กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 206.2 พระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์กลม
เทศกาลโคมไฟเมืองหลวงต้าสุย ทั่วทั้งเมืองประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ทุกพื้นที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวัน
หลายคืนนั้นเหล่าบัณฑิตที่มาศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาต่างก็พากันลงจากภูเขามาร่วมงานครึกครื้น พวกนักปราชญ์และอาจารย์ของสำนักศึกษาต่างก็ไม่คัดค้านในเรื่องนี้ คนหนุ่มสาวหากเอาแต่หมกตัวท่องตำราอยู่ในห้องหนังสือย่อมหมดสิ้นซึ่งความมีชีวิตชีวา การถ่ายทอดความรู้ไม่ควรทำเช่นนี้ หากเข้มงวดกวดขันมากเกินไป เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่อยู่ในที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ย่อมไม่สามารถแตกหน่อเติบโตกลายมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงเทียมฟ้าได้
หลี่ไหวอยากจะไปเที่ยว สุดท้ายกลายเป็นว่าชวนคนนู้นคนนี้กลับชวนได้แค่อวี๋ลู่คนเดียว หลี่เป่าผิงบอกว่านางไปเดินมาทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว ลงจากภูเขาไปตอนนี้ไม่ใช่ไปดูโคมไฟหรอก เห็นชัดๆ ว่าไปดูคน น่าเบื่อ อีกอย่างนางติดค้างบทความที่อาจารย์สั่งลงโทษอยู่หลายบท นางต้องเปิดศึกทำการบ้านหามรุ่งหามค่ำ!
หลินโส่วอีบอกว่าเขาจะไปอ่านหนังสือในหอเก็บหนังสือต่อ ตอนนี้เซี่ยเซี่ยกลายเป็นเซี่ยหลิงเยว่แล้ว แถมยังกลายมาเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของชุยตงซานเต็มตัว กลายเป็นว่ามีโชควาสนาสูงส่ง ได้ครอบครองสมบัติอาคมกองใหญ่ซึ่งมีเพียงเทพเซียนเท่านั้นถึงจะใช้ได้ หลี่ไหวตอแยไม่เลิก เซี่ยเซี่ยจึงต้องเอาออกมาให้เขาได้เห็น หลี่ไหวได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่าแล้วยังไงล่ะ ยังน่ารักสู้หุ่นไม้หลากสีของตนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่เห็นจะอิจฉาเลยสักนิด เซี่ยเซี่ยบอกว่าคืนนั้นต้องฝึกตน ไม่อาจไปร่วมงานโคมไฟเป็นเพื่อนหลี่ไหวได้
มาถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงอวี๋ลู่ที่พูดง่ายที่สุดและว่างงานมากที่สุดเท่านั้นที่ลงจากภูเขาไปเป็นเพื่อนหลี่ไหว
ผลกลับกลายเป็นว่าไปเจอเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยที่ตีนเขา คนทั้งสามจึงจับกลุ่มไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้เกาเซวียนก็มักจะมาเดินเล่นที่สำนักศึกษาซานหยาเป็นประจำอยู่แล้ว คุยกันไปคุยกันมา เกาเซวียนตามความคิดของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไม่ทันจริงๆ ส่วนหลินโส่วอีก็มีนิสัยเย็นชา ฝ่ายเซี่ยเซี่ยมักจะถูก ‘บรรพบุรุษตระกูลไช่’ ผู้นั้นเรียกตัวไปยกชาส่งน้ำ ซักผ้ากวาดพื้นให้เป็นประจำ ไม่เหมือนสิ่งที่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสมควรได้รับแม้แต่น้อย นางยังเทียบกับสาวใช้คนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเกาเซวียนจึงสนิทกับอวี๋ลู่มากที่สุด และมักจะไปตกปลากับอวี๋ลู่ที่ริมทะเลสาบอยู่บ่อยครั้ง
