู่ต่อสู้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็ตีกันไม่สาแก่ใจ! หากเจ้าเซี่ยสือรู้สึกว่าข้าอาศัยว่ามีกำลังมากกว่ามารังแกเจ้า ก็ไม่เป็นไร ผู้อาวุโสจะสู้กับคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าให้เต็มคราบ ใช้เหตุผลเดียวกับสวี่รั่ว บุญคุณความแค้นส่วนตัว เป็นหรือตายก็รับผิดชอบกันเอาเอง!”
นกขมิ้นสีเหลืองอ่อนที่ยืนอยู่บนไหล่ของเซี่ยสือตลอดเวลาร้องจิ๊บๆ จั๊บๆ น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู
เซี่ยสือเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก่อนจะยิ้มเข้าใจ แล้วกุมมือคารวะกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสบอกแล้วว่า ก่อนหน้านี้เป็นข้าเซี่ยสือที่ไม่แสดงความจริงใจมากพอ ไม่มีใครเขาใช้หลักการบังคับซื้อบังคับขายกันแบบนี้! ดังนั้นท่านผู้อาวุโสจึงกำลังเดินทางมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียน แถมยังบอกด้วยว่าจะช่วยราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าหลอกเอา…”
เซี่ยสือพูดตามประโยคเดิมที่ได้ยินมาทุกประการ แต่พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ สีหน้ากลับแข็งทื่อเล็กน้อย นึกถึงกฎข้อหลีกเลี่ยงการพูดถึงชื่อผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาได้ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “เชิญให้เฮ้อเสี่ยวเหลียง ‘กุมารีหยก’ ของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปมาด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าต้าหลีของพวกเจ้าต้องผิดใจกับสำนักโองการเทพ นี่คือการแสดงความจริงใจ ดังนั้นส่วนที่สกุลซ่งต้าหลีของพวกเจ้าต้องทุ่มเทแรงใจจริงๆ ก็มีแค่ที่ภูเขาเจินอู่แห่งเดียวเท่านั้น”
เฉาซีคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับหาข้อตำหนิใดๆ จากคำพูดของเซี่ยสือไม่ได้
เซี่ยสือมองไปทางประตูใหญ่ของจวน กุมมือคารวะพลางเอ่ยยิ้มๆ “หากคิดจะประมือกัน รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นก่อน ข้าเซี่ยสือต้องเล่นด้วยให้ถึงที่สุดแน่นอน!”
จากนั้นเขาก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย หันมาทางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งก็คือที่ตั้งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว “อยากจะประมือกับท่านผู้อาวุโสของข้า ก็ต้องสู้กับข้าเซี่ยสือก่อนถึงจะได้ หวังว่าจะเข้าใจ หากเจ้ารู้สึกว่าข้าเซี่ยสือดูถูกเจ้า…”
เซี่ยสือเก็บหมัด เอามือสองข้างไพล่หลัง แค่นเสียงเย็น “ก็คิดซะว่าข้าเซี่ยสือดูถูกเจ้านั่นแหละ!”
