กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 210.1 ภูเขาและแม่น้ำบรรจบคือการได้พบกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันอยู่ในฐานะของแขกผู้สูงศักดิ์ก็จริง แต่กลับไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจบ้าอำนาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้สาวใช้ทั้งสองปรนนิบัติรับใช้อย่างจริงจัง เด็กสาวชิวสือจึงเอาความคิดไปไว้ที่อื่น ทุกวันนางจะทำตัวเหมือนเทพการข่าวที่เอาเรื่องราวน่าสนใจซึ่งเกิดขึ้นบนเรือคุนในช่วงเวลาที่ผ่านมามาเล่าให้ฟัง ส่วนข้อที่ว่าเฉินผิงอันจะชอบฟังหรือไม่ นางไม่สนใจ จะอย่างไรซะเด็กหนุ่มยากจนจากต้าหลีคนนี้ก็เป็นคนพูดง่ายอยู่แล้ว
เด็กสาวเล่าเสียงเจื้อยแจ้วบอกว่าที่บ่อนการพนันมีหินเดิมพันของคนผู้หนึ่งถูกเจียระไนออกมาเป็นหยกงามที่หาได้ยากยิ่ง เป็นหยกที่สามารถฟักแก่นหยกได้ด้วยตัวเอง พอเอาออกมาแล้วก็ส่องประกายแสงพร่างพราวจับตา อย่างน้อยมีมูลค่าถึงสามหมื่นหยกเกล็ดหิมะ คนผู้นั้นถึงกับรวยเป็นเศรษฐีเลยทีเดียว
ทางฝั่งร้านขายอาวุธของหลิวหน้ากระ เจอกับเศรษฐีสองกลุ่มที่ยอมทุ่มเงินหมดหน้าตัก พวกเขาถูกใจอาวุธชิ้นเดียวกัน และเพราะต้องการเอาชนะกันจึงทำให้ราคาทะยานสูงลิ่ว สุดท้ายคนที่ขึ้นเรือจากท่าเรืออู๋ถงต้าหลีมือเติบมากกว่า ง้าวฟางเทียนฮว่าที่ราคาเดิมคือแปดพันหยกเกล็ดหิมะ กลายเป็นว่าต้องจ่ายไปเกือบสองหมื่นหยกเกล็ดหิมะ นี่ทำให้เด็กสาวทั้งอิจฉาทั้งเสียดาย ใครเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้บ้าง คิดว่าแค่ลมพัดเงินก็งอกขึ้นมาเองหรือไง
และยังมีคนผู้หนึ่งที่ดื่มเหล้าจนเมามายอยู่ในหอซิ่งฮวา เขาร้องไห้คร่ำครวญตะโกนเรียกชื่อแม่นางคนหนึ่ง ทำเอาแขกที่อยู่ใกล้เคียงหนวกหูกันมาก สุดท้ายถูกผู้ดูแลของหอซิ่งฮวาลากตัวออกไปซ้อมหนักๆ หนึ่งรอบ ผลกลับกลายเป็นว่าวันต่อมาเขาก็ไปอีก แต่ไม่กล้าโวยวายอีกแล้ว คราวนี้ไปนั่งยองกินขนมเปี๊ยะอยู่ริมถนนนอกหอซิ่งฮวา เหม่อมองหอสูงซึ่งมีแม่นางที่ตัวเองหลงรักอยู่ด้านใน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบน้ำ จึงถูกกินเข้าไปพร้อมกับขนมเปี๊ยะด้วย
เป็นนักพรตหนุ่มขอบเขตสี่คนหนึ่ง ที่แท้เขาก็ใช้เงินจนเกลี้ยงแล้ว เพราะไปถูกใจหญิงคณิกาคนหนึ่งที่งดงามดุจดอกบัวขาว สองเดือนที่ผ่านมาจึงใช้เวลาหมดไปกับการแสดงความรักความใคร่กับนาง นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เล่าลือกันว่านักพรตคนนั้นเป็นพวกคลั่งรัก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยได้จับมือของหญิงคณิกา นับว่าเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง
ชิวสือพูดจ้อไม่หยุดปาก แถมยังปรุงเสริมเติมแต่ง เล่าได้น่าฟังยิ่งกว่านักเล่านิทานเสียอีก เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันแค่ฟังผ่านหูไปเท่านั้น
ความสนใจของเฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนเรือ แต่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