เทศกาลโคมไฟของต้าสุยนี้ ทั้งกษัตริย์และขุนนางต่างก็ร่วมกันเฉลิมฉลอง ผู้คนทั่วหล้ามีความสุขร่วมกัน
เพื่อเทศกาลครั้งนี้หลี่ไหวยังปักปิ่นหยกดำที่สลักคำว่า ‘ไหวอิน’ เป็นพิเศษด้วย เวลาเดินก็ยืดอกสูง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
อวี๋ลู่และเกาเซวียนเดินประกบซ้ายขวาข้างกายหลี่ไหว ไม่ได้กลัวว่าจะมีใครกล้ามารังแกหลี่ไหวอีก แต่เป็นเพราะเจ้าลูกหมาน้อยหลี่ไหวผู้นี้เหมือนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะที่ประหลาดอย่างยิ่ง บ้านนอกก็ส่วนบ้านนอก แต่กลับโชคดีอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่สามารถทำให้คนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตรัชทายาทสกุลหลู และอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นองค์ชายสกุลหงของต้าสุยในปัจจุบันมาเป็นผู้คุ้มกันให้เขาได้
การมาเที่ยวงานโคมไฟของหลี่ไหวในครั้งนี้นับว่าคุ้มแล้ว
ในหอหนังสือของสำนักศึกษาซานหยา หลินโส่วอีที่จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำพลันรู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง วางหนังสือลง เดินไปที่หน้าต่าง คิดถึงดรุณีน้อยผู้อ่อนโยนน่าประทับใจดุจกิ่งหยางกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวไปตามสายลม
หลินโส่วอีบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าต้องตั้งใจเล่าเรียน ตั้งใจฝึกตน วันหน้า…
พอนึกถึงภาพที่งดงามบางอย่าง หลินโส่วอีที่เวลาปกติไม่ชอบยิ้ม ทั้งยังสุขุมพูดน้อยกลับคลี่ยิ้มอบอุ่น
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลายิ่งดูหล่อเหลามากกว่าเดิม
ในหอพักของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็มีแสงตะเกียงส่องสว่างเช่นกัน เพียงแต่ว่านอกจากจะอ่านหนังสือแล้ว นางยังต้องคัดหนังสือด้วย หลังจากเอาพู่กันจุ่มหมึกจนชุ่ม หลี่เป่าผิงที่สีหน้าเคร่งเครียดก็ชูแขนข้างที่ถือพู่กันขึ้นสูง ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็วดุดันดุจสายฟ้าที่แลบปลาบ! ฟั่บๆๆ สามารถเขียนตัวอักษรแบบบรรจงได้เร็วดุจสายฟ้าขนาดนี้ก็ถือว่ามีฝีมือแล้ว แค่มองก็รู้ว่าคัดบ่อยจนเกิดเป็นความเคยชิน หลังเขียนจนเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ นางก็โยนไปไว้ด้านข้าง พูดในใจตัวเองว่า “เจ้าถอยไป”
อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รับผิดชอบเดินตรวจตราสำนักศึกษาในคืนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าต่าง พอเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ทั้งระอาใจทั้งสงสาร อาจารย์ผู้เฒ่าคือหนึ่งในอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับแม่นางน้อย เขาหมุนกายจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้รบกวนเวลาคัดหนังสือทำการบ้านของแม่นางน้อย เพียงแต่ผู้เฒ่าคิดว่าหลังจากนี้ควรให้เป่าผิงน้อยคัดหนังสือให้น้อยลงหน่อยดีหรือไม่?
เหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขากำลังศึกษาศิลปะการเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของตัวเองเงียบๆ อันที่จริงใช้ชีวิตระหกระเหินมานานหลายปีขนาดนี้ หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผู้เฒ่าเกลียดตัวเองมากที่สุดก็คือตัดใจละทิ้งงานอดิเรกนี้ไม่ลง มีหลายครั้งที่พยายามจะเลิกอาการเสพติดหมากล้อม แต่ทุกครั้งหากเห็นใครเล่นหมากล้อมโดยบังเอิญก็มักจะขยับเท้าหนีไม่ได้ ต้องยืนชมศึกอยู่ข้างๆ และยิ่งดูก็จะยิ่งไม่สบอารมณ์ แอบด่าอยู่ในใจว่าฝีมือห่วยแตกซะจริง และหากได้เห็นคนมีฝีมือก็จะยิ่งคันยิบๆ อยู่ในใจ มีครั้งหนึ่งอดไม่ไหวถึงขนาดกลับมาเล่นทวนกับตัวเองใหม่ทั้งกระดาน จากนั้นก็ด่าตัวเองว่าไม่หนักแน่นมากพอพลางวางหมากอย่างอารมณ์ดีไปด้วย สหายที่เล่นหมากล้อมด้วยกันมาหลายปีมักจะเอาเรื่องนี้มาล้อเขา เรียกการพยายามเลิกเล่นหมากล้อมของเหมาเสี่ยวตงว่า ‘ปิดด่าน’ พอเขากลับมาเล่นใหม่อีกครั้งก็เรียกว่า ‘ออกจากด่าน’
คืนนี้เหมาเสี่ยวตงปฏิเสธคำเชิญจากฮ่องเต้ ไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงชมโคมไฟต้นไม้เพลิงบุปผาเงินที่วังหลวง แต่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเองเงียบๆ
การเล่นหมากล้อมของผู้เฒ่าได้เจ้าสารเลวแซ่ชุยบางคนเป็นผู้สอน ที่น่าโมโหยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน ตามหาสุดยอดตำราหมากล้อม ประลองฝีมือกับนักเล่นหมากล้อมระดับชาติ ศึกษาหลักการเล่นหมากล้อมของแต่ละพรรคแต่ละฝ่าย อะไรที่ทำได้ก็ล้วนทำหมดแล้ว ทว่าพัฒนาการในการเล่นหมากล้อมของเขาก็ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะชุยฉานไม่ได้สักที
ผู้เฒ่าเก็บตำราหมากล้อมและกระดานหมากล้อม ปลดไม้บรรทัดตรงเอวมาถูไว้ในมืออย่างเชื่องช้า
ก่อนหน้านี้ชุยฉานแห่งสำนักศึกษาที่ปรากฏตัวด้วยเรือนกายของเด็กหนุ่มได้มาพูดคุยกับเขาแล้วหนึ่งรอบ จากนั้นก็ไปคุยกับฮ่องเต้ต้าหลีมาหนึ่งรอบ สุดท้ายไปคุยกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดที่เป็นนักเล่านิทานมาหนึ่งรอบ ตอนที่มาหาเหมาเสี่ยวตง ผู้เฒ่าโน้มน้าวเขาว่าอย่าได้คิดหวังเพ้อเจ้อ เปิดเผยตัวตนเร็วขนาดนี้ระวังจะตายอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ถึงเวลานั้นจะลากเอาสำนักศึกษาซานหยาติดร่างแหไปด้วย เหมาเสี่ยวตงพูดตรงมาก หากต้าสุยเข้าใจผิดนึกว่าสำนักศึกษาซานหยามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเหมาเสี่ยวตงจะเป็นคนแรกที่ลงมือฆ่าคน บดขยี้ราชครูต้าหลีผู้นี้ให้เละอยู่ในต้าสุย
เหมาสี่ยวตงถอนหายใจ “เหตุใดบัณฑิตถึงกลายเป็นพ่อค้าไปได้นะ?”
ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่ง ชุยตงซานเด็กหนุ่มชุดขาวนั่งอยู่ใต้ชายคา ฟังเสียงม้าเหล็กพวงหนึ่งที่เพิ่งเอาไปแขวนไว้ใต้ชายคาส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ใต้ม่านรัตติกาลสุขสงบที่มีลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย
ชุยตงซานหันขวับไปมองเซี่ยเซี่ยเด็กสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง “เจ้ามีปู่ไหม?”
เด็กสาวตะลึงงัน คำถามนี้นางควรจะตอบอย่างไร? หรือว่ามีความลี้ลับซ่อนอยู่? หาไม่แล้วใต้หล้านี้ใครบ้างที่ไม่มีปู่?
