กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 202.1 ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน
การฝึกหมัดของสองวันที่ผ่านมานี้ ผู้เฒ่าเปลือยเท้ายิ่งลงแรงอย่างดุดันมากขึ้น แม้จะไม่ได้มีการกระทำที่โหดร้ายอย่างให้เฉินผิงอันถลกหนังดึงเส้นเอ็นของตัวเองอีก แต่ก็ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยไปบนเรือนกายหรือไม่ก็จิตวิญญาณของเฉินผิงอันครั้งแล้วครั้งเล่า ทับซ้อนกันหลายชั้น นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอยากตายจริงๆ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่นอกหอเรือนไม้ไผ่แทะเมล็ดแตงอย่างเหม่อลอย แทะไปแทะมาจนกัดปากตัวเองแตกก็ยังไม่รู้สึกตัว ส่วนเด็กชายชุดเขียวที่นั่งฝึกตนอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ริมหน้าผากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา เขาทั้งต้องอาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดมาพยายามหลอมละลายหินดีงูชั้นเยี่ยมที่อยู่ในห้อง ทั้งยังต้องรวบรวมสมาธิพยายามไม่ให้ถูกความเคลื่อนไหวที่น่าขนลุกขนพองในหอเรือนไม้ไผ่มารบกวน แม้แต่งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วนี่คือโชควาสนายิ่งใหญ่ที่มาจากการทุ่มเทแรงใจในการฝึกตนครั้งหนึ่ง ทั้งเป็นการหล่อเลี้ยงลมปราณและหล่อหลอมลมปราณ สภาพการณ์ลมปราณในร่างของเขาเป็นเหมือนคลื่นน้ำที่จู่โจมไปยังเสาหินกลางแม่น้ำ ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครอง
บางครั้งที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกระวนกระวายก็จะยื่นมือไปลูบคลำเรือนไม้ไผ่ ถึงแม้ว่าตัวอักษรที่หลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเขียนไว้ตอนนั้นจะไม่ปรากฎบนผนังเรือนไม้ไผ่อย่างชัดเจน แต่นางล้วนจดจำขึ้นใจได้ทั้งหมด เนื้อความของตัวอักษรหรือแม้แต่การวาดตวัดพู่กันแต่ละขีด นางล้วนจำได้ชัดเจน เวลาที่นางทนเสียงร้องโหยหวนของนายท่านหรือเสียงที่ร่างของเขากระแทกกับกำแพงไม่ไหวก็จะต้องบังคับให้ตัวเองท่องวลีหรือบทกลอนที่อยู่บนผนังเงียบๆ
นี่ก็เป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง
ส่วนหินดีงูนั้น แน่นอนว่ามีประโยชน์มากมาย เป็นของล้ำค่าที่เจียวและมังกรทุกตัวใต้หล้าปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎ ‘หน่วยสิบร้อยพันหมื่น’ ด้วย
เว่ยป้อเคยเปิดเผยความลับสวรรค์เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยอธิบายสาเหตุความเป็นมาให้เด็กน้อยสองคนฟัง หินดีงูชั้นเยี่ยมก้อนแรกที่ช่วยให้ทลายขอบเขตได้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี เหล่าเจียวและมังกรที่เหลือรอดบนโลกถึงจะสามารถหลอมละลายมันได้ ร่างกายของเด็กหญิงงูหลามไฟไม่แข็งแรง เวลาที่ใช้จะนานกว่าเล็กน้อย อาจจะต้องใช้เวลาประมาณสิบสามสิบสี่เดือน แต่หากเป็นเด็กชายชุดเขียวใช้เวลาแค่เกินครึ่งปีก็ได้แล้ว ทว่าหากเป็นก้อนที่สองกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาเป็นสิบปีในการกลืนกินมัน ก้อนที่สามต้องใช้เวลาในการขัดเกลาถึงหนึ่งร้อยปี ก้อนที่สี่ต้องใช้เวลายาวนานถึงหนึ่งพันปี ส่วนก้อนที่ห้าต้องหมื่นปี! อันที่จริงจะมีหินดีงูชั้นยอดก้อนที่ห้าหรือไม่ ความหมายก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะไม่ถือเป็นการปักลายดอกไม้ลงบนผ้าแพรด้วยซ้ำ อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ของเก่าหายากที่อยู่ในคลังสมบัติของตัวเองชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กชายชุดเขียวกำหินดีงูชั้นเยี่ยมสามก้อนไว้ในมือจึงเริ่มหันไปอยากได้หินดีงูธรรมดาแทนแล้ว เพราะแม้จะรับประกันไม่ได้ว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่ก็สามารถสั่งสมตบะไปได้ทีละสิบปี เพิ่มพูนรากฐานให้กับขอบเขตต่อไปอย่างแน่นหนา แค่กินเข้าไป เคี้ยวกร้วมๆ ตบะก็เพิ่มสูง แบบนี้ไม่ประเสริฐยิ่งหรอกหรือ? ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวคิดว่านายท่านใหญ่อย่างข้าแค่นอนอยู่เฉยๆ ก็สามารถเสวยสุข แค่อาบแดด ชื่นชมธรรมชาติที่งดงามทุกวันขอบเขตก็ทะยานขึ้นสูงได้ ช่างเป็นชีวิตที่แสนสุขยิ่งนัก
จนกระทั่งเฉินผิงอันเริ่มฝึกหมัดในเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวก็เปลี่ยนความคิด ก้มหน้าก้มตาฝึกตน สำหรับงูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่ดื้อดึงตรงไปตรงมาตัวหนึ่งแล้ว ความคิดของเขาไม่ซับซ้อน เขาทั้งไม่อยากให้ใครก็ได้สามารถต่อยตัวเองตายด้วยหมัดเดียว แล้วก็ยิ่งไม่อยากให้นายท่านเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันมีตบะแซงหน้าตัวเอง แบบนั้นน่าอายจะตายไปไม่ใช่หรือ?
ฟ้าดินกว้างใหญ่ เอกบุรุษที่อยู่ในยุทธภพอย่างพวกเรา หน้าตานั้นใหญ่ที่สุด!
ในเรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าเปลือยเท้ายกสองแขนขึ้นกอดอก ก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น เจ็บปวดจนกล้ามเนื้อทุกก้อนส่งเสียงเหมือนถั่วเหลืองระเบิดแตก ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายี่สิบแปดหมัดต่อยลงไปบนหน้าประตูช่องโพรงลมปราณยี่สิบแปดแห่งของเฉินผิงอัน ต่อยจนเฉินผิงอันหายใจรวยริน
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “เพิ่งจะยี่สิบแปดหมัดก็ทำท่าเหมือนคนตายซะแล้ว ทุเรศลูกกะตาจริงๆ! หากรับสามสิบหมัดไม่ไหว ขอบเขตที่สามนี้ก็ไม่ใช่ขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุดใต้หล้าแล้ว!”
เฉินผิงอันที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำ เขาหายใจโดยอาศัยวิธีที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ รวมไปถึงหาลมปราณที่แท้จริงซึ่งเหมือนมังกรเพลิงในร่างตัวเองให้เจอ บวกกับใช้การโคจรลมปราณสิบแปดหยุดที่อาเหลียงบอกว่า ‘มาจากการคลำทางของเซียนกระบี่นับไม่ถ้วน’ สามอย่างรวมกันถึงพอจะกัดฟันต้านรับยี่สิบแปดหมัดของผู้เฒ่าเอาไว้ได้
ผู้เฒ่าเตะเข้าไปที่แผ่นหลังของเฉินผิงอัน ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันปลิวไปกระแทกลงบนผนังแล้วร่วงลงบนพื้นอย่างแรง มหาสมุทรลมปราณที่กว่าจะเข้าสู่สภาวะมั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายกลับมามีลมมรสุมโหมกระหน่ำอีกครั้ง ทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้สูญเปล่า เฉินผิงอันที่นอนอยู่บนพื้นคล้ายคนเป็นโรคลมชัก
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งคิดจะยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงกว่ากลุ่มเขาที่รายล้อม ต้องอาศัยอะไร? ก็ต้องอาศัยลมปราณหนึ่งเฮือกมาเล่นงานผู้ฝึกลมปราณที่สามารถดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาใช้ได้อย่างกำเริบเสิบสานจนกว่าพวกเขาจะตาย! หากแค่เจอกับความยากลำบากเล็กน้อยก็สูญเสียความสามารถในการออกหมัดไปแล้ว ยังหวังว่าจะได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณรักษาบาดแผลเหมือนเต่าหดหัวอยู่อีกหรือ? คนที่เจ้าออกหมัดเล่นงานจะให้โอกาสนี้กับเจ้าไหม? ดังนั้นลมปราณเฮือกนี้ที่เจ้าเฉินผิงอันสะสมไว้ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ!”
