กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 204.1 คนรู้จักมาส่งกระบี่ให้
นักพรตหนุ่มที่จากไปแล้วย้อนกลับมา บุรุษที่ทำให้สาวแก่แม่หม้ายมากมายในเมืองเล็กคิดถึงพะวงหาเริ่มกลับมาตั้งแผงที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าตอนนี้เมืองเล็กคึกคักผิดไปจากเดิม ข้างๆ ร้านเขาจึงมีคนอาชีพเดียวกันมาแย่งลูกค้า อีกฝ่ายสวมชุดเต๋าใหม่เอี่ยมอ่อง อายุประมาณเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้ากลับอิ่มเอิบแดงปลั่ง เปี่ยมไปด้วยมาดของเซียน
แค่ผู้เฒ่านั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่ก็มีกลิ่นอายของเทพเซียนโชยมาปะทะใบหน้า บนโต๊ะวางกระบอกเซียมซีขนาดใหญ่ที่วาววับเป็นมัน ด้านในบรรจุไม้เสี่ยงเซียมซีที่ตัดเท่ากันเป็นระเบียบงดงาม ข้างโต๊ะปักธงผ้าต่วนหรูหราดูมีระดับ บนธงเขียนกลอนคู่ว่า ‘รู้หลักหยินหยางกระจ่างศาสตร์ผังแปดทิศ เข้าใจอักษรสวรรค์แจ่งชัดหลักแห่งแผ่นดิน เพียงเซียมซีหนึ่งอันก็ช่วยสะเดาะเคราะห์ขจัดภัย ทั้งยังได้สั่งสมบุญคุณความดี แค่เสียเงินไม่กี่อีแปะ’
แผงดูดวงแผงนี้กิจการรุ่งโรจน์เฟื่องฟูมาก ชาวบ้านในเมืองเล็กพากันมาทำนายดวงไม่ขาดสาย ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่นมาก บอกเล่ากันไปปากต่อปาก บวกกับที่หมอดูคนใหม่มาในช่วงจังหวะที่ดี ตอนนี้คนในเขตการปกครองหลงเฉวียนเคยได้เห็นและได้ยินมากับตาตัวเอง จึงแน่ใจว่าบนโลกมีเทพเซียนอยู่จริงๆ จึงยิ่งศรัทธามากขึ้น แม้จะบอกว่าเสี่ยงเซียมซีหนึ่งชิ้นจ่ายเงินแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ต่อให้เป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหนก็ยังเต็มใจควักเหรียญทองแดงกำใหญ่ หวังได้แตะกลิ่นอายมงคลของเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้
กิจการของนักพรตหนุ่มกลับซบเซายิ่ง เงียบเหงาไร้ผู้คนอย่างแท้จริง ตอนที่เขาจัดตั้งแผงก็มีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินฉิวเข้ามาหาแต่ไกล หลังจากบินวนหนึ่งรอบก็จากไป นักพรตหนุ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย มองไปยังพวกเด็กสาวด้วยสายตาน่าสงสาร ล้วนเป็นใบหน้าที่เคยพูดคุยกันอย่างถูกคอ ทว่ากลุ่มเด็กสาวที่มาเพราะได้ยินข่าวเรื่องของเขา ส่วนใหญ่กลับจับกลุ่มกันสองสามคน เอียงหูกระซิบกระซาบกันเบาๆ ยิ่งเห็นสภาพยากแค้นของนักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา พวกนางกลับยิ่งอารมณ์ดี