นางรู้สึกว่านี่ต้องเป็นหลุมพรางที่ทดสอบจิตใจของนางอย่างแน่นอน และในขณะที่เด็กสาวกำลังใคร่ครวญหาคำพูดที่เหมาะสม ชุยตงซานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ที่แท้เจ้าเองก็มีปู่เหมือนกันหรือ?”
เซี่ยเซี่ยพูดไม่ออก
เป็นมุขตลกที่แป้กมากเหลือเกิน
สุดท้ายคนทั้งสองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีด้วยกัน
ดวงจันทร์ของเทศกาลไหว้พระจันทร์สุกสกาว คนรวยก็มองเห็น คนยากจนก็มองเห็น
ปลอบประโลมจิตใจคนได้ดียิ่ง
……
ในฐานะประมุขหญิงตระกูลหลี่ ภรรยาของหลี่หงเจ้าประมุข หรือก็คือมารดาของสามพี่น้องหลี่ซีเซิ่ง นางไม่ถือว่าเป็นคนที่พูดง่าย แต่มีการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน เมื่ออยู่ในบ้านจึงมีบารมีมาก บุรพาจารย์สกุลหลี่ที่ตอนนี้เป็นเทพเซียนขอบเขตสิบไม่เคยวางท่าใส่ลูกสะใภ้ที่จัดการธุระในบ้านได้อย่างเป็นระเบียบ และหาข้อตำหนิจากนางไม่ได้แม้แต่น้อย
ในจวนใหญ่ตระกูลหลี่ที่ร่ำรวยแต่ถ่อมตนมีบ่าวรับใช้มากมาย ลูกบ่าวที่เกิดในบ้านก็มีหลากแซ่หลายสกุล บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนเป็นคนรู้ใจของตระกูลหลี่ อีกทั้งประมุขตระกูลหลี่แต่ละรุ่นต่างก็ให้การดูแลเอาใจใส่ข้ารับใช้เป็นอย่างดี คู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ก็คือตัวอย่าง คนเก่าคนแก่ในจวนถึงขั้นเคยหยอกเย้าว่าจูลู่มีสถานะเป็นสาวใช้ แต่มีชะตาเป็นคุณหนู
หลี่หงประมุขตระกูลคือคนที่ไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ เขาชอบเก็บสะสมแผ่นกระเบื้องและบันทึกตำรับตำราต่างๆ นอกจากจะพูดคุยกับหลี่ซีเซิ่งบุตรชายคนโตเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่ค่อยจะเผยตัวนัก คนที่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านจึงเป็นประมุขหญิง นางได้เรียนหนังสือมาไม่มาก รู้จักตัวอักษรได้ก็เพราะต้องตรวจสอบบัญชี ตระกูลหลี่มีธรรมเนียมที่สืบทอดกันมายาวนานก็คือ ทุกครั้งที่ถึงช่วงปีใหม่ เด็กที่อายุน้อยต้องท่องจำตัวอักษรบางตัวให้ขึ้นใจแล้วหาคำสุภาษิตที่มีตัวอักษรนี้มาเตรียมรอไว้ หากผู้อาวุโสในตระกูลหลี่ถามเข้า แล้วพวกเด็กๆ สามารถตอบได้อย่างราบรื่นก็จะได้รับเงินอั่งเปาหนึ่งซอง คืนวันก่อนปีใหม่ของปีก่อนคืออักษรตัวเจีย (嘉 งดงาม/ยกย่อง/ชมเชย) เทศกาลหยวนเซียวของปีนี้คือคำว่าเถา (桃 ต้นท้อ/ลูกท้อ)
เทศกาลหยวนเซียววันนี้ประมุขหญิงให้สาวใช้คนสนิทหยิบอั่งเปาสีแดงมาปึกใหญ่ เมื่อเจอกับเด็กๆ ที่ ‘เฝ้าตอรอกระต่าย’ (อุปมาว่าอยากได้ผลประโยชน์ที่ได้มาโดยไม่นึกไม่ฝัน ไม่ต้องอาศัยความพยายามของตัวเอง) ก็จะถามยิ้มๆ จากนั้นก็จะได้รับคำตอบที่พวกเด็กๆ เตรียมมาไว้นานแล้ว เสียงอ่อนเยาว์ดังกังวานเสนาะหูของเด็กๆ ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่มีมาดสง่างามมีรอยยิ้มบางๆ ประดับริมฝีปากตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นสำนวนว่ามนุษย์เราขอแค่มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ไม่ต้องป่าวประกาศบอกใครก็ได้รับความนิยมยกย่องจากผู้อื่น หรือดอกท้อนับหมื่นบานสะพรั่ง หรือสาวงามแก้มผลท้อหน้าผลซิ่ง ฯลฯ (ประโยคเหล่านี้ล้วนมีอักษร 桃 ประกอบอยู่ทั้งสิ้น) ประโยคเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่งดงามน่าประทับใจคน ต่อให้มีเด็กคนหนึ่งหลุดปากพูดคำว่า ‘ท้อธรรมดาหลี่สามัญ’ ที่เป็นคำในความหมายเชิงลบซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหน สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่โกรธ ยังคงแจกเงินอั่งเปาให้ด้วยรอยยิ้ม
