กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 210.2 ภูเขาและแม่น้ำบรรจบคือการได้พบกันอีกครั้ง
ชุนสุ่ยและชิวสือต่างก็อายุไม่มาก แต่กลับคุ้นเคยกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีผู้ดูแลช่วยเปิดทางให้ พวกเขาจึงเดินไปถึงที่นั่งได้อย่างราบรื่น และตำแหน่งที่นั่งก็ดีเยี่ยม
เป็นเหตุให้สายตาอยากรู้อยากเห็นมากมายพากันมองมาทางเด็กหนุ่มรองเท้าแตะหน้าตาไม่โดดเด่น
หรือว่านี่คือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่นิสัยอ่อนโยน ชอบแต่งตัวเป็นคนจน?
ไม่อย่างนั้นเจ้าสวมรองเท้าแตะแบบนี้คิดจะลงไปถอนหญ้าหรือปลูกข้าวในนากันล่ะ?
เก้าอี้ใหญ่ไม้จื่อถานสามตัว ระหว่างเก้าอี้สองตัวมีโต๊ะวางกาน้ำชาหนึ่งใบ ด้านบนวางชามีชื่อเสียงที่ผลิตเฉพาะในกุรุทวีปซึ่งมีชื่อว่าลิ้นนกกระจอกขม ไม่ต้องใช้น้ำพุต้ม หยิบเข้าปากเคี้ยวได้สดๆ เลย รสชาติแรกเริ่มจะฝาด จากนั้นจะค่อยๆ ขม ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปก็จะเปลี่ยนรสไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งหวานหอมและสดชื่นเหนือกว่าน้ำชาทั่วไป ดังนั้นจึงถูกเรียกล้อเลียนว่า ‘ชาหอมครึ่งก้านธูป’
ศึกใหญ่ยังไม่เปิดฉาก คนทั้งสามนั่งว่างไม่มีอะไรทำ ชุนสุ่ยจึงหันมาอธิบายความมหัศจรรย์ของใบชานี้ให้เฉินผิงอันฟัง
ที่แท้วัตถุชนิดนี้ก็สามารถทำความสะอาดตับชำระล้างดวงตาให้ใสสะอาดได้ เป็นที่ชื่นชอบของตระกูลชนชั้นสูงในสามทวีป พวกบัณฑิตมากความรู้และนักกวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงชอบมอบชาวิเศษชนิดนี้ให้กันมากที่สุด เป็นเหตุให้ราชวงศ์ในโลกมนุษย์บางส่วนที่นิยมชมชอบการดื่มชาใช้ชาชนิดนี้มาเป็นสินบน ทว่าการติดสินบนแต่ละครั้งไม่ได้ใช้ลิ้นนกกระจอกขมแค่หนึ่งจินหรือครึ่งจินเท่านั้น แต่ต้องมอบให้เป็นของขวัญกล่องใหญ่ ส่วนขุนนางที่ถูกลดขั้น เวลาที่สหายมาส่งเดินทางก็ยิ่งต้องยอมหุบหม้อขายเหล็กเพื่อซื้อลิ้นนกกระจอกขมมามอบให้ เพราะมันมีความหมายแฝงที่งดงามว่า ‘เมื่อความขมขื่นหมดไป ความหวานชื่นจะมาเยือน’
นอกจากนี้ยังมีขนมหน้าตางดงามและผลไม้วิเศษหลากหลายสีสัน ราคาไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับลิ้นนกกระจอกขมที่หาได้ยากแล้วจึงด้อยกว่ามาก
ความสัมพันธ์ระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขาแนบแน่นกว่าที่เฉินผิงอันคิดไว้มาก ระหว่างทั้งสองฝ่ายอาจมีร่องลึกอันเป็นปราการธรรมชาติกั้นขวาง แต่เมื่อสร้างสะพานเชื่อมโยงกันไว้ การไปมาหาสู่กันในแต่ละครั้งจึงล้วนนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาล
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดจากชุนส่ยพลางสำรวจรอบด้านอย่างไม่กระโตกกระตาก หลักๆ แล้วคือแขกสามกลุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นคนมีเงินในกลุ่มเทพเซียนบนภูเขาอีกที
เรือข้ามทวีปลำนี้เดินทางมาจากกุรุทวีป แม้ว่าจะมีคนที่หวังมาทำการค้าระหว่างทาง แต่คนส่วนใหญ่แล้วก็ยังเป็นคนของกุรุทวีป เพราะต่อให้จะเป็นเด็กน้อยก็ยังแต่งกายแบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากพกกระบี่ยาวมาเป็นกระบี่สั้นเท่านั้น
และไม่ว่าจะเป็นสตรี เด็กหรือคนชรา ขอแค่เป็นคนที่พกกระบี่ก็ล้วนไม่มีใครแต่งตัวฉูดฉาดเยอะเกินความจำเป็น ฝักกระบี่ไม่มีอัญมณีหายากฝังเลื่อม ยิ่งไม่มีพู่กระบี่งดงามคอยแกว่งไกว
ด้านหน้าของเฉินผิงอันก็คือครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วที่ตัวสูงมากนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน หลังตรงอกตั้ง แม้ว่าหน้าตาจะไม่ถือเป็นสาวงาม แต่พลังอำนาจกลับเฉียบขาดบีบคั้น นางมักจะชอบเม้มปาก หรี่ตามองสังเกตผู้คน
ข้างกายนางคือบุรุษท่าทางสุภาพกระตือรือร้น หน้าตาของเขาหล่อเหลา แต่หากพูดกับสตรีแต่งงานแล้วเมื่อไหร่ เขาจะต้องคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า โค้งตัวลงต่ำ ไม่เหมือนคนเป็นประมุขของครอบครัว หากไม่เป็นเพราะตำแหน่งที่นั่งไม่อาจหลอกใครได้ เขากลับดูเหมือนชายบำเรอที่ประมุขหญิงเจ้าสำราญเลี้ยงดูไว้เป็นการส่วนตัวซะมากกว่า
ในอ้อมอกเขาอุ้มเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบ หน้าตาเหมือนบุรุษ หล่อเหลาดุจหยกสลัก แต่ท่าทางถอดสตรีแต่งงานแล้วมาทุกกระเบียดนิ้ว จึงไม่ได้ดูน่ารักน่าเอ็นดูสักเท่าไหร่
หญิงชราที่มีผิวหนังเหี่ยวย่น คือหมัวมัวผู้สั่งสอนกฎระเบียบของตระกูล ข้างกายมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางเย็นชาไม่ต่างจากตัวหญิงชราเอง
และยังมีชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของสตรีแต่งงานแล้ว บางครั้งที่หันหน้ามามองบุรุษผู้มีท่าทีกระตือรือร้น มุมปากจะยกยิ้มดูแคลน หากประสานสายตากับเขา ชายวัยกลางคนก็ไม่เพียงแต่ไม่ปกปิดแววดูหมิ่นเหยียดหยาม กลับยิ่งฉีกปากกว้างขึ้น แถมบุรุษที่มีสถานะเป็นประมุขของตระกูลผู้นั้นยังผงกศีรษะคลี่ยิ้มรับเขาอย่างยินดีด้วย
เฉินผิงอันอาศัยโอกาสที่รอชมม้วนภาพวาดนั้นเก็บทุกรายละเอียดเข้าสู่สายตา