สวี่รั่วทิ้งท้ายด้วยหนึ่งประโยค “เรื่องครั้งนี้จบเมื่อไหร่ ค่อยมาเจอกัน”
ทางฝ่ายของภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองชุยฉานยิ้มๆ กล่าวว่า “เป็นไง จะให้ข้าลงมือเมื่อไหร่? หากเป็นเวลาปกติ ข้าไม่มีทางอดทนอดกลั้นหรอกนะ”
สีหน้าของชุยฉานยังเป็นปกติ ถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันเบาๆ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ไม่รีบร้อน เดิมทีก็เป็นการคุยธุรกิจกันอยู่แล้ว เขาเซี่ยสือเปิดราคาสูงเทียมฟ้า ข้าก็แค่อยากอาศัยวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเก้าของท่านมาช่วยต่อรองราคาให้กับฮ่องเต้ก็เท่านั้น ในเมื่อตัวการใหญ่เบื้องหลังยอมเปิดเผยตัวและแสดงท่าทีว่าจะถอยก้าวใหญ่แล้ว ต้าหลีก็ไม่มีความจำเป็นต้องแตกหักกับเซี่ยสือ เฮอะ วันหน้ายังต้องให้เซี่ยสือเป็นคนนั่งบัญชาการณ์ภูเขาทางทิศเหนือของสำนักศึกษากวานหู เราไม่สามารถทำร้ายท่านเทียนจวินผู้นี้ได้ หลังข้าออกไปจากภูเขาแล้วยังต้องเกลี้ยกล่อมไม่ให้สวี่รั่วใช้อารมณ์รับมือกับเรื่องราว ปวดหัวนะเนี่ย คนอย่างสวี่รั่วผู้นี้ไม่โลภ ใจย่อมแข็งแกร่ง หากเป็นเรื่องอะไรที่เขายืนกรานแล้วล่ะก็ เฮ้อ ปวดหัว”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้ายืนอยู่กลางระเบียง มองสีหน้าด้านข้างของชุยฉานแล้วถอนหายใจ “ฉานฉาน เจ้าไม่ควรกลายมาเป็นคนแบบนี้เลย”
ชุยฉานชี้ไปยังทิศไกล หัวเราะหยัน “ข้าคือชุยฉาน ชุยฉานหลานชายของท่านอยู่ที่ต้าสุย ไม่เพียงแต่หน้าตาเป็นเด็กหนุ่ม ยังมีนิสัยของเด็กน้อยอยู่ด้วย น่าจะถูกใจท่าน”
ชุยฉานอารมณ์เสีย จู่ๆ ก็ตวาดกร้าว “ออกมา!”
เสียงตวาดเดือดดาลนี้ทำเอาเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะดุ้งโหยง เด็กชายชุดเขียวยิ่งตกใจจนสองขาสั่นพั่บๆ อะไรกัน ด่าพ่อล่อแม่ในใจก็ไม่ได้งั้นหรือ? นี่ก็ได้ยินด้วยหรือไง? อริยะลัทธิขงจื๊อมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ยังดีที่เพียงไม่นานก็มีบุรุษเรือนกายเพรียวบางสูงโปร่งเดินออกมาจากเส้นทางเล็กๆ ที่เงียบสงัดนอกหอเรือนไม้ไผ่ เขาอายุประมาณสามสิบกว่าปี เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความห้าวหาญ สวมชุดสีดำ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความแข็งกระด้างดุจเกล็ดน้ำแข็ง แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่คบหาได้ง่ายๆ เขาก้าวเดินอย่างหนักแน่นมาหยุดอยู่นอกเรือนไม้ไผ่ ก้มหน้ากุมมือคารวะไปทางชั้นสอง “ข้ารับใช้ลำดับสุดท้ายของสกุลชุย ซุนซูเจียนคารวะท่านราชครูต้าหลี คารวะท่านบรรพบุรุษ!”
สีหน้าของชุยฉานไม่สบอารมณ์ “หลวงจีนอุ้มบาตรผู้นั้นเคยขวางเจ้าหนึ่งครั้ง เท่ากับช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้ายังกล้าจะขึ้นภูเขามาที่นี่อีกรึ?!”
ตอนนั้นที่ชุยฉานออกจากจุดพักม้าไปพบผู้เฒ่าเงียบๆ แท้จริงแล้วเป็นเพราะเขาสังเกตเห็นชายที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดผู้นี้ เวลานั้นชุยฉานก็เกิดใจคิดสังหารอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่ว่าหลวงจีนเดินออกมาขวางระหว่างชุยฉานกับข้ารับใช้ตระกูลชุยผู้นี้เสียก่อน ชุยฉานไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซอน จึงไม่ได้ลงมือฆ่าคน
ซุนซูเจียนสีหน้าหนักแน่น ยังคงค้างอยู่ในท่ากุมมือคารวะ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับราชครูต้าหลี “บ้านบรรพบุรุษสกุลชุยจะต้องมีคนที่รับผิดชอบคอยจับตามองท่านบุรพาจารย์โดยเฉพาะ ทุกๆ สิบปีจะเปลี่ยนคนใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแอบทำร้ายบุรพาจารย์อย่างลับๆ สิบปีนี้ผู้ที่รับผิดชอบก็คือข้าน้อย คราวนี้ท่านบุรพาจารย์ออกมาจากทางทิศใต้โดยพลการ ก็เป็นข้าน้อยที่ช่วยรายงานข่าวผิดๆ ให้กับสายลับ โกหกไปว่าท่านบุรพาจารย์ยังคงอยู่ในแถบทิศใต้”
ชุยฉานหรี่ตาพูดยิ้มๆ “ดังนั้นเจ้าก็เลยจะมาขอรางวัลจากข้า?”
