กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 214.1 เดินทางยามราตรีท่ามกลางลมฝน
ดูเหมือนภูเขาต่าเจี้ยวจะใช้วิธีการคล้ายการคัดลอกลาย จึงสามารถเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในม้วนภาพบุปผาและวิหคไว้ได้ทั้งหมด เมื่อฉีกผ้าบางๆ คล้ายกระดาษขาวออกมาชั้นแล้วชั้นเล่า รวมทั้งหมดสิบครั้ง ก็วางขายอย่างเปิดเผย
เจ้าของเรือเรียกให้ชุนสุ่ยกับชิวสือเป็นผู้ช่วยตะโกนบอกราคาให้แก่ภูเขาต่าเจี้ยว
เดิมทีเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าชิวสุ่ยยืนถือแผ่นภาพคนละฝั่งกับพี่สาว ชุนสุ่ยยืนอยู่ด้วยท่วงท่าเรียบร้อยสง่างาม แต่เวลาประกาศราคากลับคล่องแคล่วไร้ข้อบกพร่อง ส่วนชิวสุ่ยกลับจ้องเป๋งมาที่เฉินผิงอันโดยไม่ได้ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พอเห็นสายตาของเขา นางถึงได้เชิดคางขึ้นน้อยๆ เผยสีหน้าเย่อหยิ่งอย่างพึงพอใจ
ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้ ชิวสุ่ยถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทัดเทียมกับเฉินผิงอันแล้ว?
เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กสาวเท่าไหร่นัก จึงวางความสนใจไว้ที่กระดาษขาวลอกลายเหล่านั้น การลอกลายสิบครั้ง ยิ่งเป็นช่วงหลัง ปราณวิญญาณก็ยิ่งบางเบา ภาพเหตุการณ์ก็ยิ่งพร่าเลือน แผ่นสุดท้ายชมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าราคาต้องต่ำมาก แค่ต้องจ่ายด้วยหยกเกล็ดหิมะสามสิบอีแปะเท่านั้น
หยกโบราณที่นำมาทำเป็นเหรียญเงิน มีชื่อว่าหยกเกล็ดหิมะ เป็นหยกที่มีเฉพาะในธวัลทวีปของทางทิศเหนือ หลักๆ แล้วกระจายอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสองแห่ง เมื่อนำ ‘เหรียญทองแดง’ ที่เป็นที่นิยมบนภูเขาชนิดนี้มาวางไว้ใต้แสงแดดจะสามารถสะท้อนให้เห็นประกายแสงแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าเงินหิมะน้อย ด้านบนสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘นิมิตแห่งพืชผลอุดมสมบูรณ์’ ด้านหลังสลักอีกสี่คำว่า ‘ที่ดินศักดินาหิมะน้อย’
เพราะปริมาณการผลิตของหยกเกล็ดหิมะมีจำนวนมหาศาล อีกทั้งจำนวนลมปราณที่แฝงเร้นอยู่ด้านในก็ไม่ธรรมดา ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน เงินเกล็ดหิมะนี้จึงค่อยๆ กลายมาเป็นเหรียญเงินที่ใช้ร่วมกันบนภูเขาของเก้าทวีป เป็นที่นิยมแพร่หลาย เป็นวัตถุที่ผู้ฝึกลมปราณระดับล่างหรือระดับกึ่งกลางภูเขาต้องเตรียมไว้เวลาออกนอกบ้าน แน่นอนว่าเงินเกล็ดหิมะสามารถนำมาแลกเป็นเงินหรือทองที่พวกชาวบ้านใช้กันได้ แต่เงินหรือทองนั้นกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะนำมาแลกเป็นเงินเกล็ดหิมะได้
หลักการนั้นง่ายมาก ขุนนางชนชั้นสูงหรือกองกำลังตามพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างภูเขาย่อมไม่สามารถส่งเงินเป็นรถม้าคันแล้วคันเล่าให้กับเทพเซียนบนภูเขา ทั้งไม่สะดวกและสะดุดตาเกินไป หากคิดจะมอบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกล่อง จำเป็นต้องพิถีพิถันอย่างมาก หากกล่องที่ใช้บรรจุเงินสามารถพิถีพิถันได้ยิ่งกว่า เลือกใช้วัตถุดิบไม้งดงามแปลกตาก็จะยิ่งดูสง่างามมากขึ้น