ลำบากเล็กน้อย
เฉินผิงอันที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดพูดตอบโต้ไม่ออกแม้แต่คำเดียว
แม้ว่าปากของผู้เฒ่าจะพูดจาร้ายกาจ มีความสามารถในการทารุณ ทำร้ายจิตใจคนทุกรูปแบบ แต่ถ้าหากเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่เคยเปิดศึกตัดสินเป็นตายกับผู้เฒ่า หรือเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่บาดเจ็บหนักหรือไม่ก็ตายไปด้วยน้ำมือของผู้เฒ่าจะต้องรู้สึกเหลือเชื่อมากแน่นอน เพราะนอกจากผู้เฒ่าจะมีวิชาหมัดเลิศล้ำค้ำฟ้าแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือมีชื่อเสียงเรื่องความเย่อหยิ่งหัวสูง
ยามที่อยู่ในขอบเขตสูงสุด ด้วยสถานะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเพียงคนเดียวในบุรพแจกันสมบัติทวีป อาศัยแค่ร่างกายและสองหมัดก็สามารถตะลุยไปได้ทั้งทวีปแล้ว! ก่อนจะออกหมัด ผู้เฒ่าไม่บอกชื่อแซ่ แต่พอออกหมัดแล้วก็ยังไม่บอกชื่อแซ่อีกเช่นเดียวกัน มาอย่างรีบร้อน จากไปก็อย่างรีบร้อน ทะเลาะต่อยตีกันเสร็จก็เดินจากไป หากไม่ทันระวังฆ่าใครตาย ลูกใครหลานใครมีความกล้ามีความสามารถก็มาแก้แค้นเขาได้เลย เจ้าจะใช้การล้อมโจมตีเป็นร้อยปี จะโยนสมบัติอาคมใช้กลไกทั้งหมดจนสิ้น เขาก็ใช้แค่สองหมัดรับไว้เท่านั้น!
ตอนนั้นสามทวีปรู้แค่ว่า น้อยครั้งที่เทพไร้แซ่ไร้นามนิสัยประหลาดผู้นี้จะให้ความสำคัญต่อคู่ต่อสู้ที่ตัวเองเอาชนะได้ ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีกัน ผู้เฒ่าก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เคยมีความคิดว่าจะรับใครเป็นลูกศิษย์
ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้มีความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่ ผู้เฒ่าแซ่ชุยสามารถคงสติแจ่มชัดได้ถึงหนึ่งชั่วยาม และเมื่อตบะค่อยๆ ย้อนกลับไปสู่จุดสูงสุดทีละก้าวอีกครั้ง เขาจึงสามารถทำให้สมองโปร่งโล่งมีสติได้นานเกินครึ่งวัน หลังจากที่ท่านปู่ของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลีผู้นี้หล่นจากยอดเขาสู่หุบเหวก็หมดสิ้นซึ่งความรู้สึกดีๆ ต่อตระกูลตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงนานแล้ว ปีนั้นเพราะเรื่องของหลานชาย เขาเคยถูกพวกลูกหลานสารเลวในตระกูลที่ดีแต่จะประจบและอิงแอบผู้มีอิทธิพลทำร้ายจิตใจอย่างสาหัส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์กับพันธมิตรอื่นๆ เลย ตอนนี้มาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อยู่ในเรือนไม้ไผ่ทุกวัน บางครั้งที่ยืนทอดสายตามองไปไกลจากชั้นสอง ผู้เฒ่าก็เริ่มชอบความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้แล้ว ซึ่งเหตุผลไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะที่นี่เป็นพื้นที่มงคลของตนเท่านั้น
เว่ยป้อที่เดินอยู่นอกเรือนไม้ไผ่มาทันได้ยินเสียงคำรามอย่างเดือดดาลของผู้เฒ่าพอดี “เฉินผิงอัน จะมัวนอนอยู่ทำไม! ลุกขึ้นมา ต่อให้ต้องคลานก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตนี้ของข้าผู้อาวุโสที่เดินทางไกลไปทั่วสารทิศ เคยออกหมัดฆ่าคนทำร้ายคนมาแล้วนับไม่ถ้วน คนเดียวที่ข้าเคารพนับถือคือใคร?!”
“คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนหนึ่งที่แม้แต่ชื่อแซ่ของเขาตอนนี้ข้าก็จำไม่ได้แล้ว ก่อนตายแม้จะถูกข้าผู้อาวุโสเหยียบใบหน้า ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนนี้ก็ยังพยายามยกหมัดสุดท้ายในชีวิตต่อยใส่ข้าผู้อาวุโส ต่อให้หมัดนั้นจะอ่อนแรงจนเทียบกับพละกำลังของเด็กและสตรีไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่หมัดนั้นกลับเป็นหมัดที่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบทุกคนใต้หล้า หรือแม้แต่เทพฝ่ายบู๊ขอบเขตสิบเอ็ดในตำนานต้องนับถือ!”
“หมัดนั้นต่างหากถึงจะมีจิตวิญญาณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเราซุกซ่อนอยู่!”
เสียงกระแทกปังๆๆ ดังอย่างรุนแรงอีกหลายระลอก เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันที่ลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบากถูกต่อยติดอัดกำแพงรัวอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“เฉินผิงอัน มาอีก! ความเจ็บปวดแค่นี้นับเป็นอะไรได้ หากเจ้าพกไอ้จ้อนมาด้วยก็ลุกขึ้นมากินอีกหมัด…”
ผู้เฒ่าเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็แผดเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ผรุสวาทเสียงดังโฉงเฉง และอันที่จริงคำด่าที่เขาใช้ก็เอามาจากเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงนั่นเอง
ที่แท้เส้นเอ็นที่ขึงอยู่ในใจของเฉินผิงอันเกือบจะขาดผึงออกแล้ว
อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี
เฉินผิงอันไม่ยอมแพ้ เขาไม่เพียงแค่อาศัยลมปราณเฮือกนั้นฝืนยันตัวเองขึ้นมาได้ และยังถึงขั้นใช้ ‘ลมปราณหัวใจ’ ที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอยโดยไม่รู้ตัวด้วย หลังจากเขาถูกผู้เฒ่าต่อยหนึ่งหมัดจนกระเด็นออกไป ลมปราณหัวใจก็ดิ่งฮวบลงไปเบื้องล่าง ตอนนั้นเรียกได้ว่ามีแค่เส้นบางๆ กั้นขวางอยู่ระหว่างความเป็นความตายอย่างแท้จริง และนี่ก็เป็นอุบัติเหตุครั้งแรกที่เกิดขึ้นนับจากที่ผู้เฒ่าสอนวิชาหมัดมา
ผู้เฒ่าที่ปากยังสบถด่าไม่หยุดทรุดตัวนั่งยองลงนานแล้ว เขารีบเอาฝ่ามือข้างหนึ่งไปอุดหัวใจของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก้มหน้าลงมองก็เห็นใบหน้าดำเกรียมของเด็กหนุ่มที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด รวมไปถึงแขนข้างหนึ่งที่วางไว้บนหน้าอก มือข้างนั้นของเขากำหมัดแน่น เป็นท่าทางที่เกิดจากสัญชาตญาณล้วนๆ
ผู้เฒ่ายื่นมืออีกข้างหนึ่งไปกดหมัดของเด็กหนุ่มที่กล้ามเนื้อปริแตกเผยให้เห็นข้อกระดูกสีขาวเบาๆ ใบหน้าฉายความปราณีมีเมตตาอย่างที่หาได้ยาก เขาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไอ้หนู ไม่เลว ท่าหมัดอยู่ในจุดต่ำจุดที่จับต้องได้จริง ปณิธานหมัดอยู่ในจุดสูงจุดที่ล่องลอย วิชาหมัดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เจ้าเดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว”
เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง ไม่รู้ว่ากำลังฝันหรือกำลังเลอะเลือน เฉินผิงอันถึงทำปากขมุบขมิบด่าด้วยคำหยาบคาย
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ไม่เพียงไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ “ไอ้เด็กตัวเหม็น”
……
วันต่อมา เฉินผิงอันทนรับหมัดถึงยี่สิบเก้าหมัดก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
เรื่องแรกที่เฉินผิงอันทำหลังจากคืนสติก็คือ เดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างยากลำบาก ถามคำถามหนึ่งว่า “คราวหน้าสามสิบหมัด ข้าจะถูกท่านต่อยตายหรือไม่?”
