กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 206.5 พระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์กลม
เด็กหนุ่มก็คือหลิวเสี้ยนหยาง เด็กหนุ่มสดใสร่าเริงเคยพูดกับเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาว่าจะไม่ยอมตายอยู่ในสถานที่เล็กแคบอย่างบ้านเกิดของตัวเองแน่นอน และจากนั้นเขาก็ออกจากบ้านเกิด ได้เห็นภูเขาที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้า เห็นมหาสมุทรสีครามที่กว้างไกลไร้ขอบเขตสิ้นสุด เห็นปลาบินห้าสีที่มีปีกจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินอยู่เหนือมหาสมุทร เห็นภูตประหลาดหลากหลายผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในทะเลเมฆ แม้แต่เซียนขี่กระบี่บินทะยานอยู่กลางอากาศอย่างสง่างาม เขาก็ล้วนได้เห็นมาแล้ว
ตอนแรกใช่ว่าเขาจะไม่มีความกังวลเสียเลย เขากังวลว่าสกุลเฉินผู้มากความรู้อะไรนี่จะเป็นเหมือนสกุลสวี่แห่งนครลมเย็น หรือวานรย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงที่ปรารถนาในคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นของเขา คัมภีร์กระบี่ประหลาดที่สามารถทำให้เขาฝึกกระบี่ได้ทั้งยามตื่นและยามหลับฝัน
ทว่าเพียงไม่นานหลิวเสี้ยนหยางก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะเมื่อเขาเหยียบเข้ามาในตระกูลสกุลเฉิน ผู้เฒ่าที่มีบุคลิกสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นบรรพบุรุษผู้ดูแลสมบัติของสกุลเฉินอิ่งอินก็มอบพัดพับเล่มหนึ่งที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวบนภูเขาชิงเสินให้กับเขา ไม้ไผ่เสินเซียวชนิดนี้ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด เป็นหนึ่งในวัตถุที่ดีที่สุดในการนำมาทำแส้โบยผี ขอแค่เป็นภูตผีที่ก่อกำเนิดอยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็ล้วนหวาดกลัวอาวุธที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีปลากินหมึกที่ระดับสูงมากอีกหนึ่งตัว วัตถุชนิดนี้มักจะถูกตระกูลเซียนในโลกมนุษย์เลี้ยงไว้ในอ่างล้างหมึก กินหมึกเป็นอาหาร เมื่อผ่านไปร้อยปีตรงสันหลังจะมีเส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งผุดขึ้นมา ห้าร้อยปีให้หลังมีหวังจะเป็นมังกรหมึก กลายมาเป็น ‘หมึกสมบัติ’ ที่บัณฑิตทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ตระกูลผู้มีความรู้แทบทุกตระกูลล้วนต้องเลี้ยงวัตถุชิ้นนี้ แต่ปลากินหมึกต้องการน้ำหมึกในระดับที่สูงมาก หาไม่แล้วพวกมันก็ยอมหิวตายดีกว่ายอมคล้อยตามผู้อื่น
สุดท้ายคือลมเปิดหน้าหนังสือหนึ่งกลุ่ม
หลิวเสี้ยนหยางจำได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้เป็นเฉินตุ้ยหลานสาวสายตรงผู้เย่อหยิ่ง พอเห็นลมเปิดหน้าหนังสือกลุ่มนั้นก็ยังประหลาดใจอย่างมาก ถึงขั้นแสดงความอิจฉาออกมานิดๆ ด้วย
สำหรับของพวกนี้ แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางต้องชื่นชอบมาก แต่ไม่ถึงขั้นชื่นชอบเจียนคลั่ง
หลิวเสี้ยนหยางรู้ดีว่าต้นทุนในการหยัดยืนของตนยังคงเป็นคัมภีร์กระบี่เล่มนั้น ดังนั้นทุกวันนอกจากจะไปเข้าเรียนในโรงเรียนของสกุลเฉินตามเวลาแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็จะต้องหัดวิชากระบี่อยู่ในเรือนของตัวเอง
ในเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เคยเห็นภูเขาสูงและแม่น้ำกว้างขวางมาแล้ว
ก้าวถัดไปเขาก็อยากจะอาศัยความสามารถของตนเองไปควบคุมกระบี่บินทะยานผ่านยอดเขาสูง ขี่กระบี่ทะยานไปยังปลายทางของแม่น้ำกว้างใหญ่!