ชิวสือจ้องเป๋งมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ แต่ไม่นานก็ถูกชุนสุ่ยหยิกแขน คาดไม่ถึงว่าชายร่างสูงใหญ่คนนั้นจะเอนตัวมาด้านหลัง หันหน้ากลับมา ยิ้มเสแสร้งเผยให้เห็นฟันเรียงตัวขาวสะอาด ทำเอาชิวสือตกใจรีบก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หลังจากบุรุษหันหน้ากลับไป ชุนสุ่ยก็กระทืบเท้าชิวสือแรงๆ อย่างโมโห ฝ่ายหลังเจ็บจนสูดลมเข้าปากเฮือกใหญ่ หันมามองพี่สาวด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
ทางฝั่งซ้ายสุดคือผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อที่นั่งอยู่เพียงลำพัง บนศีรษะของเขาสวมหมวกขนเตียวเก่าแก่ เขาถอดรองเท้าหุ้มแข้งยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ลักษณะค่อนข้างน่าขัน
ทางฝั่งขวาคือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคน ดูแล้วน่าจะอายุไม่มาก ประมาณยี่สิบต้นๆ ส่วนอายุที่แท้จริงนั้นคือเท่าไหร่ก็บอกได้ยาก
ชายหนุ่มวางกระบี่ไว้บนหัวเข่า ตบฝักกระบี่เบาๆ
หญิงสาวนอกจากจะห้อยกระบี่เล่มยาวแล้ว ตรงมวยผมของนางไม่ได้ปักปิ่นมุก กลับปักกระบี่เล็กๆ ไร้คมเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าตรงด้ามกระบี่มีไข่มุกสีหิมะขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งห้อยลงมา เปล่งประกายแสงแจ่มจ้า
นี่ไม่เท่ากับป่าวประกาศแก่ใต้หล้าอย่างชัดเจนหรือว่า บนร่างข้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่?
คงเป็นเพราะยอดฝีมือมีความกล้าหาญสูงกระมัง เฉินผิงอันได้แต่เข้าใจเช่นนี้
สรุปก็คือคนสามกลุ่มที่ยึดครองตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุด ไม่มีใครที่ดูเข้ากับคนง่ายสักกลุ่มเดียว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กลั้นลมหายใจทำสมาธิ สายตามองไปทางม้วนภาพวาดตาไม่กะพริบ
วานรย้ายภูเขาขุนเขาตะวันเที่ยง คือหนึ่งในศัตรูของเขา
และนั่นยังเป็นศัตรูคู่แค้นที่จำเป็นต้องล้างแค้นให้ได้ด้วย
หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าก็ถือว่าเป็นคนรู้จักเก่า และดูเหมือนเขาจะชอบเทพธิดาซูเจี้ยของเขาตะวันเที่ยงด้วย ตอนนั้นแม่นางหนิงยังถามคำถามหนึ่งที่ทำให้หลิวป้าเฉียวลำบากใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ จู่ๆ เขาก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาจึงเปิดปากบอกให้ชุนสุ่ยและชิวสือกินใบชาลิ้นนกกระจอกขมนั่น
ทว่าคราวนี้แม้แต่ชิวสือก็ยังส่ายหน้าอย่างแรง
ชุนสุ่ยชี้ไปยังผู้ดูแลเรือคุนที่ยืนอยู่นอกวงด้านหน้าเงียบๆ เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันทีจึงถามว่า “ข้าเอาส่วนหนึ่งกลับไปได้ไหม? หรือว่าต้องนั่งกินที่นี่เท่านั้น?”