นี่ทำให้นักพรตหนุ่มเสียใจเล็กน้อย สุดท้ายด้วยความเบื่อหน่าย เห็นว่าร้านด้านข้างไม่ได้มีคนมาดูดวงจึงแบกหน้าหนาๆ ของตนย้ายเก้าอี้ไปนั่งใกล้ แม้ว่าใบหน้าของนักพรตเฒ่าจะเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงตรง สายตามองไปเบื้องหน้าไม่หลุกหลิก แต่อันที่จริงในใจกลับเสียววาบ หมัดของคนหนุ่มแข็งแกร่งที่สุด หากจะลงไม้ลงมือเพราะเรื่องแย่งลูกค้ากันขึ้นมาจริงๆ ตนที่แก่ชราเรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมีคงทนรับการประเคนหมัดจากเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไม่ไหว หมอดูเฒ่าเรียนวิชาการดูดวงมาอย่างผิวเผิน แต่เชี่ยวชาญการใช้ฝีปากทะเลาะกับคนยิ่ง ต่อหากต้องต่อยตีกับใครขึ้นมาจริงๆ ก็รับรองได้ว่าเขาจะเป็นคนคุกเข่าขอร้องอีกฝ่ายเอง
หลังจากนั่งลงแล้ว นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวก็ยิ้มตาหยี ไม่พูดไม่จา
หางตาของนักพรตเฒ่าเหลือบไปเห็นกวานดอกบัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แจกันสมบัติทวีปของพวกเขากับทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แห่งนั้น นอกจากอารามเต๋าขนาดใหญ่ที่มีไม่กี่แห่งแล้ว นักพรตเต๋าแต่ละสายทั้งบนและล่างภูเขาก็ล้วนสวมกวานหางปลาเหมือนกันหมด ข้อนี้จะทำตามใจชอบไม่ได้ เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ของระบบลัทธิเต๋า แล้วใครเล่าจะกล้าสวมใส่มั่วซั่ว? ไม่ต้องให้ทางอารามเต๋าออกหน้าก็ถูกทางการจับเข้าคุกไปกินข้าวแดงก่อนแล้ว
นักพรตเฒ่าจึงมั่นใจถึงแปดเก้าส่วนว่าชายหนุ่มผู้นี้คือนกน้อยหัดบินที่ไม่เข้าใจแม้แต่กฎเกณฑ์พื้นฐาน แค่ได้ยินได้ฟังมาอย่างผิวเผินก็เอากวานเต๋าหัวมังกุฎท้ายมังกรนี้มาสวม ไม่แน่ว่าอาจจะยังลำพองใจ นึกว่าตัวเองเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ แตกต่างไปจากคนอื่น นักพรตเฒ่าคำนวณระยะห่างระหว่างแผงดูดวงกับที่ว่าการอำเภอแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง กลิ่นอายทั่วร่างจึงเปลี่ยนไปในฉับพลัน ดวงตาสาดประกายคมกล้า เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนมาใช้มาดของยอดฝีมือนอกโลกจ้องเป๋งไปยังนักพรตหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางเช่นนี้ของเขาข่มขู่คนให้กลัวได้ดียิ่ง
และนักพรตหนุ่มก็เผยสีหน้ากระวนกระวายไม่เป็นสุขออกมาจริงๆ “ท่านเซียนผู้เฒ่า หรือว่าแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าการเดินทางไกลครั้งนี้ของข้านักพรตน้อยไม่ราบรื่น?”
แม่งเอ๊ย ดันมาเจอกับพวกไร้ไหวพริบ แต่แบบนี้ก็ดี เพราะหากเป็นพวกมุทะลุจะไม่ส่งผลดีกับตน อาศัยคารมคมคายของตน รับรองว่าแค่สามประโยคก็จัดการกับเด็กรุ่นหลังที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการเดียวกันนี้ได้อยู่หมัดแล้ว
นักพรตเฒ่าแอบอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง ในใจคิดว่ากิจการของเจ้าที่มาตั้งอยู่ข้างร้านข้าจะราบรื่นได้รึไง?