สักวันหนึ่งเขาจะต้องได้เจอกับเจ้าคนแซ่เฉินอีกครั้ง และได้คุยโวโอ้อวดถึงฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่นอกเมืองเล็กให้อีกฝ่ายฟัง
บางครั้งหลิวเสี้ยนหยางก็เป็นกังวล หากวันใดที่ตนกลับคืนไปยังเมืองเล็กแห่งนั้น เฉินผิงอันจะกลายเป็นชาวนาอายุมากที่แต่งงานมีลูกมานานแล้วหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ แต่หลิวเสี้ยนหยางกลัวมากๆ ว่าเมื่อถึงเวลานั้น คนทั้งสองอาจนั่งอยู่บนหินหลังควาย คุยกันไปคุยกันมา คุยถึงเรื่องไร้สาระในวัยเยาว์จบลงแล้ว สุดท้ายจะกลายเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีกหรือไม่
คำพูดในใจบางอย่าง ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางจงใจจากมาอย่างเร่งร้อนเพื่อหลบหน้าเฉินผิงอัน เพราะเขากลัวว่าตอนที่จากลากัน ตนจะร้องไห้อย่างไม่เอาไหน จนกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนนอกอย่างเฉินตุ้ย แล้วพวกเขาจะดูถูกเขาหลิวเสี้ยนหยาง อีกอย่างคำพูดในใจเหล่านั้นยังเป็นคำที่บ่งบอกถึงการยอมศิโรราบ ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางยังรู้สึกอึดอัดขัดเขิน ดังนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วเขาจึงไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง เขาน่าจะบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า นอกจากเรื่องเผาเครื่องปั้นที่เจ้าสู้ข้าไม่ได้แล้ว เรื่องอื่นๆ ที่ข้าหลิวเสี้ยวหยางสอนให้เจ้าเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา ยิงธนู วางกับดักในภูเขา ขึ้นเขาลงห้วย มีเรื่องไหนบ้างที่สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันทำได้ด้อยกว่าข้า?
บ้านสกุลเฉินอิ่งอินมีพื้นที่กว้างใหญ่นับร้อยลี้ เวลาว่างหลิวเสี้ยนหยางมักจะไปเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยซุ้มประตู เดินไปถึงริมแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่ง แล้วไปนั่งเหม่ออยู่บนหินหน้าผาที่คล้ายหินหลังควายอยู่เพียงลำพัง นั่งครั้งหนึ่งก็นานเป็นครึ่งวัน สำหรับเด็กหนุ่มสูงใหญ่ที่มุมานะในการฝึกกระบี่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาอย่างมาก
ยามสนธยาของวันนี้ หลิวเสี้ยนหยางนั่งเหม่อได้สองชั่วยามก็พลันคืนสติ คิดจะลุกขึ้นเดินกลับ เพราะทางกลับยังต้องเดินอีกหลายสิบลี้ อีกทั้งในรัศมีพันลี้รอบด้านนี้ยังไม่อนุญาตให้ใครทะยานลมกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางระดับใหญ่แค่ไหนก็ต้องลงจากหลังม้ามาเดิน นี่คือกฎเกณฑ์เหล็กที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือนของสกุลเฉิน ซึ่งสืบทอดต่อกันมานานนับพันปีแล้ว
ออกมาจากตระกูล อาจจะมีลูกหลานสกุลเฉินบางส่วนที่ทำตัวอันธพาลอยู่ข้างนอก หรืออาจถึงขั้นทำเรื่องชั่วร้ายที่ผิดต่อมารยาทและคุณธรรม เพราะอย่างไรซะตระกูลก็ใหญ่เกินไป ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกัน แต่ขอแค่อยู่ในตระกูลล้วนไม่มีใครกล้าละเมิดกฎ โดยเฉพาะช่วงเวลาเซ่นไหว้บรรพบุรุษของทุกปี ลูกหลานสกุลเฉินจำนวนนับไม่ถ้วนจะพากันเดินทางกลับมา บนถนนเส้นนั้นมีแต่คนเดินเท้า ใช่แล้ว เดินเท้า อีกทั้งคนส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดลัทธิขงจื๊ออย่างบัณฑิต ตรงเอวห้อยหยกประดับ แต่งกายเรียบง่าย