เพียงแต่พอสตรีแต่งงานแล้วได้ยินคำว่าเขาให้ลูกท้อเรา เราให้ลูกหลีเขา (เปรียบเปรยถึงการตอบแทนน้ำใจกันและกัน) รอยยิ้มของนางคล้ายจะฝืนใจเล็กน้อย พอได้ยินคำว่าหลี่ตายแทนเถา (สละต้นหลีเลือกต้นท้อ เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก) ซึ่งถึงแม้จะเป็นคำที่ค่อนข้างไปในทางลบ ความหมายที่ซ่อนแฝงก็ไม่ได้งดงามสมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับท้อธรรมดาหลี่สามัญแล้วถือว่าดีกว่าพอสมควร ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล ทำเอาเด็กคนนั้นตกใจจนทำตัวไม่ถูก หลังจากถามแซ่ของเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างจึงรู้ว่าอีกฝ่ายแซ่เฉิน และถึงแม้สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วจะยังบอกให้สาวใช้มอบเงินอั่งเปาแก่เด็กคนนั้น ทว่าตอนที่จากไปสีหน้าของนางกลับเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งอย่างที่หาได้ยาก
คนทั่วทั้งตระกูลหลี่ต่างก็รู้ว่าหลี่หงประมุขตระกูลรักบุตรสาวคนเล็กอย่างหลี่เป่าผิงมากที่สุด ฮ่องเต้อาจจะรักบุตรชายคนโต แต่คนธรรมดามักจะรักบุตรชายคนเล็กเสมอ
สำหรับหลี่ซีเซิ่งบุตรชายคนโตและหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรอง พวกข้ารับใช้มองไม่ออกว่าเขารักใครมากกว่ากัน เพราะหลี่หงทั้งไปอ่านหนังสือกับหลี่ซีเซิ่ง แล้วก็มักจะดื่มเหล้ากับหลี่เป่าเจินอย่างไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่อาจเป็นเพราะหลี่เป่าเจินคือลูกชายคนเล็ก บวกกับที่หลี่เป่าเจินมีนิสัยช่างอ้อนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ไม่ว่ากับใครก็รู้จักเข้าหาให้ความสนิทสนม หันกลับมามองหลี่ซีเซิ่ง เขามักจะเงียบขรึมหัวโบราณกว่ามาก แล้วก็ไม่ชอบพูดไม่ชอบคุยมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นภรรยาของหลี่หงจึงใกล้ชิดกับหลี่เป่าเจินมากกว่า
นับตั้งแต่หลี่เป่าเจินออกจากบ้านเดินทางไปอยู่เมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วก็มักจะส่งจดหมายไปที่เมืองหลวงเป็นประจำ ถามเขาว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้าน จดหมายที่ถูกส่งกลับมามีหลายฉบับ ทุกครั้งที่หลี่เป่าเจินพูดถึงเรื่องน่าสนใจในเมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วที่ถือจดหมายไว้ในมือก็มักจะหลุดหัวเราะ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่วางจดหมายลงจะต้องรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นกังวลเสมอ นางมักจะเป็นห่วงว่าบุตรชายคนเล็กที่อยู่ในสถานที่กว้างใหญ่อย่างเมืองหลวงต้าหลีจะถูกคนรังแก จดหมายแต่ละฉบับที่ถูกส่งกลับมาที่บ้านล้วนถูกทับวางกันอย่างเป็นระเบียบในกล่องสีชาดใบเล็ก หลี่หงยังเคยหยอกเย้าภรรยาว่าเด็กที่ฉลาดอย่างเป่าเจิน ต่อให้ออกไปอยู่นอกบ้านก็ไม่มีทางเสียเปรียบใครเด็ดขาด เจ้าควรเป็นห่วงคนอื่นถึงจะถูก
