กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 211.1 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน
นักพรตหนุ่มกำแผ่นหยกด้วยฝ่ามือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาเบียดกลุ่มคนเนืองแน่นเข้าไปจนเกิดเสียงด่าตามหลังมาตลอดทาง พอผู้ดูแลของภูเขาต่าเจี้ยวที่ยืนอยู่ใกล้กับตำแหน่งห้องพักอักษรตัวเทียนหันมาเห็นว่าเป็นชายท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่งก็ตีหน้าเคร่ง เตรียมจะออกเสียงตวาดใส่ แต่กลับเห็นว่าคนหนุ่มแบมือ เผยให้เห็นแผ่นหยกงดงามที่สลักว่าห้องอักษรตัวเทียนระดับหนึ่ง ผู้ดูแลก็รีบเผยสีหน้าปิติยินดี เอ่ยถามเบาๆ ว่า “เป็นแขกที่พักอยู่ในห้องระดับหนึ่งใช่หรือไม่?”
เพราะเกินครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ คนบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวต่างก็พอจะรู้หน้าตาของแขกสูงศักดิ์ในห้องอักษรตัวเทียนคร่าวๆ แล้ว ผู้ดูแลถึงได้ถามเช่นนี้
นักพรตหนุ่มปลุกความกล้าตอบไปว่า “นักพรตน้อยจางซาน ครั้งนี้เดินทางมาเพื่อหาประสบการณ์ แม้ว่าจะเป็นสายที่ห่างไกลจากสกุลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนักพรตเต๋าของสำนักชิงฉือสำนักลำดับล่างของภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งกุรุทวีปที่ยังไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างเป็นทางการ เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องพักระดับหนึ่งนั้นคือ…เพื่อนของข้า เนื่องจากมีธุระติดพันจึงมาถึงช้า นี่ก็กำลังจะเข้าไปหาแม่นางชุนสุ่ยกับแม่นางชิวสือ”
พอหลุดประโยคนี้ออกไป คนหนุ่มก็รู้สึกเสียใจทันที เขาคิดว่าตัวเองวู่วามและหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ควรรับแผ่นหยกมาแล้วไม่รู้จักดีชั่ว คนหนุ่มเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนรอบคอบ นิสัยสุขุมเก็บตัว เวลาใคร่ครวญถึงปัญหาชอบขบคิดอย่างลึกซึ้ง แต่จู่ๆ กลับขาดสติขึ้นมา เขารู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะเป็นแบบนี้กับทุกเรื่อง เล่าเรียนวิชาก็เพราะความใจร้อน กำจัดปีศาจปราบมารก็ใช้อารมณ์เป็นหลัก ตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ในขณะที่คนหนุ่มสะพายกระบี่ไม้ท้อกำลังเจ็บใจตัวเองและหวาดผวาอยู่นั้น ผู้ดูแลคนนั้นกลับวางใจลงได้ รอยยิ้มจึงกว้างมากขึ้น เขาเบี่ยงตัวผายมือบอกนักพรตหนุ่มให้เดินหน้าต่อ ผู้ดูแลวัยกลางคนยังพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เชิญจางเซียนซือตามข้ามา”
หลังจากนั้นก็มาถึงที่นั่ง เมื่อรับรู้สถานการณ์แล้ว ชุนสุ่ยจึงเป็นฝ่ายสละเก้าอี้ให้ ภูเขาต่าเจี้ยวยกเก้าอี้ไม้จื่อถานมาเพิ่มให้อีกตัว นักพรตหนุ่มทรุดตัวลงนั่งแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป
เนื่องจากสาวใช้เรือนกายอวบอิ่มผู้นั้นเพิ่งจะลุกไปจากเก้าอี้ พอเขานั่งลงไปจึงยังสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่หลงเหลืออยู่ นี่ทำให้นักพรตหนุ่มนั่งไม่เป็นสุข เขาที่เป็นคนหน้าบางมากถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบขยับก้นไปนั่งริมขอบเก้าอี้ ราวกับว่าหากตัวเองไม่ทำเช่นนี้จะเป็นการล่วงเกินแม่นางคนนั้น
ชิวสือเห็นภาพนี้แล้วก็แอบยิ้ม
แม้ชุนสุ่ยจะรู้สึกแปลกใจว่าเฉินผิงอันไปข้องเกี่ยวกับนักพรตตกต่ำคนนี้ได้อย่างไร ทว่านางไม่ได้เผยความคิดใดๆ ออกมาทางสีหน้า ขยับมานั่งบนเก้าอี้ตัวใหม่ที่วางไว้ข้างกายนักพรตหนุ่ม ในฐานะสาวใช้ที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนใหญ่ ย่อมเรียนรู้วิชาการสังเกตสีหน้าน้ำเสียงของผู้คนมาก่อน ในเมื่อชิวสือมองออก ชุนสุ่ยก็ยิ่งไม่มีทางพลาด นางเม้มปากเล็กน้อย อดเอานักพรตที่มีความเกี่ยวข้องกับภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างเลือนรางซึ่งมักจะเห็นบ่อยๆ เวลาไปยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพผู้นี้มาเปรียบเทียบกับแขกอย่างเฉินผิงอันไม่ได้ เป็นคนยากจนที่ขึ้นเรือออกเดินทางไกลมาเหมือนกัน เพิ่งเคยเห็นโลกกว้างเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เฉินผิงอันที่อายุน้อยกว่ากลับเปิดเผยตรงไปตรงมากว่ามาก ไม่มีทางที่จะรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายเช่นนี้
นักพรตหนุ่มที่กำลังนั่งไม่เป็นสุขพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบหันตัวยื่นแผ่นหยกส่งให้ “แม่นาง นี่คือแผ่นหยกของเฉินผิงอัน คืนให้เจ้า”
ชุนสุ่ยไม่ได้รับแผ่นหยกนั้นมาโดยพลการ เพียงตอบเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายเฉินไปแล้วเดี๋ยวก็กลับมา รบกวนจางเซียนซือคืนให้เขาเองเถิด”
ถูกดวงตาประกายน้ำคู่นั้นของชุนสุ่ยจ้องมองในระยะประชิด นักพรตสะพายไม้ท้อก็หน้าแดงผิดไปจากปกติอีกครั้ง เขาดึงมือกลับมาขลาดๆ ไม่มีมาดของเซียนซือผู้ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย
นักพรตหนุ่มรู้สึกหิวน้ำมาก น่าเสียดายที่เห็นเพียงใบชาหนึ่งจาน ไม่มีน้ำชา แล้วก็ไม่กล้าจะเปิดปากขอ จึงได้แต่ทนเอาไว้
ชิวสือที่รู้สึกว่านักพรตหนุ่มคนนี้ตลกดีหยิบเอาชาลิ้นนกกระจอกขมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง วางไว้ในปากแล้วเอ่ยเย้าว่า “จางเซียนซือ ใบชานี้กินอย่างนี้ ไม่ต้องใช้ไฟต้มน้ำให้ยุ่งยาก”
ชุนสุ่ยรู้สึกระอาใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้นางไม่สะดวกจะสั่งสอนน้องสาวที่บุ่มบ่ามไร้มารยาท
เพราะนางรู้ดียิ่งนักว่า หากเจอกับคนที่จิตใจคับแคบ ย่อมต้องอาฆาตแค้นแน่นอน
ยังดีที่นักพรตหนุ่มมีนิสัยอ่อนโยน เขาเพียงแต่หน้าแดงก่ำ ใช้นิ้วคีบใบชาขึ้นมาสองใบ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
จากนั้นสีหน้าของนักพรตหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย
เหมือนกับเด็กน้อยที่ได้กินส้มเปรี้ยวหรือหวงเหลียน (หนึ่งในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด) เป็นครั้งแรก รสชาติที่สัมผัสทำให้แทบจะสั่นเยือกไปทั้งตัว
ชิวสือปิดปากหัวเราะคิก แกล้งนักพรตหนุ่มคนนี้สนุกจริงๆ