หลิวเสี้ยนหยางเคยเห็นภาพนี้ไกลๆ ครั้งหนึ่ง เสียงที่หยกประดับถูกตีกระทบดังกังวานใสแจ๋ว
นี่ทำให้เด็กหนุ่มได้เปิดหูเปิดตา เป็นภาพที่สั่นสะเทือนใจคนได้ดียิ่งกว่าตอนเห็นภูเขาสูงแม่น้ำกว้างใหญ่เสียอีก
หลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็พบว่ามีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อผมขาวเรือนกายผอมบางคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนก้อนหินช้าๆ หลิวเสี้ยนหยางกุมมือคารวะ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยชราที่มองไม่ออกว่าเป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์หยุดยืนแล้วคารวะกลับด้วยรอยยิ้ม หากอยู่ในสถานที่แห่งอื่นของนาตยทวีป นักปราชญ์และวิญญูชนล้วนเป็นบุคคลที่ค่อนข้างหาได้ยาก แต่เมื่อมาอยู่ในสกุลเฉินอิ่งอินที่มีแต่ผู้มากความสามารถนี้ หากไม่มีสถานะนักปราชญ์ติดตัวเสียเลยก็แทบไม่มีหน้าออกจากบ้านมาพูดคุยกับคนอื่น
ผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างกายหลิวเสี้ยนหยาง มองไปทางลูกคลื่นที่ซัดโถมในแม่น้ำ กระทืบเท้าลงบนก้อนหินเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วเปิดปากถามด้วยรอยยิ้ม “รู้ชื่อของหน้าผาแห่งนี้หรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางจำต้องหยุดเดิน ส่ายหน้าตอบ “ไม่ทราบ”
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ในหนังสือบันทึกเอาไว้ว่า หน้าผาแม่น้ำของสกุลเฉินอิ่งอินมีก้อนหินลักษณะแปลกประหลาด ซึ่งมีนามว่าผีภูเขา เคยมีเซียนแห่งกวีท่านหนึ่งมาอ่านบทกลอนอยู่ที่นี่ น่าเสียดายก็แต่บทกลอนนั้นไม่เป็นที่นิยม นับว่าน่าเศร้า ชูจอกเหล้าให้ใคร? ชูจอกเชิญหิน หินประหลาดไม่ขยับ นกภูเขากลับบินปัดจอกเหล้าล้ม ผีภูเขาทะยานมากับลมราตรี พัดเป่ากองไฟให้มอดดับ สร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้คน…”
ผู้เฒ่าท่องบทกลอนที่ไม่เคยเผยแพร่ในโลกบทนั้นกับตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เต็มไปด้วยการรำลึกถึงเรื่องในอดีต “‘มีหินประหลาดอยู่เป็นเพื่อน พกหินขี่หงส์โบยบิน พาข้าเดินทางไกลเป็นหมื่นลี้’ อันที่จริงกลอนบทนี้ไม่ถือว่าเป็นกลอนที่ดีที่สุดในบรรดาบทกวีทั้งหลาย แต่ตอนนั้นข้ายืนอยู่ในตำแหน่งของเจ้า ส่วนเซียนแห่งบทกวียืนอยู่ตรงตำแหน่งของข้า ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย พอได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นกลอนที่ดีจริงๆ ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็ยังรู้สึกว่าดีมาก”
หลิวเสี้ยนหยางฟังไม่ออกว่าดีหรือไม่ดี แต่กระนั้นเขาก็ไม่อยากทำลายอารมณ์สุนทรีของผู้เฒ่า จึงได้แต่รับฟังอยู่เงียบๆ
ทว่าผู้เฒ่ากลับหันหน้ามาถามเขายิ้มๆ “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางจึงได้แต่ตอบไปตามตรง “ข้าไม่รู้”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หลิวเสี้ยนหยางจึงเงียบต่ออีกครั้ง
ผู้เฒ่าถามใหม่ “เจ้ามาเรียนต่อที่นี่สินะ? รู้สึกว่าบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิวเสี้ยนหยางคิดก่อนจะตอบ “ดีมาก”
ผู้เฒ่ายังถามต่อ “ดีตรงไหน?”