ผู้เฒ่าที่อยู่ในห้องลืมตาขึ้น “ไม่”
จากนั้นเฉินผิงอันก็มายืนอยู่ใต้ชายคาชั้นสอง แล้วเริ่มผรุสวาทด่าทอ มารดาของกู้ช่านเคยได้รับฉายาว่าเจ้าแม่คำด่าอันดับหนึ่งของเมืองเล็ก นางด่าจนทุกครั้งที่แม่เฒ่าหม่าของตรอกซิ่งฮวากลับบ้านจะต้องสรุปรวมประสบการณ์มาเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังรบทุกครั้งแพ้ทุกครั้ง ถ้าเช่นนั้นเฉินผิงอันที่เป็นคนชมศึกการด่าอยู่ข้างๆ เป็นประจำย่อมต้องถูกกล่อมเกลาให้ชินหูชินตา เวลาที่เขาเปิดปากด่าใครขึ้นมาจริงๆ มีฝีปากจึงไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
และหากพรุ่งนี้เริ่มฝึกหมัดเมื่อไหร่ เขาก็ไม่มีโอกาสด่าอีกแน่ๆ
วันนี้ด่าไปก่อนค่อยว่ากัน
จะอย่างไรซะความลำบากที่ควรได้รับ โทษทัณฑ์ที่ไม่ควรพบเจอ เขาก็ถูกประเคนให้กินเสียจนอิ่ม แถมตาแก่นั่นยังไม่คิดจะต่อยตนให้ตาย แล้วเขาเฉินผิงอันยังต้องกลัวอะไรอีก
หากไม่ด่าเลย เฉินผิงอันกลัวว่าตัวเองจะอัดอั้นจนตายไปจริงๆ ยังไม่ทันฝึกหมัดได้ประสบความสำเร็จ ไฟโทสะกลับสุมตัวเองตายเสียก่อน จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
และผู้เฒ่าก็ไม่ถือสาเขาในเรื่องนี้
เพราะในความเป็นจริงแล้วนี่ถือเป็นเรื่องดี
เพราะนี่ก็คือความหมายที่สำคัญของการฝึกหมัดในระดับหนึ่ง
ในร่างของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงสะสมสิ่งเจือปนทางอารมณ์ไว้มากเกินไป ตอนนี้ก็เหมือนกับว่าตัวเฉินผิงอันเองค่อยๆ กวาดขยะที่อยู่มุมกำแพงบ้านออกไปทีละนิด ไม่มากไม่น้อย ไม่เป็นอุปสรรคต่อจิตใจ เพราะเมื่อ ‘ตาไม่เห็นจิตใจก็ไม่วุ่นวาย’ แต่หากในอนาคตเดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์สูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอย่างนั้นข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ก็จะต้องขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง เมื่อถูกผู้เฒ่าใช้วิชาหมัดอันเยี่ยมยอดมาเคาะตีหล่อหลอมในขณะที่อยู่ขอบเขตสองถึงสาม ก็จะสามารถกำจัดได้โดยง่าย แต่หากไปถึงธรณีประตูใหญ่ของวิถีวรยุทธ์ระหว่างขอบเขตที่หกและเจ็ด หรือถึงปราการที่กางกั้นระหว่างขอบเขตที่เก้าและสิบเมื่อไหร่ หากคิดจะมาเก็บกวาดทำความสะอาดมันอีกครั้งก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์แล้ว
แต่ผู้เฒ่าไม่ใช่รูปปั้นพระโพธิสัตว์ ไหนเลยจะทนรับคำด่าที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นได้ จึงคำรามอย่างหงุดหงิด “เด็กเปรต หากยังพูดมากอีกคำเดียว ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายเสียตอนนี้เลย”
เฉินผิงอันหัวเราะเฮอๆ แล้วเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ
ผู้เฒ่าที่อยู่ในห้องด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เหมือนฉานฉานตอนเป็นเด็กจริงๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของผู้เฒ่าก็เปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอยเล็กน้อย
——————————-