ชุนสุ่ยกลับรู้สึกแปลกใจ
นักพรตหนุ่มเปิดเผยรายละเอียดอย่างหนึ่งโดยบังเอิญ สองนิ้วคีบหยิบวัตถุ นิ้วชี้อยู่ด้านล่าง นิ้วกลางอยู่ด้านบน เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางของคนที่คีบเม็ดหมากเป็นประจำถึงทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
หากเป็นผู้ฝึกลมปราณระดับต่ำที่มาจากสำนักยากจน เกรงว่าแม้แต่โอกาสจะได้เห็นกระดานหมากล้อมสักครั้งก็คงไม่มี เพราะอย่างไรซะพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดก็ล้วนเป็นวิชาที่คนมีเงินเท่านั้นถึงได้เล่าเรียน ต่อให้กลายเป็นคนบนภูเขาแล้ว แต่เรื่องอย่างการเล่นหมากล้อมนี้พิถิพิถันในด้านการรวบรวมสมาธิมากที่สุด อีกทั้งยังลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้ง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งหากไม่เพราะชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กก็ไม่มีทางแบ่งสมาธิไปเรียนเด็ดขาด ต้องเลือกให้ได้ว่าใช้งานอดิเรกที่ตัวเองชื่นชอบมาผ่อนคลายจิตใจนั้นสำคัญกว่า หรือฝึกตนให้ตบะเพิ่มพูนเหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวันที่สำคัญยิ่งกว่า?
เห็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจถึงสถานการณ์ ชุนสุ่ยกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันที่พักอยู่ในห้องอักษรตัวเทียนเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากตรอกยากจน แต่กลับสามารถฝึกหมัดมองทะเลเมฆอยู่บนหอชมทัศนียภาพได้ทุกวัน
ส่วนนักพรตหนุ่มขี้อายคนนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมานานหลายปี ชาติกำเนิดน่าจะไม่แย่นัก น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่บนภูเขาซึ่งมีเทพเซียนรวมตัวกันกลับยังไม่มากพอ สุดท้ายจึงได้แต่เดินเล่นอยู่บนดาดฟ้าเรือคุนทุกวัน
ชุนสุ่ยหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าเด็กชายที่บุรุษขี้ขลาดอุ้มไว้ในอ้อมอกซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าหันมายิ้มให้นาง
ชุนสุ่ยจึงยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไปตามมารยาท
นางคิดว่าการทดสอบใหญ่ครั้งแรกในใต้หล้าแห่งนี้คงจะเป็นการเลือกครรภ์มาเกิดกระมัง?
แต่เด็กชายกลับคิดว่า พี่สาวน้อยที่งดงามขนาดนี้น่าซื้อกลับไปเป็นสาวใช้ประจำกายของตนจริงๆ เวลาเปิดหนังสืออ่านในหน้าหนาวจนมือเย็นก็ให้นางกุมมือให้อุ่น
เด็กชายที่หน้าตาเหมือนบิดากระตุกชายแขนเสื้อของสตรีแต่งงานแล้ว แม้ว่าเวลาปกติสตรีแต่งงานแล้วจะมีสีหน้าเย่อหยิ่ง แต่กลับรักและเอ็นดูลูกชายของตนอย่างมาก นางจึงยิ้มแล้วก้มหน้าไปหาเขา เด็กชายบอกความต้องการของตัวเองเบาๆ
สตรีแต่งงานแล้วหันกลับมามองชุนสุ่ยที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเฉยเมย จากนั้นถึงหันไปพูดยิ้มๆ กับบุตรชายของตนว่า “พรสวรรค์ย่ำแย่เกินไป ขนาดห้าขอบเขตกลางก็ยังไม่ต้องคิดหวัง ต่อให้มอบสมบัติวิเศษกองเป็นพะเนินให้กับนาง ก็อย่าได้เพ้อฝัน ไม่เป็นไร รอให้ลงเรือที่นครมังกรเฒ่าเมื่อไหร่ แม่จะซื้อสตรีที่มีขอบเขตถ้ำสถิตย์มาเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวว่าจะซื้อหญิงสาวห้าขอบเขตกลางมาเป็นสาวใช้ ไม่เพียงแต่บุตรชายของนางเท่านั้นที่เชื่อ ทุกคนที่อยู่ข้างกายนางต่างก็ไม่มีใครคิดว่านางพูดเหลวไหล