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกระอาใจเล็กน้อยจึงตอบไปลวกๆ ว่า “ดีไปหมดทุกอย่าง”
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
หลิวเสี้ยนหยางมองสีท้องฟ้า เขาต้องกลับไปจริงๆ แล้ว ขณะที่กำลังจะคารวะบอกลา ผู้เฒ่ากลับทำตัวเหมือนคนที่ชอบตั้งคำถามที่สุดในโลก “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นมีจุดไหนที่สงสัยระหว่างการฝึกกระบี่บ้างหรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังขาอะไร เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็เป็นถิ่นของสกุลเฉินอิ่งอิน ทว่าข้อห้ามที่บอกว่าไม่พูดคุยลึกซึ้งกับคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินล้วนใช้กันทั่วสี่สมุทร และเขาเองก็เข้าใจดี จึงส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มี”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ประเสริฐ”
หลังเอ่ยคำนี้ออกมา ผู้เฒ่ารู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย ในฐานะที่ตนเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของหย่าเซิ่งซึ่งมีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ถ้อยคำนี้ของเขาย่อมเอ่ยออกมาอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่ตอนนี้ไอ้หมอนั่นกลับเอาคำนี้ไปเป็นคำพูดติดปากของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี ทว่าอีกฝ่ายดันพูดได้คล่องปากยิ่งกว่าตนเสียอีก
หลิวเสี้ยนหยางบอกลาจากไป
ผู้เฒ่ามองส่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ หลังถอนสายตากลับมาก็มองไปยังน้ำในแม่น้ำ สองชายแขนเสื้อที่มีลมเย็นพัดสะบัดเบาๆ
เขาเองก็เคยเป็นเด็กหนุ่มผู้สง่างาม และเคยสะพายกระบี่เดินทางท่องไปไกล
ม่านรัตติกาลเยื้องกรายลงมา พระจันทร์เสี้ยวแขวนตัวเหนือกิ่งไม้
ตรงไหล่ของผู้เฒ่าก็มีพระจันทร์ดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งอยู่เช่นกัน
ผู้เฒ่าแซ่เฉิน นามฉุนอัน
……
กลางกำแพงเมืองที่สูงเสียดชั้นเมฆมีตัวอักษรใหญ่ตัวหนึ่งที่สลักด้วยปราณกระบี่ ขีดขวางขีดเดียวของมันก็กินพื้นที่เท่ากับถนนกว้างขวางเส้นหนึ่งแล้ว
บน ‘ถนน’ เส้นนี้มีกองเพลิงโชติช่วงกองหนึ่งลุกโชน หนุ่มสาวหกคนยืนโอบล้อมรอบกองไฟ คนที่อายุมากสุดก็แค่ยี่สิบปีเท่านั้น ที่เหลือล้วนอยู่ในวัยเด็กหนุ่มเด็กสาว
ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ บ้างก็พกกระบี่ไว้ตรงเอว บ้างก็วางพาดไว้บนเข่า หรือไม่ก็สะพายไว้ด้านหลัง
แสงไฟสาดสะท้อนลงบนใบหน้าอ่อนวัยเหล่านั้น แต่ละคนสีหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้จะอายุไม่มาก แต่ปราณกระบี่กลับไหลเวียนอย่างอุดมสมบูรณ์ ปกปิดปราณสังหารที่ท่วมอยู่ทั่วร่างไม่ได้
หนึ่งชายหนึ่งหญิงในนั้นโดดเด่นมากที่สุด บุรุษก็คือชายหนุ่มที่อายุยี่สิบปีซึ่งแก่กว่าทุกคนในกลุ่ม เขาสวมชุดคลุมยาวที่เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่กลับให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน แม้จะไม่ถือว่าหล่อเหลาองอาจ แต่มีกลิ่นอายของความอบอุ่นอ่อนโยน บวกกับปราณกระบี่ทั่วร่างที่รวมตัวกันแทบจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงก็ทำให้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ไม่ยาก
ส่วนเด็กสาวนั้นเปี่ยมไปด้วยความองอาจทรงพลัง คิ้วหนาดุจดาบแคบที่ฉายประกายคมกริบ
นางนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ของกำแพงสูงด้วยสายตาคมดุ