ผู้เฒ่าแสร้งพูดอย่างลึกลับ “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง ดึงเซียมซีมาหนึ่งชิ้นเถอะ ไม่เก็บเงิน ข้าจะดูให้เจ้าเปล่าๆ”
นักพรตหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านเซียนผู้เฒ่า ก็แค่มาคุยด้วยเท่านั้น พบเจอกันโดยบังเอิญก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันนี่นา…”
ปากของนักพรตหนุ่มพูดไปตามมารยาท แต่กลับค้อมเอวโน้มตัวไปด้านหน้ายื่นมือเตรียมจะไปหยิบเซียมซีอยู่นานแล้ว
นักพรตเฒ่าเลิกคิ้ว กดมือลงบนกระบอกเซียมซี นักพรตหนุ่มดึงมือกลับอย่างขลาดๆ แล้วโบกมือเบาๆ พลางพูดประจบ “ฮ่าๆ นักพรตน้อยเห็นว่ากระบอกเซียมซีของท่านเซียนผู้เฒ่ามีฝุ่นเกาะอยู่เล็กน้อย เลยจะช่วยปัดให้”
นักพรตเฒ่าหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ท่าทางนั้นชัดเจนว่าเตรียมจะไล่แขกแล้ว
เพราะห่างไปไม่ไกลมีสตรีแต่งงานแล้วพาเด็กน้อยคนหนึ่งเดินตรงมาที่แผง การค้ามาเยือนถึงที่ นักพรตเฒ่าหรือจะยังมีเวลามาเสียเปล่าไปกับคนร่วมอาชีพกะโหลกกะลาคนหนึ่ง
นักพรตหนุ่มได้แต่ลุกขึ้นกลับไปที่แผงของตัวเองแต่โดยดี เขายกมือสองข้างซ้อนกันไว้ที่ท้ายทอย เอนตัวไปด้านหลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม
ห่างออกไปไกลมีชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งพาเด็กหนุ่มคิ้วยาวเดินมาช้าๆ ก่อนหน้านี้เพียงแค่เด็กหนุ่มได้ยินท่านบรรพบุรุษของตัวเองพูดถึง ‘นายท่านผู้เฒ่าของสายเขา’ ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มคิ้วยาวตระกูลเซี่ยที่ปณิธานกว้างไกลกว่าคนปกติทั่วไปก็ยังใจเต้นกระหน่ำไม่หยุด คิดเพียงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลนที่สามารถขี่เมฆบินทะยาน ไม่แน่ว่าด้านหลังอาจจะมีสัตว์วิเศษอะไรติดตามมาด้วย หากไม่ใช่กระเรียนเซียนก็ต้องเป็นเจียวหลง สรุปคือต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่กลิ่นอายแห่งเซียนพุ่งทะยานไปยันชั้นฟ้าแน่นอน
ทว่าพอเด็กหนุ่มคิ้วยาวได้เห็นใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์นั้น เขาก็อึ้งงันไปทันที
นักพรตหนุ่มไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับชาวบ้านในเมืองเล็ก เพราะเขาช่วยคำนวณดวงให้กับคนตัดฟืน ช่างปั้นเครื่องปั้น ช่วยดูดวงให้กับเด็กสาวหรือสตรีที่ออกเรือนแล้ว ช่วยเขียนจดหมายให้คนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ทำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลอะไรที่มีให้กินให้ดื่ม นักพรตหนุ่มก็ไม่เคยพลาด ทุกครั้งหลังจากช่วยท่องประโยคมงคลแสดงความยินดีสองสามคำแล้วก็จะเริ่มกินข้าวชามโต กินเนื้อชามใหญ่ ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ ความกินจุของเขาไม่เป็นรองชายฉกรรจ์ที่ทำงานแบกหามเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดทำให้เจ้าภาพเสียดายเงินค่าอาหารได้