แม้ว่าบุรุษจะส่ายหน้า แต่กลับปกปิดสายตาที่ร้อนแรงของเขาไม่ได้ เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “มิกล้า! ข้าซุนซูเจียนหวังเพียงว่าจะได้เรียนวิชาหมัดจากท่านบุรพาจารย์! ต่อให้พรสวรรค์มีจำกัด เรียนรู้ได้แค่ผิวเผิน แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต!”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเอ่ยยิ้มๆ “ในช่วงเวลาร้อยปีที่ข้าตกอับ มีบางครั้งที่สติแจ่มชัด จดจำคนอย่างเจ้าได้หลายคน พวกเขาต่างก็มีตบะสูงกว่าเจ้า แต่ทุกคนล้วนเป็นหมอนปักลายดอกไม้ พูดถึงพรสวรรค์และพลังการต่อสู้แล้วก็ล้วนไม่มีใครสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกที่เป็นพวกนอกรีตอย่างเจ้าได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป จะว่าไปแล้วการที่เจ้าเต็มใจเนรเทศตัวเองมาอยู่ข้างกายข้า ลงเดิมพันกับคนที่ไร้อำนาจมานับร้อยปีอย่างข้าก็ต้องเป็นแผนการที่เกิดจากใจเห็นแก่ตัวของเจ้า ถูกหรือไม่?”
ซุนซูเจียนมีลักษณะของคนถ่อยอยู่บ้างจริงๆ เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง “ข้ามีใจหวังว่าจะโชคดี อาศัยความโปรดปรานจากบุรพาจารย์เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียวจริงๆ!”
“อ้อ? จิตใจทะเยอทะยานไม่เบา ไม่แน่ว่าราชครูต้าหลีข้างกายข้าผู้นี้อาจชอบเจ้าก็เป็นได้”
ผู้เฒ่าชี้ไปยังชุยฉานที่อยู่ข้างกาย จากนั้นค่อยชี้มาที่ตัวเอง สุดท้ายชี้ไปยังผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ด้านล่างหอเรือนผู้นั้น “เจ้าคนเนรคุณ ในเมื่อรู้ว่าข้าคือบรรพบุรุษตระกูลชุย แต่ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้ นับว่าเจ้าใจกล้าไม่เบา เจ้าไม่กลัวว่าเวลาใดที่ข้ามีสติจะต่อยเจ้าให้เละเป็นโคลนในหมัดเดียวรึ?”
สายตาของซุนซูเจียนฉายแววหนักแน่น “ข้ารู้แค่ว่าหากไม่ลงเดิมพันดูสักตั้ง ข้าต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่!”
ชุยฉานหรี่ตาลง มองประเมินเด็กหนุ่มรุ่นหลังผู้นี้อย่างละเอียดเป็นครั้งแรก
น่าสนใจไม่น้อย
หางตาของผู้เฒ่าเห็นสีหน้าของชุยฉาน เขาคลี่ยิ้ม กระโดดเบาๆ ลงมาจากชั้นสอง พอพลิ้วกายลงมายืนอย่างมั่นคงแล้ว ด้านหลังของผู้เฒ่าก็คือชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ที่ประตูปิดสนิท ด้านในมีเด็กหนุ่มที่ยังนอนแช่อยู่ในถังยาด้วยสภาพอเนจอนาถ ผู้เฒ่าจ้องมองข้ารับใช้ปลายแถวของตระกูลที่กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งเกร็ง “คิดจะเรียนวิชาหมัดกับข้าผู้อาวุโส หากไม่มีความสามารถย่อมเรียนไม่ได้ กล้ารับหนึ่งหมัดของข้าผู้อาวุโสหรือไม่? หากรับได้ ยังไม่พูดถึงขอบเขตเก้า แต่ขอบเขตแปดนั่นต้องเป็นของในกระเป๋าของเจ้าซุนซูเจียนแน่นอน หากรับไม่ได้ ก็ไม่มีหมัดที่สองแล้ว”
แม้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าจะหล่นมาตรงหน้า ซุนซูเจียนก็ยังไม่ขาดสติ เขาถามกลับไปตรงๆ ว่า “ขอถามท่านบุรพาจารย์ ท่านจะออกหมัดด้วยขอบเขตที่เท่าไหร่?”