ศึกใหญ่ของสองฝั่งจบลงชั่วขณะ
การโจมตีต่อจากนี้ย่อมต้องดุเดือดและโหดร้ายมากกว่าเดิม
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งที่แก้มกลมย้อย เวลายิ้มดวงตาทั้งคู่จะหรี่ลงเป็นเส้นเล็กๆ มองดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ไอสังหารทั่วร่างของเขากลับเข้มข้นมากที่สุด เขาดื่มเหล้ารสร้อนแรงแล้วก็ยื่นส่งให้กับเด็กสาวแขนเดียวที่นั่งอยู่ข้างกาย เช็ดปากเอ่ยยิ้มๆ “หากไม่เป็นเพราะอาเหลียงโยนกระบี่หกเล่มมา ก็ไม่แน่เสมอไปว่าครั้งนี้พวกเราจะรอดมาได้ หึหึ คราวหน้าต่อให้อาเหลียงต้องการให้ข้าไปช่วยอุ่นผ้าห่มให้ นายน้อยอย่างข้าก็พร้อมจะล้างก้นให้สะอาดแล้วตอบรับเขา!”
เด็กหนุ่มร่างท้วมตบกระบี่ที่อยู่ตรงเอวแรงๆ หนึ่งที ตัวกระบี่สลักชื่อกระบี่ไว้ด้วยสองตัวอักษร จื่อเตี้ยน (สายฟ้าม่วง) เวลาที่ชักกระบี่จะมีสายฟ้าสีม่วงล้อมวน คมกระบี่แหลมคมไม่ธรรมดา
ที่เหลืออีกห้าเล่มแบ่งออกเป็นชื่อว่าจิงซู (คัมภีร์) เจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) ฮ่าวหรันชี่ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) หงจวง (สาวงามสะคราญโฉม) อวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ)
คนที่อยู่ข้างกายชายอ้วนคือเด็กสาวแขนขาดที่สีหน้าทึ่มทื่อ นางดื่มเหล้าเงียบๆ เรือนกายบอบบาง แต่กลับแบกกระบี่เล่มใหญ่ นางไม่ได้เลือกกระบี่ ‘หงจวง’ (สาวงามสะคราญโฉม) ที่ชื่อไพเราะ ตัวกระบี่เองก็งดงาม แต่เลือกเจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) ที่ใหญ่และหนาหนักมากที่สุด
คนที่อายุมากที่สุดซึ่งไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ แต่เหมือนบัณฑิตมากกว่าคนนั้นเลือกฮ่าวหรันชี่ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) ที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น
เด็กสาวแขนเดียวโยนกาเหล้าให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเขาดำเกรียม ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็น เขาห้อยกระบี่ที่ชื่อว่าหงจวง (สาวงามสะคราญโฉม)
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ดุดันรับกาเหล้ามา เงยหน้ากรอกเข้าปากหนึ่งคำ แล้วก็กระดกอีกอึกใหญ่ จึงถูกเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งด่าทันที “เจ้าคนแซ่ต่ง ทำห่าอะไรของเจ้า เหลือไว้ให้บรรพบุรุษของเจ้าหน่อยได้ไหม?”
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ยังดึงดัน คิดจะดื่มเป็นครั้งที่สาม เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นโมโหมากจึงเหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่าย เขาเป็นคนเดียวที่พกกระบี่สองเล่ม หนึ่งเล่มคือจิงซู (คัมภีร์) อีกหนึ่งเล่มคืออวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ) เขาวางกระบี่ทับกันบนขา เพียงแต่ว่าดูเหมือนกระบี่อวิ๋นเหวินจะไม่มีฝักกระบี่อยู่
เด็กหนุ่มหน้าตาขี้เหร่ยกแขนขึ้นบังหมัด ทว่าก็ยังถูกหมัดนั้นต่อยมาโดน ร่างของเขากระตุก เหล้าหกรดเต็มใบหน้า จึงพลันระเบิดอารมณ์ดุร้าย หันกลับมาถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล เด็กหนุ่มหล่อเหลาก็ไม่ยอมลงให้ “ทำไม อยากมีเรื่อง?! หากไม่เป็นเพราะเจ้าแม่งไร้ค่า เสี่ยวชวีชวีจะต้องตายอยู่ทางทิศใต้เพราะเจ้าไหม?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์พลันตาแดงก่ำ โมโหจนปากเขียว
เด็กสาวที่คิ้วราวกับดาบแคบตวาดเบาๆ “หุบปากกันให้หมด!”