มารดาของเด็กหนุ่มคิ้วยาว หรือก็คือสตรีผู้เป็นประมุขตระกูลเซี่ยที่มีความรู้มีมารยาทผู้นั้น นางเคยพาเด็กหนุ่มมาทำนายดวง จับได้เซียมซีดี อีกฝ่ายก็กล่าวด้วยวาจาดีๆ ที่ไม่เป็นจริงแม้แต่เรื่องเดียว ทำเอามารดาของเขาปลาบปลื้มจนต้องเบี่ยงหน้าไปเช็ดน้ำตา ผลกลับกลายเป็นว่านักพรตหนุ่มผู้นี้ได้คืบจะเอาศอก บอกว่าจะดูลายมือให้มารดาของเขา สีหน้านั้นกลิ้งกลอกปลิ้นปล้อน เด็กหนุ่มคิ้วยาวโมโหเดือดจึงลากมารดากลับบ้าน ในใจคิดว่าคนอะไรช่างหน้าด้านไร้ยางอายนัก ดึงมือมารดาจากไปแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มยังไม่ลืมหันกลับมาถลึงตาใส่นักพรตหนุ่มอย่างดุดันด้วย
เซี่ยสือทำท่าจะคารวะอย่างนอบน้อม นักพรตหนุ่มกลับส่ายหน้าน้อยๆ ยื่นมือมาทำท่ากดลงสองทีบอกให้เซี่ยสือนั่งลง เซี่ยสือจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวแต่โดยดี เด็กหนุ่มคิ้วยาวกลืนน้ำลาย ยืนอยู่ข้างกายเซี่ยสือ ก้มหน้าลง ในสมองเหลวปวกเปียกคิดอะไรไม่ออก
นักพรตเฒ่าปรายตามามองแล้วเห็นว่ามีคนมาที่ร้านข้างๆ เขาก็เกือบจะกลอกตามองบน นี่ยังมีคนตาบอดถึงขนาดไปขอดูดวงกับเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นั้นด้วยหรือ? แบบนี้ไม่เท่ากับย่ำยีเงินในกระเป๋าของตัวเองหรือไร?
เซี่ยสือไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร เจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีปที่ตำแหน่งเทียนจวินมาจ่อรออยู่ตรงหน้า เวลานี้กลับกระวนกระวายนั่งไม่เป็นสุข
นักพรตหนุ่มไม่สนใจเซี่ยสือ เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่ก้มหน้าแล้วเอ่ยเย้า “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ เซียมซีชิ้นนั้นของเจ้าเป็นของจริงแท้แน่นอน ข้าไม่เคยหลอกลวงเด็กและคนชรา”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เขาอยากจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้อีกฝ่าย แต่กลับคุกเข่าลงไปไม่ได้
นักพรตหนุ่มที่บอกกับเฉินผิงอันว่าตัวเองแซ่ลู่ชื่อเฉินพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องตื่นเต้นไป วันนั้นเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไม่มีเหตุผลให้ต้องร้อนตัว ทำไม เพียงแค่เพราะว่าศักดิ์ของข้าสูงกว่าบรรพบุรุษของเจ้าเล็กน้อย เจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดแล้วรึ? ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ต้องมีเรื่องให้กลุ้มไปตลอดนั่นแหละ เพราะยิ่งเดินขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งเห็นใครก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิด ทั้งลำบากตัวเอง แถมยังสิ้นเปลืองเซียมซีดีของข้าผู้เป็นนักพรตไปหนึ่งชิ้นอีกด้วย”
เวลาอยู่ต่อหน้าตนเด็กหนุ่มเป็นเด็กที่คล่องแคล่วรู้ประสามาโดยตลอด ทำไมพอมาถึงช่วงเวลาสำคัญกลับแสดงความขลาดกลัวออกมา นี่ทำให้เซี่ยสืออารมณ์เสีย กำลังจะตวาดสั่งสอนกลับถูกนักพรตหนุ่มถลึงตาใส่ เซี่ยสือตกใจรีบหุบปากฉับ เงียบกริบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
เซี่ยสือหัวเราะเจื่อนๆ อยู่ในใจ ที่แท้เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มคิ้วยาวแล้ว ตนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
ลู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดจะเก็บไว้ขัดเกลาข้างกายจริงๆ รึ?”