เฉินผิงอันกัดฟันซื้อม้วนภาพกระดาษขาวแผ่นสุดท้ายมาด้วยเงินหิมะน้อยสามสิบอีแปะ เพราะเป็นภาพสุดท้าย เจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงนำมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ชิวสือไม่หนักแน่นสำรวมเหมือนชุนสุ่ยผู้เป็นพี่สาว สำหรับเจ้าของเรือผู้นี้นางเองก็ไม่ได้ให้ความเคารพนับถือสักเท่าไหร่ นางจึงคอยพูดจ้อล้อมหน้าล้อมหลังเขาเหมือนนกขมิ้นตัวหนึ่ง
ยังดีที่เจ้าของเรือเห็นพี่น้องฝาแฝดคู่นี้เติบโตมาตั้งแต่เด็ก บวกกับที่พรสวรรค์ของชิวสือดีกว่าชุนสุ่ย ใช่ว่าจะไม่มีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงค่อนข้างมีความอดทนกับชิวสืออย่างมาก นี่เรียกว่าปล่อยสายเบ็ดยาวหวังตกปลาตัวใหญ่ มีชีวิตหากินอยู่บนภูเขา สายตาจึงมองได้ยาวไกล ไม่เพียงแต่เห็นแค่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ในกระทะ แต่อาจจะเห็นไปถึงในที่นาเลยก็เป็นได้
หลังจากมือหนึ่งรับเงินมือหนึ่งส่งสินค้าแล้ว เจ้าของเรือก็หยอกเย้าชิวสือโดยการหยิบหลีไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในถาดผลไม้บนโต๊ะข้างเก้าอี้จื่อถานส่งให้กับสาวใช้ผู้นี้แล้วจึงจากไป เฉินผิงอันไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ทว่าชิวสือถลึงตาใส่แรงๆ ใส่เขาหนึ่งครั้ง ที่แท้หลีไฟลูกนั้นก็คือส่วนแบ่งที่ชิวสือได้มาจากการช่วยขายภาพวาดหนึ่งภาพ เพียงแต่ว่าหลังจากถลึงตาเสร็จแล้ว ชิวสือก็หัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง ชูหลีไฟในมือขึ้นแกว่งให้พี่สาวดูด้วยท่าทางลำพองใจ
ชีวิตคนไม่มีอะไรที่แน่นอน มีพบแล้วก็ต้องมีจาก
หลังศึกใหญ่ระหว่างสวมลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงปิดฉากลง เฉินผิงอันก็แยกกับนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ กลับไปที่ห้องอักษรตัวเทียนพร้อมกับชุนสุ่ยและชิวสือ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง แต่เมื่อเรือคุนลำนี้ค่อยๆ ลงจอดเหนือน่านฟ้าในอาณาเขตของแคว้นหนันเจี้ยนก็กลายเป็นว่าเฉินผิงอันกับนักพรตจางซานได้พบกันโดยบังเอิญอีกครั้ง พวกเขาเลือกลงเรือที่นี่ คู่สาวใช้ชุนสุ่ยชิวสือโบกมืออำลา นับแต่นี้แยกจากกันอยู่คนละฟ้าดิน
ท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยนสร้างอยู่บนเขตชายแดนที่เชื่อมติดระหว่างสองแคว้น คือแคว้นหนันเจี้ยนกับแคว้นกู่อวี๋ ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง
เมื่อเทียบกับภูเขาอู๋ถงในหลงเฉวียนต้าหลีที่เพิ่งถูกบุกเบิกแล้ว ท่าเรือแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก สามารถจอดเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวได้พร้อมกันถึงห้าลำ
แยกจากกับชุนสุ่ยและชิวสือ ไม่ถึงขั้นรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เฉินผิงอันทำหน้าหนาไปขอผลไม้จำนวนมากมาจากภูเขาต่าเจี้ยว ด้วยเหตุนี้เด็กสาวสองคนจึงได้พึ่งใบบุญของเขาไปด้วย ตอนหลังภูเขาต่าเจี้ยวเริ่มนินทาเด็กหนุ่มจากต้าหลีผู้นี้ บ้างก็ว่าเขาสายตาตื้นเขิน ไม่เคยเห็นโลกกว้าง เป็นคนที่ชอบฉกฉวยเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ต่อให้เฉินผิงอันรู้ก็ไม่มีทางสนใจ กลับเป็นชิวสือเสียอีกที่ได้ยินคำพูดมีนัยซ่อนแฝงเหล่านั้นแล้วไม่สบอารมณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นชุนสุ่ยที่ไปขอผลไม้จากห้องครัวของเรือคุนมาแทน