ชุนสุ่ยหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “คุณชาย เอากลับไปได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครทำอย่างนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง แล้วหยิบใบชาสองสามใบเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างเปิดเผย ก่อนจะเพิ่มระดับน้ำเสียงเล็กน้อย “ใบชาที่ดีขนาดนี้ ข้าต้องเอากลับไปเคี้ยวช้าๆ ตั้งใจกินที่ห้องสักหน่อย”
จากนั้นเฉินผิงกันก็รอให้สงครามใหญ่ครั้งนั้นมาถึงเงียบๆ
เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง ในทะเลสาบหัวใจกลับมีน้ำเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเขา “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันคิดจะกวาดตามองไปรอบด้านตามจิตใต้สำนึก แต่ว่าไม่นานก็ข่มกลั้นความวู่วามนี้ลงไปได้ เขาที่ความทรงจำดีเลิศนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นที่อยู่บนหินหลังควายของบ้านเกิด ครั้งแรกที่พบกันเฉินผิงอันก็รู้สึกว่านางกับสหายที่อยู่ข้างกายคล้ายคู่เทพเซียนที่จับมือกันเดินออกมาจากภาพวาด กุมารทองกุมารีหยก คู่เทพเซียนที่งดงาม
นางน่าจะชื่อว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียง
นี่คือแม่ชีเทพธิดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสำนักโองการเทพ อีกทั้งยังเป็นเทพธิดาที่เด็กชายชุดเขียวนิยมชมชอบมากที่สุด ชอบยิ่งกว่าซูเจี้ย เขาเคยพูดจาเหลวไหลกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า หากมีโอกาสได้ลูบมือเทพธิดาเฮ้อ ต่อให้ถูกหักอายุขัยไปร้อยปี เขาก็ไม่ลังเลเลย
เสียงนั้นดังขึ้นในหัวใจของเฉินผิงอันอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนอีกครั้ง “เจ้ากลับมาที่ห้องตอนนี้ได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา เวลาปกติมีคนอยู่มากมาย ข้าจึงได้แต่อาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยกับเจ้า
เฉินผิงอันชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ปรายตามองไปยังน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ตรงเอวแล้วตอบไปในใจ “ตกลง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน บอกกับชุนสุ่ยว่าจะกลับไปที่ห้องสักหน่อย ไปไม่นานเดี๋ยวกลับมา
ชุนสุ่ยคิดจะช่วยนำทางให้ เฉินผิงอันบอกยิ้มๆ ว่าไม่ต้อง ระยะทางสั้นๆ แค่นี้ เขาไม่หลงทางได้หรอก
เฉินผิงอันรับกุญแจมาจากมือของนางแล้วเดินออกจากกลุ่มคนอย่างเงียบเชียบ
……
ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายที่นั่งกันบนเก้าอี้
ด้านหลังสุดมีนักพรตสะพายกระบี่ไม้ไหวท่าทางเซื่องซึมคนหนึ่งยืนอยู่ เขาไม่มีแรงไปแย่งชิงที่นั่งกับใคร อีกทั้งยังมีนิสัยขี้อายไม่ชอบแก่งแย่งชิงดี จึงได้แต่ยืนเหม่อลอยอยู่ด้านหลังสุดอย่างทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้น ในมือเขาก็ถือม้านั่งตัวหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่พบว่าบนม้านั่งยาวที่เรียงซ้อนกันหลายชั้นมีแขกยืนอยู่เต็มแล้ว อีกทั้งบนไหล่บางคนยังมีเด็กนั่งขี่คอ ต่อให้เขาขึ้นไปยืนบนม้านั่งก็ยังมองเห็นภาพเหตุการณ์ในม้วนภาพนั่นไม่ได้อยู่ดี