วันหนึ่งท่ามกลางแสงสายัณห์เรือคุนเจอพายุลมกรดรุนแรง จำเป็นต้องลดระดับความสูงลง เป็นเหตุให้เฉินผิงอันพบว่าบนผืนแผ่นดินแห่งหนึ่งมีกองเพลิงลุกโชติช่วง ควันปืนคลุ้งไปสี่ทิศ กลุ่มควันที่พุ่งตรงสู่กลางอากาศคล้ายหน่ออ่อนของต้นกล้าที่อยู่ในผืนนา ส่ายเอียงบิดเบี้ยวไปตามสายลม ชุนสุ่ยรู้เรื่องวงในของแจกันสมบัติทวีปหลายอย่าง แล้วก็เคยอ่านแผนที่ในห้องหนังสือมาก่อน จึงสามารถให้คำตอบเฉินผิงอันได้อย่างรวดเร็ว ที่แท้นั่นคือสงครามนองเลือดที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นของสองฝ่าย ราชวงศ์ใหญ่สองแห่งที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาหลายรุ่นหลายสมัย หลังจากผ่านการสู้รบยาวนานมาหลายร้อยปี ในที่สุดพวกเขาก็ทุ่มหมดหน้าตัก ดึงพละกำลังทั้งหมดของแคว้นมาใช้ และเรียกระดมผู้ฝึกลมปราณจำนวนมาก
ผ่านศึกครั้งนี้ไป พลังต้นกำเนิดของทั้งสองฝ่ายต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้พื้นที่แถบเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปซึ่งมีสำนักศึกษากวานหูเป็นเส้นแบ่งเขต นอกจากสกุลเกาต้าสุยที่ให้ความสำคัญทั้งบุ๋นและบู๊แล้ว ราชวงศ์อื่นๆ ที่สามารถงัดข้อกับคนป่าเถื่อนสกุลซ่งต้าหลีได้นั้นจะยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ
ชุนสุ่ยมองไปยังผืนแผ่นดินที่สิ่งมีชีวิตไหม้เกรียมเป็นตอตะโกแล้วถอนหายใจอย่างปลงอนิจจังเบาๆ “หากรบกันรุนแรง ไม่แน่ว่าแจกันสมบัติทวีปคงต้องมีซากสมรภูมิรบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง หลายสิบปีให้หลัง รอให้ลมปราณมั่นคงแล้วก็น่าจะมีอริยะของภูเขาเจินอู่หรือไม่ก็ศาลลมหิมะมาเฝ้าบัญชาการณ์ กลายมาเป็นแถบพื้นที่ของสำนักการทหารแห่งใหม่”
เฉินผิงอันคอยมองไปยังพื้นดินที่มีแสงสว่างวูบวาบเป็นระยะ และต่อให้มองจากหอชมทัศนียภาพแห่งนี้ก็ยังเห็นได้ว่าระหว่างนี้มีนักรบเกราะเงินเกราะทองขนาดเท่าเล็บมือกำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์ยักษ์ที่ผุดออกมาจากพื้นดินที่ปริแตก
เฉินผิงอันเดาว่านั่นน่าจะเป็นการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกลมปราณที่มีวิชาอภินิหารติดตัว
นอกจากนี้ยังมีภาพเหตุการณ์อีกมากที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวสมองว่างเปล่า
มีนกกระเรียนเซียนกลุ่มหนึ่งแผดเสียงยาวทะยานขึ้นฟ้ามาอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งโผล่ลอยเหนือทะเลเมฆ พวกมันก็สยายปีกบินไปยังทะเลเมฆตำแหน่งที่สูงกว่า มองดูคล้ายภาพวาดที่เคลื่อนขยับได้
และยังมีห่านป่าจับกลุ่มกันบินมุ่งหน้าไปทางใต้ แล้วก็มีเสาก้อนเมฆที่หมุนคว้างคลอเคล้าไปด้วยเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบ ผู้ฝึกลมปราณบินทะยานมาหยุดอยู่นอกเสาก้อนเมฆ ใช้อาวุธที่ดึงดูดสายฟ้าโดยเฉพาะเก็บสายฟ้าเข้าไปในกระเป๋าตัวเอง และยิ่งมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่โดยสารหลวนดำ (หลวนคือนกในตำนานคล้ายหงส์) ความเร็วในการทะยานกลางอากาศเหนือกว่าเรือคุน เพียงชั่วพริบตาร่างที่เปล่งประกายรัศมีของมันก็หายวับไป