สตรีแต่งงานแล้วไม่คิดจะปิดบังคำพูดของตัวเอง เสียงของนางทำให้ชุนสุ่ยหน้าขาวซีด
ไม่มีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางไปตลอดชีวิต
นี่ทำให้นางสิ้นหวังอย่างยิ่ง
แล้วจู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็หันหน้ากลับมาอีกครั้ง คราวนี้นางปรายตามองไปที่ชิวสือ “โอ้ นังหนูนี่พอจะมีความหวังอยู่บ้าง เพียงแต่แค่มองก็รู้แล้วว่าเลี้ยงยาก ไม่น่ามองเหมือนคนเมื่อครู่ ลูกชาย เจ้าชอบคนนี้ไหม? หากชอบแม่สามารถพูดคุยกับภูเขาต่าเจี้ยวขอซื้อตัวนางได้”
บุตรชายหันมามองตามสายตาของนางแล้วพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “รูปร่างผอมแห้งพอๆ กับท่านแม่เลย ข้าไม่ชอบหรอก”
สตรีแต่งงานแล้วที่ร่างสูงใหญ่แต่กลับผอมบางไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังลูบศีรษะของบุตรชายพลางหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน เสียงหัวเราะของนางประหนึ่งเสียงนกฮูกที่ร้องโหยหวนอยู่บนคาคบไม้ยามค่ำคืน น่าสะพรึงกลัวชวนขนหัวลุก
ชิวสือสีหน้างงงัน
พี่สาวชุนสุ่ยกลับหลุบตาลงต่ำ นิ้วทั้งห้าที่เรียวยาวดุจต้นหอมของสองมืองดงามซึ่งวางทับซ้อนกันบนเข่าเกร็งแน่นจนเส้นเลือดเขียวปูดโปน
……
แม้ว่าจะมีความประทับใจที่ดีต่อแม่ชีคนนี้มาก แต่เฉินผิงอันก็ยังใช้จิตสื่อสารกับชูอีและสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
พอได้รับการตอบรับ เขาถึงพอจะมั่นใจได้บ้าง
จะเป็นขนมเปี๊ยะหรือก้อนหินที่หล่นลงมาจากฟ้าก็ล้วนต้องระวังไว้ก่อน
ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าเหยาดื่มเหล้าจะชอบพูดถ้อยคำที่เหล่าลูกศิษย์ในเวลานั้นชอบฟังไม่หยุดปาก เวลานั้นหลิวเสี้ยวหยางจะรู้สึกรำคาญ แต่ลูกศิษย์คนอื่นๆ ของผู้เฒ่ากลับรู้สึกว่าผู้เฒ่าที่พอเมาแล้วพูดเป็นน้ำไหลไฟดับนั้นใจดีมีเมตตายิ่งกว่าเวลาปกติที่มักจะตีหน้าเคร่งตวาดสั่งสอนผู้คน ส่วนเนื้อหาที่พูดคืออะไร ล้วนไม่มีใครใส่ใจ
ทุกคนต่างก็มีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง บางคนชะตาหนาหนัก ก็คือถนนแผ่นหินบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ อย่าว่าแต่ลมพัดพายุฝนเลย ต่อให้มีดหล่นลงมาจากฟ้าก็ยังไม่ต้องกลัวว่าจะเดินไปบนทางไม่ได้ บางคนชะตาบางเบา ก็คือทางดินในตรอกเล็ก เพียงแค่ฝนตกพรำๆ ถนนดินก็กลายเป็นโคลนเละเทะ ส่วนคนที่ชะตาบางยิ่งกว่านั้นก็เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง คิดจะขาดก็ขาด ต่อให้สวรรค์ประทานของดีๆ มาให้ก็กลายเป็นเรื่องร้าย เพราะถือไว้ไม่อยู่
ทุกครั้งเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ไกลที่สุดจะต้องจดจำคำพูดของเขาไว้ในใจเงียบๆ