ชุยฉานที่อยู่บนชั้นสองยิ้มบางๆ คนผู้นี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมากของตนจริงๆ
ผู้เฒ่าที่อยู่ชั้นหนึ่งหัวเราะดังลั่นอย่างกำเริบเสิบสาน เบิกบานใจสุดขีด “เจ้าคือขอบเขตหก ข้าผู้อาวุโสไม่กล้ารังแกคนอื่น จึงจะมอบหมัดขอบเขตห้าให้เจ้าหนึ่งหมัด ตกลงไหม?”
เท้าข้างหนึ่งของบุรุษผู้นั้นก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว อีกข้างหนึ่งถอยไปด้านหลัง ตั้งท่าหมัดของตัวเอง ปณิธานแห่งหมัดไร้หลั่งไปทั่วร่างดุจน้ำพุ ดุจธารน้ำ กลมกลืนกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เห็นได้ชัดว่าบนวิถีแห่งวรยุทธ์ ซุนซูเจียนที่เล่าเรียนด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่มีความเพียรพยายามที่ยิ่งใหญ่ ยังมีความฉลาดเฉลียวอย่างไม่ธรรมดา ด้วยฐานะผู้ฝึกตนอิสระของเขา หากต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุด ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่สามารถเดินทางได้ทั่วยุทธภพของทวีปหนึ่งแล้ว ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยเลือดเนื้อและจิตใจอย่างที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง
ซุนซูเจียนกลั้นลมหายใจทำสมาธิ ทำให้เขาดูมีมาดของผู้ยิ่งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอยู่หลายส่วน “เชิญท่านบุรพาจารย์ออกหมัด!”
จู่ๆ ชุยฉานก็ถอนหายใจอย่างไร้สาเหตุ
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว ปล่อยหมัดหนึ่งหมัด
หมัดที่หยาบกระด้างไร้ลูกเล่นกระแทกลงบนหน้าผากของซุนซูเจียน
ซุนซูเจียนที่ไม่ทันได้สกัดขวางหมัดของผู้เฒ่าปลิวกระเด็นไปหลายสิบลี้ในชั่วพริบตา เขานอนจมอยู่ในกองเลือด แขนขาทั้งสี่ชักกระตุก เลือดสดทะลักออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดไม่หยุด ก่อนจะตาย ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มที่จิตใจทะเยอทะยานเทียมฟ้าผู้นี้เบิกตากว้างมองท้องฟ้า ดวงตาเต็มไปด้วยแววสงสัยไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมและเคียดแค้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดตาไม่กล้ามองภาพนี้
เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย นั่นไง นั่นน่ะไม่เรียกว่าต่อยคนตายด้วยหมัดเดียวหรอกหรือ?
ชุยฉานที่อยู่ชั้นสองเอ่ยถาม “ทำไมต้องทำเช่นนี้?”
ผู้เฒ่าหมุนตัวกระโดดกลับขึ้นไปบนชั้นสอง “คนแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะเรียนวิชาหมัดของข้า”
แม้ว่าคนจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตแปด หรือหากมานะพยายามก็อาจจะได้เลื่อนไปอีกขั้น คือหมากสำคัญตัวหนึ่งที่ไม่อาจดูแคลน แต่เพียงไม่นานชุยฉานก็หยุดอารมณ์เช่นนี้ลง คนก็ตายไปแล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ยังดีที่อยู่ในถิ่นของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยเก็บศพ
ชุยฉานถามด้วยความใคร่รู้ “แล้วฆ่าเขาไปเพื่ออะไร?”
ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนม้านั่ง “ไม่ใช่ให้เจ้าดู แต่ให้เจ้าคนที่อยู่ชั้นล่างนั่นดู”
หายนะและความโชคดีไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดมาแน่นอน ล้วนเป็นคนที่ไปเรียกหาพวกมันมาทั้งสิ้น
ชุยฉานก้มหน้าลงมอง
————————-