ตอนนี้หลี่ซีเซิ่งกลับจากโรงเรียนมาที่เรือนของตัวเอง พบว่าท่านปู่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำบ่อเล็กคล้ายมารอได้พักหนึ่งแล้ว จึงรีบสาวเท้าก้าวเร็วๆ เข้าไปหา
ผู้เฒ่าเดินนำเขาเข้าไปในห้อง “ไปพูดกันในห้องหนังสือของเจ้า”
มาถึงห้องหนังสือขนาดเล็กที่ชื่อว่า ‘เจี๋ยหลู’ ซึ่งสะอาดเรียบง่าย ผู้เฒ่าก็บอกเป็นนัยให้หลี่ซีเซิ่งนั่งลงพร้อมกัน จากนั้นจึงเอ่ยยิ้มๆ “นิสัยของเป่าเจินเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป อยู่ห่างจากบ้านเกิดไปไกลขนาดนั้น แถมยังเป็นลูกชายคนเล็ก มารดาเจ้าจะเป็นห่วงก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าอย่าได้รู้สึกว่านางลำเอียงแล้วเสียใจด้วยเรื่องนี้”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “ข้าไม่มีทางรู้สึกอย่างนั้นอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “สามคนที่เซี่ยสือต้องการตัวมีเจ้ารวมอยู่ด้วย ข้าไม่แปลกใจเท่าไหร่ บิดาเจ้าไม่รู้พรสวรรค์ของเจ้าก็เพราะเขามันตาบอด ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้แย่ไปกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพเลยแม้แต่น้อย กุมารีหยกแห่งระบบเต๋าในหนึ่งทวีปแล้วอย่างไร ร้ายกาจมากนักหรือ? ก็เพราะหลานชายข้าไม่มีสำนักให้การอบรมปลูกฝัง ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นกุมารทองของเจ้าไปแล้วก็ได้ ถึงเวลานั้นจับคู่กันเป็นคู่รักเทพเซียน เฮอะๆ แบบนี้ก็ไม่เลว…”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย ผู้เฒ่าก็หัวเราะอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง
หลี่ซีเซิ่งระอาใจเล็กน้อย นิสัยชอบแข่งขันกับคนอื่นของท่านปู่นี่ แก้อย่างไรก็แก้ไม่หาย เพื่อให้กลายเป็นนักพรตขอบเขตสิบคนแรกในบรรดาสี่แซ่สิบตระกูลของถ้ำสวรรค์หลีจู อันที่จริงการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ของเขาอันตรายอย่างมาก แต่ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ หลี่ซีเซิ่งเองก็โน้มน้าวเขาไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะแอบทำนายดวงชะตาแล้วได้ระดับกลางค่อนไปทางดี หลี่ซีเซิ่งก็คงไม่กล้าปล่อยให้ท่านปู่ปิดด่านเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ส่วนเจ้าเด็กหม่าขู่เสวียนผู้นั้น ไม่ใช่ว่าข้านินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลังหรอกนะ เดิมทีตระกูลเขาก็เป็นพวกคนเลวต่ำช้าอยู่แล้ว หึ ข้าไม่คิดว่าเขาจะได้ดิบได้ดีอะไรหรอก อุดมธรรมดุจดั่งน้ำ คนที่แข็งไปย่อมหักง่าย เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่โบราณกาล นี่เล่นฉายประกายแหลมคมออกมาจนหมดสิ้น ไม่รู้จักอำพรางไว้บ้างเสียเลย หนึ่งปีทะลุสามขอบเขตแล้วอย่างไร แน่จริงพอถึงขอบเขตชมมหาสมุทรก็ฝ่าทะลุให้ได้อีกสามขอบเขตในรวดเดียวสิ!”