เฉินผิงอันได้ยินว่าเรือคุณมี ‘ร้านส่งจดหมาย’ ที่ใช้กระบี่บินส่งข้อความโดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายจุดพักม้าในโลกมนุษย์ จึงเขียนจดหมายสองฉบับ ไหว้วานให้ชิวสือไปส่งให้ เพราะสิ่งที่เขียนในจดหมายไม่มีความลับอะไร แค่บอกให้คนรับรู้ว่าตัวเองปลอดภัยดี และเล่าเรื่องประหลาดที่รู้มาจากชิวสืออีกเล็กน้อย ต่อให้จะมีใครเปิดอ่านก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าราคาส่งจดหมายแพงมาก จดหมายหนึ่งฉบับที่ส่งไปถึงเมืองหลงเฉวียนต้าหลีต้องใช้หยกเกล็ดหิมะที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันถึงสิบอีแปะ หากเป็นจดหมายที่ส่งไปยังสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็ยิ่งแพง ยี่สิบอีแปะ ทำเอาเฉินผิงอันตกใจจนต้องล้มเลิกความคิดที่จะส่งจดหมายไปให้ทุกคนคนละฉบับทันที ผู้รับจดหมายของต้าหลีคือเว่ยป้อ ส่วนผู้รับจดหมายของสำนักศึกษาต้าสุยก็คือหลี่เป่าผิง แล้วค่อยให้คนทั้งสองนำความในจดหมายไปบอกต่อคนอื่น
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพ ภายใต้การชี้แนะจากชิวสุ่ยเขาจึงค้นพบว่าหอเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ติดกับกำแพงรั้วมีแสงเล็กๆ เปล่งวูบอยู่เป็นระยะ หากไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น ชุนสุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มอย่างอดทนว่า “หนูมีเส้นทางของหนู นกก็มีเส้นทางของนก กระบี่บินส่งจดหมายเองก็เป็นเช่นเดียวกัน บรรยากาศชั้นหนึ่งบนท้องฟ้าเหมาะสำหรับการเดินทางของกระบี่บินมากที่สุด เพราะแรงต้านมีน้อยมาก ต่อให้มีผู้ฝึกลมปราณบุกเบิกช่องทางพิเศษไว้ในความสูงระดับนี้โดยเฉพาะ แต่เมื่อใดที่กระบี่บินส่งข่าวทั่วโลกลอยขึ้นฟ้าก็มักจะมุ่งหน้าไปยัง ‘เส้นทางที่เล็กแคบดุจไส้แกะ’ นี้เสมอ ขอแค่เป็นลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ๆ ล้วนรู้กฎเกณฑ์ข้อนี้ ดังนั้นหากคิดจะบินทะยานกลางอากาศต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้”
ชิวสือเพิ่งกลับมาถึงห้องหนังสือ นางยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตู พูดกลั้วหัวเราะ “ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ฝึกลมปราณนอกรีตที่โง่เง่าเสียเลย บางคนที่เพิ่งจะฝึกบินกลางอากาศได้สำเร็จ คิดอยากจะเป็นนกที่โบยบินอยู่บนฟ้าสูง ผลกลับกลายเป็นว่าทะเล่อทะล่าเข้าไปในเส้นทางนั้น ถูกกระบี่บินรุมฟาดจนหน้าเขียวจมูกบวม นี่ยังถือว่าโชคดีแล้วด้วย หากโชคร้ายก็มีที่ถูกแทงลูกตา ลำคอ ร่วงลงมาจากที่สูง ตายคาที่ กลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งก็มี น่าสงสารจริงๆ”
เฉินผิงอันถามคำถามที่แสดงให้รู้ว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ “บนโลกจะไม่มีใครที่กินอิ่มแล้วว่างงานจนไปขัดขวางการส่งข่าวของกระบี่บินบ้างเลยหรือ?”