เซี่ยสือนั่งตัวตรงอย่างสำรวม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใช้วิชาอภินิหารปรับจิตใจของตน ไม่ให้มีท่าทางหวาดหวั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก แล้วจึงตอบว่า “อยู่ภายใต้ร่มเงาบรรพบุรุษช่วยปกป้อง เป็นทั้งโชควาสนา แต่ก็เป็นทั้งเรื่องร้ายเช่นกัน เพราะต้นไม้สูงต้นที่สองยากจะเติบโต”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”
จากนั้นลู่เฉินก็ลูบคลำปลายคาง จุ๊ปากพูดยิ้มๆ “กลับไปข้าผู้เป็นนักพรตสามารถเอาประโยคนี้ไปพูดกับท่านอาจารย์ได้ ท่านผู้เฒ่าจะได้ไม่ต้องเอาแต่บ่นว่าคนเป็นลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว เพราะอย่างน้อยคนเป็นอาจารย์ก็มีความผิดครึ่งหนึ่งเหมือนกัน”
จิตใจที่ยากนักกว่าจะกลับคืนมามั่นคงได้ของเซี่ยสือพลันยุ่งเหยิงอลหม่าน ได้แต่ทำหน้าม่อยพูดอะไรไม่ออก
ยังคิดจะเป็นเทียนจวิน เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งเจินเหรินก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่กระมัง?
อาจารย์ผู้เฒ่าของตนย่อมไม่มีทางโมโหโกรธาเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ แต่ใครเล่าที่ไม่รู้จักนิสัยยากจะคาดเดาของศิษย์พี่รองของนายท่านผู้เฒ่า…
หากท่านผู้นั้นมีโทสะขึ้นมา ใครจะต้านรับได้ไหว?
ลู่เฉินกวักมือเรียกเด็กหนุ่มคิ้วยาว “มาๆๆ มาช่วยดูแผงให้ข้าหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตจะไปเดินเล่น ไปหาคนรู้จักสักหน่อย”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวหรือจะกล้าเป็นนกพิราบครอบครองรังของนกกางเขน เดินไปนั่งแทนตำแหน่งของอีกฝ่ายจริงๆ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมขยับเท้า
เซี่ยสือรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขากลัวจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคิ้วยาวจะโง่ถึงขนาดไปนั่งแปะบนเก้าอี้ตัวนั้น
ลู่เฉินเองก็ไม่ถือสา กำชับเซี่ยสือที่รีบร้อนลุกขึ้นยืนว่า “คนอื่นๆ ข้าคงไม่พบแล้ว เจ้าไปบอกกับพวกเขาว่าอย่าเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของคนอื่น ช่วงนี้ข้าผู้เป็นนักพรตอารมณ์ไม่ใคร่จะดี กลัวว่าถึงเวลานั้นจะยั้งมือไม่ทัน หึหึ…อีกอย่างนะ หากวันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตอยากเจอกับหลานชายของเจ้าก็ไม่ต้องให้เจ้าพามา ต่อให้เขาจะไปหลบอยู่ใต้พื้นที่มงคล ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังเจอเขาได้อยู่ดี ถูกไหม ดังนั้นอย่าให้มีคราวหน้าอีก”
เซี่ยสือพยักหน้ากดเสียงแผ่วต่ำ “รับคำบัญชา!”
ลู่เฉินกระแอมหนึ่งที ยิ้มตาหยีถามว่า “แล้วมารดาของเด็กคนนี้ล่ะ มีธุระอะไรหรือถึงไม่มาด้วย? คราวก่อนยังไม่ทันได้ดูลายมือให้นางเลยนะ”
เซี่ยสือที่เพิ่งได้พบกับ ‘นายท่านผู้เฒ่าสายของตน’ เป็นครั้งแรกถึงกับอ้ำอึ้ง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ที่แท้คำเล่าลือที่พวกเทียนจวิน พวกเจินเหรินทั้งหลายแอบพูดกันก็แม่งไม่เป็นความจริงเลย!
เด็กหนุ่มคิ้วยาวอึ้งค้างไปอย่างสิ้นเชิง
ลู่เฉินเดินอาดๆ จากไป ตอนที่ผ่านร้านข้างๆ ยังกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา “ท่านเซียนผู้เฒ่ายุ่งจริงๆ เลยนะเนี่ย”
นักพรตเฒ่าผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับสบถด่า รีบไสหัวไปเถอะ!
———————————-