ที่น่าสนใจก็คือ เวลาปกติผู้เฒ่าเหยาไม่ชอบพูดอะไรกับลูกศิษย์อย่างเฉินผิงอันที่สุด แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมากลับมีแค่เฉินผิงอันที่ยินยอมฟัง และเห็นเป็นจริงเป็นจังมากที่สุด
คนชั่วทำเรื่องดีสักครั้ง ช่างหาได้ยาก และจะมีสักกี่คนที่ได้รับ? แต่คนดีทำเรื่องชั่วร้ายสักครั้ง ขอแค่หล่นลงมาบนหัวของตน จะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ทัน
เฉินผิงอันไม่ต้องการให้การพบเจอกันครั้งนี้มีแผนร้ายอะไรซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หากเป็นเรื่องร้ายที่หนีก็หนีไม่รอด ถ้าอย่างนั้นเขาก็เดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกระบี่ที่อยู่ในฝักไม้ไหวซึ่งเขาสะพายไว้ด้านหลัง ต่อให้เว่ยป้อ หร่วนฉงและหยางเหล่าโถวสามคนร่วมมือกันปกปิดอำพรางก็ยังเผยพิรุธออกมาให้เห็น
เฉินผิงอันเดินขึ้นหอเรือนไปช้าๆ เปิดประตูเดินเข้าไป ในห้องโถงหลักไม่มีเงาร่างของแม่ชีแห่งสำนักโองการเทพ กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายก็เห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะในห้องหนังสือ
แม่ชีหน้าตางดงามสวมชุดคลุมเต๋า แต่กลับปลดกวานหางปลางที่ก่อนหน้านี้สวมไว้เป็นประจำ เปลี่ยนมาเป็นกวานดอกบัวแทน สำนักโองการเทพของนางถือเป็นสำนักที่ค่อนข้างแปลกประหลาดในฝ่ายในของระบบลัทธิเต๋า เพราะระบบเต๋าของพวกเขาซับซ้อนสับสน การสืบทอดก็มั่วซั่ววุ่นวาย มีควันธูปอยู่ทั้งสามลัทธิของสำนักเต๋า ซึ่งถือเป็นบัญชีที่เลอะเลือนอย่างยิ่ง
มือข้างหนึ่งของเฮ้อเสี่ยวเหลียงวางไว้บนโต๊ะ พอเห็นหน้ากันก็เอ่ยเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน ที่ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ก็เพราะได้รับการไหว้วานจากคนอื่น เจ้า…”
คำว่า ‘ลัทธิ’ เกือบจะหลุดออกมาจากปาก เฮ้อเสี่ยวเหลียงรีบเปลี่ยนคำพูดด้วยสีหน้าปกติ “ลู่เฉิน หรือก็คือนักพรตที่เคยไปที่ตรอกหนีผิงคนนั้น ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองเล็กหลงเฉวียน เพียงแต่ว่าไม่สะดวกมาพบหน้าเจ้า จึงให้ข้ามาเอาเทียบยาแผ่นหนึ่งกลับไปให้เขา ซึ่งก็คือแผ่นสุดท้าย ที่มีตราประทับสีชาดสี่ตัวอักษรนั่นน่ะ นอกจากนี้ เขายังบอกให้ข้าคืน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “หินดีงูก้อนหนึ่งให้เจ้า นับจากนี้ไปเจ้าและเขาไม่มีอะไรติดค้างกัน เจ้าเดินไปบนเส้นทางหยางกวาน (เส้นทางที่กว้างขวางใหญ่โต ทางที่มีอนาคตรออยู่เบื้องหน้า) ของเจ้า เขาเดินไปบนสะพานไม้ของเขา เขาพูดเองว่า ‘วันหน้าหากพวกเรายังมีโอกาสได้พบหน้ากัน สามารถนั่งลงร่ำสุราด้วยกันสักจอก’”
เฉินผิงอันทั้งโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกลำคอตีบตัน
ไม่ได้มาเพราะกระบี่เล่มนั้นที่หร่วนฉงหลอม แต่มาเพราะตนคนเดียวเท่านั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยยิ้มๆ “สุดท้ายเขายังให้ข้าบอกเจ้าว่า นับจากวันนี้ไปจงรักษาตัวให้ดี จำไว้ว่าต้องลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
—–