ชิวสือพยักหน้ารับ “ต้องมีอยู่แล้ว พวกผู้ฝึกลมปราณที่สมองเลอะเลือนมีเยอะแยะไป เพียงแต่ว่าทางเล็กไส้แกะของกระบี่บินเส้นนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทางเล็กลายเมฆ’ ซึ่งจะมีนักพรตลายเมฆรับผิดชอบจับตามองพื้นที่แห่งนี้โดยเฉพาะ ด้วยหวังว่าจะร่ำรวยเพราะเหตุนี้ พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนโง่มาดักปล้นชิงกลางทาง กระบี่บินส่งจดหมายไม่กี่เล่มมีค่าไม่เท่าไหร่ แต่หากจับโจรได้ก็สามารถจับเป็นตัวประกันรีดไถเงินค่าไถ่สูงเทียมฟ้า หากโจรคนนั้นเป็นพวกยากจนข้นแค้น ก็ไปขอเอาจากราชวงศ์ที่เขาอยู่อาศัย หากเป็นพวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีชื่อในบัญชี อีกทั้งยังไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เพราะถึงอย่างไรก็เสียหายไม่มาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือก็พูดด้วยสีหน้าริษยา “ผู้ฝึกลมปราณที่รับผิดชอบดูแลทางเล็กลายเมฆ แต่ละคนอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์! ทุกครั้งที่คนพวกนี้ขึ้นเรือมา อย่างเลวร้ายที่สุดก็ต้องอยู่อาศัยในห้องระดับกลาง”
ชุนสุ่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อันที่จริงตระกูลเซียนที่สืบทอดต่อกันมานานนับพันปี โดยทั่วไปแล้วก็จะใช้กระบี่บินในการส่งจดหมายเหมือนกัน บนโลกใบนี้มีเวทลับที่ลี้ลับอยู่มากมาย สามารถทำให้คนเหมือนได้พูดคุยกันต่อหน้า ยกตัวอย่างเช่นเหรียญกษาปณ์แม่ลูกคู่หนึ่ง หากเจ้าร่ายเวทลับใส่มัน แล้วค่อยเปิดปากพูด เหรียญกษาปณ์อีกเหรียญที่อยู่ที่อื่นก็จะสั่นและเปล่งเสียงเองโดยอัตโนมัติ อีกฝ่ายก็จะได้ยินไปด้วย”
เฉินผิงอันจุ๊ปากชื่นชม
ชิวสือมองเฉินผิงอันที่ตั้งใจรับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจคิดว่าคนจนแบบนี้ไปสนิทสนมกับเทพขุนเขาเหนือต้าหลีได้อย่างไร? นั่นต้องเหยียบขี้หมากองใหญ่แค่ไหนถึงจะได้? (ภาษาจีนมีคำกล่าวว่าโชคขี้หมาซึ่งแปลว่าโชคดี)
ยังดีที่เฉินผิงอันแม้จะจน ความรู้ตื้นเขินมากคำถาม แต่ไม่เคยเสแสร้งวางท่าว่าตัวเองร่ำรวย นี่จึงทำให้ชิวสือที่มีนิสัยไร้เดียงสารู้สึกดีกับเขา หากไม่มีเงินแต่ยังชอบวางท่า ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่แกล้งทำเป็นว่าเข้าใจ นั่นตั้งหากที่จะทำให้คนสมเพชและรังเกียจ
เมื่อพูดคุยกันนานเข้า สองพี่น้องก็อดพูดถึงกุรุทวีป บ้านเกิดของตัวเองไม่ได้
กุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่อยู่มากมายจนไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้
พลังการสังหารของผู้ฝึกกระบี่นั้นมหาศาล แน่นอนว่าย่อมมีพวกที่เย่อหยิ่งถือดีอยู่มาก ถือดีถึงระดับไหน ยกตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือ นาตยทวีปตั้งอยู่ทางทิศใต้จึงเรียกว่าทักษินาตยทวีป แจกันสมบัติทวีปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกจึงเรียกว่าบุรพแจกันสมบัติทวีป ส่วนกุรุทวีปนั้นเห็นได้ชัดว่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใต้หล้าไพศาล แต่กลับเรียกตัวเองว่าอุตรกุรุทวีป นี่จึงทำให้ธวัลทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนืออย่างแท้จริงเป็นได้แค่ธวัลทวีป ต้องตัดคำว่าอุตรที่บ่งบอกว่าอยู่ทิศเหนือทิ้งไป