เขาก็แค่เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามมาได้ไม่นาน อยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงระดับสูดลมดื่มน้ำค้าง ไม่ต้องกินอาหารอย่างห้าขอบเขตกลาง เรือคุนเดินทางจากกุรุทวีปมุ่งหน้าลงใต้ ระยะทางยาวไกล คิดจะลงจากเรือยังยาก มีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตย์ของห้าขอบเขตกลางเท่านั้นถึงพอจะบังคับลมบินทะยานได้ และหากคิดจะกระโดดลงจากเรือคุน บังคับลมพลิ้วกายลงบนพื้นได้อย่างสง่างาม เกรงว่าต่อให้เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรก็ยังทำไม่ได้ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตแปดประตูมังกรเท่านั้นถึงจะไม่ถูกฟ้าดินพันธนาการ สามารถทะยานไปตามลมได้ตามความหมายที่แท้จริง
และการที่เขาพบเจอกับความลำบากยากแค้นในการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ก็เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างหนึ่ง หนึ่งเพราะเขาดันบุ่มบ่ามซื้อยันต์สองแผ่นที่แพงเกินไปสำหรับเขา สองก็เพราะเขาได้ไข่มุกเม็ดหนึ่งมาจากการกำจัดปีศาจปราบมารซึ่งเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาอย่างยากลำบาก เดิมคิดจะเอามาขายในราคาที่ยุติธรรม คาดไม่ถึงว่าพอมาถึงบนเรือคุนกลับไม่ได้ราคาอย่างที่คิดเอาไว้ ร้านเต็มใจซื้อ แต่ให้ราคาต่ำมาก เดิมทีนักพรตหนุ่มคิดว่าจะอาศัยรายได้ก้อนนี้พาตัวเองหลุดพ้นไปจากสภาพยากแค้น หากมีเงินเหลือก็ไม่แน่ว่าอาจจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้อีกนิด ได้อาศัยอยู่ในห้องระดับกลางสักห้อง
สมกับคำว่าคนทำนายไม่สู้สวรรค์คำนวณจริงๆ
เงินทำให้วีรบุรุษลำบากตายได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขานับเป็นวีรบุรุษไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นแค่แมลงน่าสงสารที่ใจคิดแต่จะกำจัดปีศาจปราบมาร ทว่าเรื่องจริงไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจหวังก็เท่านั้น
‘เทพาจารย์ตระกูลจาง’ ที่แท้จริงมีหรือจะเก็บเงินคนอื่น รับปากคนเขาว่าจะไปจับปีศาจ แต่กลับทำร้ายให้ครอบครัวที่แข็งแรงมั่นคงครอบครัวหนึ่งกลายมาเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด?
เด็กน้อยสองคนของครอบครัวนั้นที่รอดชีวิตมาได้ยังไม่รู้ประสา ไม่โทษที่ความสามารถของเขามีไม่มากพอ แต่นักพรตหนุ่มกลับโทษตัวเอง
พอคิดถึงเรื่องนี้นักพรตหนุ่มที่กรอบตาแดงก่ำก็วางม้านั่งลง ทรุดตัวนั่งลงไปบนนั้น สองมือวางทาบไว้บนหัวเข่า สีหน้าของนักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ไหวเลื่อนลอยเล็กน้อย เขาพลันรู้สึกว่าตอนแรกที่ตนสละตำแหน่งเคอจวี่ ด้วยใจคิดหวังอยากจะฝึกตนเป็นเซียน สุดท้ายกราบอาจารย์เล่าเรียนวิชา ฝีมือยังไม่แกร่งกล้าก็รีบร้อนลงจากภูเขา เพราะคิดจะกำจัดปีศาจและมารร้ายให้สิ้นซาก แท้จริงแล้วเขาผิดมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยใช่หรือไม่?
นึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดหัวใจ นักพรตหนุ่มที่ละอายใจเกินทนก็ตาแดงก่ำ ยกมือขึ้นกำเป็นหมัดทุบลงบนหัวใจตัวเองเบาๆ ราวกับว่าทำแบบนี้ถึงจะอาการดีขึ้น
แต่แล้วเขาก็พบว่าด้านหน้ามีมือข้างหนึ่งยื่นมา บนมือคือหยกพกงดงามที่สลักว่า ‘อักษรตัวเทียนภูเขาต่าเจี้ยว’ เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่แม้จะดำเกรียม แต่กลับซื่อตรง คนผู้นั้นเอ่ยยิ้มๆ “ข้าอาศัยอยู่ในห้องอักษรตัวเทียน หากเจ้าอยากจะเข้าไปดูม้วนภาพ ข้าก็ให้เจ้ายืมใช้ได้ ไปแถวที่สอง แล้วถามหาแม่นางที่ชื่อชุนสุ่ยกับชิวสือก็ได้แล้ว บอกพวกนางว่า…เจ้าคือเพื่อนของข้าเฉินผิงอัน พวกนางหาตัวไม่ยากหรอก เพราะเป็นพี่น้องฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันมาก”
นักพรตหนุ่มอ้าปากค้าง เหม่อลอยอย่างทึ่มทื่อ
เฉินผิงอันยัดหยกพกใส่หน้าอกของเขา หมุนตัววิ่งเหยาะๆ จากไป ก่อนจะหันมาเอ่ยยิ้มๆ “เข้าไปนั่งตรงนั้นแล้วอย่าลืมเอามาคืนข้าด้วยล่ะ”
เฉินผิงอันวิ่งไปคิดไป นักพรตหนุ่มคนนี้คิดมากเกินไปแล้ว ก็แค่ไม่มีวิธีให้ดูภาพเหตุการณ์ในม้วนภาพวิหคและบุปผาอย่างชัดเจนก็เท่านั้น จำเป็นต้องเสียใจขนาดนี้ด้วยหรือ? ทำเอาเฉินผิงอันที่ผ่านทางมาเห็นเข้าพอดีอึ้งตะลึง บุรุษตัวโตขนาดนี้กลับถึงขั้นหลั่งน้ำตา หรือจะเป็นพวกคนที่ชื่นชอบเทพธิดาซูเจี้ยเหมือนหลิวป้าเฉียวกับเด็กชายชุดเขียว?
แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่เฉินผิงอันมอบป้ายหยกให้อีกฝ่าย
เฉินผิงอันแค่คิดถึงตอนที่ตัวเองอายุห้าขวบ ยามพลบค่ำของฤดูหนาววันนั้น เขาที่เดินผ่านประตูบ้านแต่ละหลังในตรอกหนีผิงซึ่งปิดสนิทรอบแล้วรอบเล่าก็แอบร้องไห้แบบนี้เหมือนกัน
จะอย่างไรซะทุกคนก็ล้วนอยู่บนเรือ นักพรตที่มองดูแล้วยากจนยิ่งกว่าตนหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ป้ายหยกหายไปจริงๆ อย่างมากก็แค่จดไว้ในบัญชีของเว่ยป้อก่อนชั่วคราว คราวหน้าเขาค่อยคืนเงินให้กับเว่ยป้อ เชื่อว่าในเมื่อภูเขาต่าเจี้ยวให้เกียรติเขามากขนาดนั้นก็น่าจะไม่ถือสากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้
หากไม่ได้จริงๆ ใน ‘สืออู่’ วัตถุฟางชุ่นของเขาเฉินผิงอันก็ยังมีเงิน!
……
ในห้องพักที่เฉินผิงอันมาอาศัยอยู่ชั่วคราวมีหญิงสาวสวมชุดคลุมเต๋าตัวหลวมคนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ กำลังพลิกเปิดกระดาษแต่ละแผ่นที่เขียนตัวอักษรแบบบรรจงไว้เต็มหน้า
ดวงหน้าของนางงดงามอย่างถึงที่สุด
แม่ชีสาวใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งพลิกหน้ากระดาษ สีหน้าเกียจคร้าน
บางทีอาจเป็นเวลาเช่นนี้ของหญิงสาวที่ทำให้เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะหวั่นไหวได้มากที่สุด ถึงทำให้เซียนกระบี่ที่หนุ่มที่สุดของแจกันสมบัติทวีปดื่มเหล้าหมักชั้นยอดหมดไปแล้วหนึ่งไหก็ยังดื่มเหล้าร้อนแรงตามอีกหนึ่งไห แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจคลายความทุกข์ระทม อาศัยเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ทุกข์จนเซียนกระบี่ผู้สง่างามที่เดินทางไปทั่วยุทภพ เห็นภูเขาและแม่น้ำมาจนหมดสิ้นร้าวรานปานจะขาดใจ
—–