เมื่อนางออกเสียง เด็กหนุ่มอัปลักษณ์และเด็กหนุ่มหล่อเหลาจึงหยุดทะเลาะกัน แถมฝ่ายแรกยังส่งกาเหล้าให้ฝ่ายหลังเงียบๆ ด้วย
เด็กสาวลุกขึ้นยืน พูดเสียงเย็น “เอาทั้งกาเหล้าและอวิ๋นเหวินมาให้ข้า”
เด็กหนุ่มหล่อเหลาส่งทั้งกระบี่และเหล้าไปให้นางอย่างขลาดๆ
นางเดินไปยังริมขอบของ ‘ถนน’ ด้านล่างก็คือหน้าผาลึกหมื่นจั้ง ลมพายุพัดกระโชกแรง ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยปราณกระบี่ที่วุ่นวาย ปณิธานกระบี่ที่ดุร้ายก็ยิ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
กลางอากาศของใต้หล้าเปลี่ยวร้างป่าเถื่อนที่คุณธรรมเมตตาธรรมไม่มีประโยชน์แห่งนี้มีพระจันทร์ลอยอยู่สามดวง ดวงหนึ่งเต็มดวง ดวงหนึ่งครึ่งดวง ดวงหนึ่งคือพระจันทร์เสี้ยว เพราะฉะนั้นถึงได้พูดกันอย่างไรล่ะว่าที่นี่ไม่มีพื้นที่สำหรับหลักการอะไรทั้งนั้น
ทุกอย่างล้วนอาศัยกระบี่ในมืออย่างเดียว!
มือหนึ่งของเด็กสาวถือกระบี่ยาวไร้ฝัก อีกมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า นางเอียงปากกาเหล้าลงไปเบื้องล่าง เทสุราที่อยู่ด้านในลงบนกระบี่เล่มยาว เอ่ยเบาๆ ว่า “เสี่ยวชวีชวี มาดื่มเหล้าเถอะ”
ห้าคนที่อยู่ด้านหลังเด็กสาวพูดในใจแทบจะพร้อมกัน “เสี่ยวชวีชวี ดื่มเหล้า!”
หลังจากความเสียใจผ่านพ้นไป เด็กหนุ่มหล่อเหลาก็รีบขับไล่อารมณ์กลัดกลุ้มออกไปอย่างรวดเร็ว
อยู่ที่นี่ ขอแค่สงครามเกิดขึ้น มีวันใดบ้างที่ไม่มีคนตาย?!
เขาถามหยั่งเชิง “หนิงเหยา ก่อนหน้านี้พวกเราได้กระบี่คนละเล่ม มีหกคนพอดี ตอนนี้เสี่ยวชวีชวีจากไปแล้ว เจ้าจะเอาอวิ๋นเหวินเล่มนั้นไปใช้หรือไม่?”
“ไม่ล่ะ” เด็กสาวที่ริมฝีปากแห้งผากแต่ยากจะบดบังความงามของนางส่งกระบี่ยาวที่เพิ่งชโลมเหล้าในมือไปให้เด็กหนุ่มหล่อเหลา นางหันหน้าไปทางทิศใต้ มุ่งลงไปทางทิศใต้ก็คือกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่กรูกันมาบุกใต้หล้าแห่งนี้ราวฝูงตั๊กแตน พวกเขาปักหลักกันอยู่ที่นั่น และอีกไม่นานก็จะเปิดฉากการโจมตีครั้งถัดไปต่อกำแพงสูงแห่งนี้
จู่ๆ เด็กสาวก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงหลุดหัวเราะอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก
“สวัสดี บิดาข้าแซ่เฉิน มารดาข้าก็แซ่เฉิน เพราะฉะนั้น…ข้าชื่อเฉินผิงอัน!”
ฮ่า เจ้าทึ่มเอ๊ย
—–