ต่อให้เป็นชุนสุ่ยที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน แต่พอพูดถึงกุรุทวีปก็ยังแสดงออกถึงความลำพองภาคภูมิใจ เพียงแต่นางไม่รู้สึกตัวก็เท่านั้น แน่นอนว่าชิวสือก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางชอบพูดว่าอุตรกุรุทวีปของ ‘พวกเรา’ เป็นอย่างไร แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าเป็นอย่างไร ตอนที่เล่าเรื่องพวกนี้ ดวงตาสองข้างของเด็กสาวเต็มไปด้วยประกายแห่งความมีชีวิตชีวาคล้ายนกขมิ้นสีเหลืองที่ลำพองใจในตัวเอง
จากนั้นมีวันหนึ่งในที่สุดเฉินผิงอันก็คิดจะออกไปจากห้องตัวอักษรเทียน
นี่ทำให้ชุนสุ่ยอดยินดีไม่ได้ ชิวสือก็ยิ่งกระโดดโลดเต้นอย่างอารมณ์ดี ปากเอ่ยเรียกคุณชายเฉินคำแล้วคำเล่า แถมยังหันมาคารวะขอบคุณเขาไม่หยุด
จนเฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ที่แท้เป็นเพราะชิวสือนำข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งมาบอกนั่นคือ คืนนี้บนหัวเรือของเรือคุนจะนำแผ่นภาพบุปผาและวิหคที่ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของภูเขาต่าเจี้ยวออกมา มันสามารถทำให้คนมองเห็นภาพที่อยู่ห่างไปไกลนับหมื่นลี้ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่นัก เพราะในค่ำคืนที่มีพายุหิมะตกคืนนั้น เด็กชายชุดเขียวก็เคยตักน้ำมาหนึ่งถ้วย และในม่านน้ำก็ปรากฎภาพเรือนกายของเทพธิดาซูเจี้ยที่กำลังขี่กระบี่ให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันไม่ได้จะไปเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ให้กับตัวเอง แต่เขาจำเป็นต้องไป เพราะบุคคลและเรื่องราวที่แผ่นภาพบุปผาและวิหคจะแสดงออกมาล้วนเกี่ยวข้องกับเขาเฉินผิงอัน
ภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้า ทั้งสองฝ่ายจะเปิดศึกตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการต่อกันครั้งหนึ่ง ข่าวนี้ได้มาอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้ไม่มีลางบอกเหตุ ทำให้คนทั้งแจกันสมบัติทวีปรู้สึกรับมือไม่ถูก
อีกอย่างต่อให้จะเป็นเพียงข่าวเล็กๆ น้อยๆ ที่เล็ดรอดไปทั่วทิศเหนือและใต้ของทวีปก็ยังมากพอจะทำให้คนรู้สึกหนาวเยือกได้แล้ว
สองพรรคผู้ฝึกกระบี่ยิ่งใหญ่ลำดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปส่งตัวผู้ฝึกกระบี่สามรุ่นได้แก่รุ่นเยาว์ วัยกลางคนและวัยชราให้มาเข่นฆ่ากัน
รุ่นเยาว์นั้นแค่แบ่งแพ้ชนะ ไม่ต้องถึงเป็นถึงตาย
รุ่นวัยกลางคนจะแค่แบ่งแพ้ชนะ หรือแบ่งเป็นตายก็ได้ ทุกอย่างต้องดูที่ความต้องการของคู่ต่อสู้สองฝ่าย แต่คนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าหากคนของสองพรรคนี้ปะทะกันนอกภูเขาก็ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเกียรติและศักดิ์ศรีของสำนักแล้ว ด้วยนิสัยของภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้า มีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องมีคนตายเกิดขึ้น
ส่วนบุรพาจารย์สองฝ่ายที่อายุมากที่สุดมีแค่ตัดสินเป็นตายเท่านั้น!