หลี่ซีเซิ่งไม่เอ่ยต่อคำ
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถามว่า “เจ้ามอบ ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ และกระดาษยันต์ปึกนั้นให้กับเฉินผิงอันไปทั้งหมดได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าโมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าควรจะเหลือไว้ให้ตัวเองสักครึ่งหนึ่งสิ! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นไม่รู้ถึงความล้ำค่าของกระดาษยันต์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ?”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าอันที่จริงแล้วท่านปู่ไม่ได้รักเป่าผิงสักเท่าไหร่”
ผู้เฒ่าสะอึก อับอายจนพานเป็นความโกรธ “พูดอะไรของเจ้า?! ข้าไม่รักเป่าผิงแล้วจะรักใคร? เอาเถอะ ให้แล้วก็แล้วไป ข้าก็แค่พูดถึงไปอย่างนั้นเอง ข้าจะให้เจ้าไปทวงของกลับคืนมาด้วยหรือไง?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มอย่างรู้ใจ
ผู้เฒ่ามองรอยยิ้มของหลานชายคนโตแล้วชี้นิ้วไปในความว่างเปล่าสองที “สมบัติของตระกูลคิดจะยกให้คนอื่นก็ยกให้ ปู่ไม่ขวางเจ้า แล้วก็ไม่บีบให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจภายหลังด้วย แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าจะด่าเจ้าว่าไอ้เด็กล้างผลาญ”
หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้มเต็มปาก
ผู้เฒ่าวางสองมือไว้บนที่เท้าแขนเก้าอี้ กล่าวปลงอนิจจังด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ปู่มีความสามารถเพียงเท่านี้ ตอนนั้นต้องเสี่ยงชีวิตแก่ๆ อย่างไม่กลัวตายถึงจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้อย่างฉิวเฉียด ห้าขอบเขตบนนั้นไม่ต้องเพ้อฝันเลย ซีเซิ่ง หลังจากนี้ปู่คงทำอะไรเพื่อเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยเบาๆ “ท่านปู่ ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้ ท่านทำดีมากจนดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะมาช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้กับหลานชายคนโต “ไม่ว่าจะไปอุตรกุรุทวีปหรือไม่ ไม่ว่าหลังจากนี้เจ้าจะทอดทิ้งขงจื๊อหันไปเลือกเต๋าหรือไม่ เจ้าก็ยังคงเป็นหลานชายคนดีของปู่ หลักการการเป็นคนในใต้หล้าแห่งนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ข้าเชื่อว่าหลานชายของข้าเป็นคนที่ซื่อตรงอย่างมาก และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป!”
กระบอกดวงตาของหลี่ซีเซิ่งแสบร้อนเล็กน้อย เขาพยักหน้ารับอย่างแรง ถอยหลังไปสองก้าว กุมมือคารวะโค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด เอ่ยเสียงดังกังวาน “ทำเป็นตัวอย่างทั้งคำพูดและการกระทำ เที่ยงธรรมจริงใจ ตระกูลหลี่ของพวกเราจะไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”
ผู้เฒ่าพูดพึมพำ “เจ้าย่อมใช่ แจกันน้อยก็ใช่” (แจกันน้อยในที่นี้หมายถึงหลี่เป่าผิง ชื่อเป่าผิงแปลว่าแจกันสมบัติ)
คนเดียวที่ไม่เอ่ยถึงมีเพียงหลี่เป่าเจินที่ได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าฉลาดหลักแหลมที่สุด
—–