ปราณสังหารท่วมทะยานน่าพรั่นพรึง
ราวกับว่ายังไม่ทันชักกระบี่ก็ทำให้คนที่มารอชมศึกได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแล้ว
และผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของเขาตะวันเที่ยงที่ลงสมรภูมิรบในครั้งนี้ก็คือเทพธิดาซูเจี้ย ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชั้นเยี่ยม
ทางฝ่ายของสวนลมฟ้าก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสวนคนหนึ่ง ชื่อเสียงไม่โด่งดัง สามารถพูดได้ว่าไร้สัญชาติไร้นาม ถึงขั้นเทียบกับหลิวป้าเฉียวศิษย์น้องของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ศึกใหญ่ขั้นสูงสุดซึ่งเป็นที่จับตามองของคนทั้งทวีปครั้งนี้ มีหรือที่สวนลมฟ้าจะทำเป็นเล่นได้?
เฉินผิงอันพาพวกนางเดินลงจากหอเรือน มุ่งหน้าไปทางหัวเรือ
แผ่นภาพบุปผาและวิหคที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของภูเขาต่าเจี้ยวมีสัตว์ปีกที่วาดด้วยน้ำหมึกเสมือนมีชีวิตจริงบินไปบินมาอยู่บนภาพวาด อีกทั้งพวกมันยังส่งเสียงใสกังวาน เมื่อม้วนภาพถูกคลี่ออกมาอย่างเต็มที่แล้วแขวนไว้กลางอากาศสูงบนหัวเรือจะยาวถึงห้าหกจั้ง กว้างสองจั้ง มองใกล้ๆ จะเป็นภาพที่ใหญ่โตมหึมา แต่หากมองไกลๆ จากหอสูง ต่อให้บนเรือจะมีผู้ฝึกลมปราณอยู่มากมายก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็ยังคงรู้สึกว่าไม่สาแก่ใจมากพอ
ที่ไม่สาก็ใจก็เพราะผู้ฝึกกระบี่ชักกระบี่รวดเร็วเหมือนฟ้าแลบ ริ้วกระเพื่อมแผ่วเบาดุจเส้นผม แต่กลับมีน้ำหนักนับหมื่นชั่ง
ปราณกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่จะสลายหายไปในชั่วพริบตา แน่นอนว่าหากได้ชมใกล้ๆ ย่อมเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า
ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งชมจึงมีการแบ่งระดับ คนในเรือนพักเดี่ยวสามแห่งจะได้ตำแหน่งที่นั่งแถวแรก ไม่เพียงแต่มีผลไม้และของว่างจัดเตรียมไว้ให้ ทางเรือยังจะส่งสาวใช้หน้าตางดงามที่ผ่านการอบรมปลูกฝังมาอย่างดี รวมไปถึงราชินีร้อยบุปผาของหอซิ่งฮวาอีกหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้ ส่วนข้อที่ว่าคนของสามกลุ่มนั้นจะรับน้ำใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถัดมาก็เป็นแขกเรือนอักษรตัวเทียนอย่างเฉินผิงอัน หากเขาอารมณ์ดีก็สามารถพาสาวใช้ไปด้วยได้ แต่หากต้องการไปเพียงลำพังก็ย่อมไม่มีปัญหา
เพราะไม่สามารถร่ายใช้เวทคาถาได้โดยพลการ อีกทั้งจะลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ยิ่งไม่สมควร ใครก็อยากอยู่ในมุมสูงเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน แต่เป็นแบบนั้นจะยิ่งวุ่นวาย ไม่แน่ว่าอาจเกิดปัญหาอีกมากตามมา ดังนั้นทางเรือจึงสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้แขกควบคุมลมทะยานกลางอากาศ และห้ามต่อรองอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นคนส่วนใหญ่บนเรือจึงมักจะยกเก้าอี้หรือม้านั่งออกมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ต่างจากการที่พวกชาวบ้านร้านตลาดมาร่วมความครึกครื้นในงานวัดสักเท่าไหร่
—–