ตอนที่เฉินผิงอันลงจากเรือได้เอาแกนผลไม้และเปลือกผลไม้ไปด้วยเป็นจำนวนมาก
เพราะคนที่ลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนมีไม่มาก ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันจึงได้เจอกับนักพรตกระบี่ไม้ท้อแล้วเลือกจับคู่เดินทางไปด้วยกัน
รั้วตรงหัวเรือ ชิวสือแค่นเสียงเย็น “พี่สาว ท่านดูเจ้าหมอนั่นสิ ลงเรือไปแล้วก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจที่ต้องจากลาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังคิดถึงโลกคาวโลกีย์ด้านล่างภูเขาอยู่ก็ได้”
ชุนสุ่ยกล่าวอย่างจนใจ “ขนาดหอซิ่งฮวาคุณชายเฉินยังไม่สนใจ จะไปมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อยว่า เหล่าขุนนางระดับสูง คุณชายสูงศักดิ์ทั้งหลายที่เห็นเรื่องราวในโลกมาจนเคยชิน พอมาถึงเรือคุณ เข้าไปในหอซิ่งฮวาก็ล้วนเพลิดเพลินจนลืมทางกลับบ้าน เพราะอย่างไรซะผู้หญิงในหอที่ช่างเอาอกเอาใจพวกเขาเก่งก็ถือเป็นเทพธิดาในสายตาของมนุษย์โลก พอดื่มเหล้าเมามายแล้ว บุรุษพวกนั้นต่างก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนออกมาจนหมดสิ้น เฮ้อ หากผู้ชายล่างภูเขาเป็นเหมือนคุณชายเฉินทั้งหมดก็คงดีน่ะสิ”
ชิวสือกลับไม่เห็นด้วยนัก “นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันอายุยังน้อย วันหน้าก็อาจกลายเป็นคนเลวร้ายที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรกโสมม ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่ขึ้นเรือมา เฉินผิงอันอาจจะกลายเป็นคนปลิ้นปล้อนกลับกลอก ลงไม้ลงมือกับพวกเราก็ได้”
ชุนสุ่ยหรี่ตาชำเลืองมองถุงปักลายงดงามตรงเอวของน้องสาว “เจ้าคิดแบบนี้จริงหรือ?”
ชิวสือพลันหันขวับกลับมา แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นบนทะเลสาบ
ชุนสุ่ยมองไปถึงได้พบว่าเฉินผิงอันกำลังกุมมือคารวะบอกลาพวกนางสองพี่น้อง ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวยุทธ์ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมุมานะในการฝึกวิชาหมัด
ชุนสุ่ยรีบยกมือขึ้นโบกลา
รอจนเฉินผิงอันหมุนกายจากไปแล้ว ชิวสือถึงได้หันกลับมาด้วยท่าทางแง่งอน ชุนสุ่ยจึงเอ่ยเย้าว่า “เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร อยู่ห่างจากเขาตั้งไกลขนาดนี้ บอกลาอย่างมีมารยาทไม่ทำให้เจ้าเสียเนื้อไปสักหน่อย”
ชิวสือปรายตามองหน้าอกของพี่สาวแวบหนึ่ง กลั้นยิ้มพูดว่า “พี่สาว หากท่านเสียเนื้อไปสักสองสามจินคงไม่ต้องกลัว เพราะอย่างไรก็มีพื้นฐานแน่นหนา แต่ข้าไม่ได้หรอกนะ”
พี่น้องสองคนจึงหยอกเย้ากันอีกครั้ง
ตอนยังป็นหนุ่มเป็นสาว มักจะคิดว่าการจากลาคือการเริ่มต้นของการพบกันใหม่ในครั้งหน้า
เฉินผิงอันกับนักพรตจางซานพูดคุยกันพักหนึ่งถึงได้รู้ว่าทั้งคู่ต่างก็ต้องเดินทางลงใต้ ฝ่ายเฉินผิงอันนั้นเป็นเพราะเหตุผลประหลาด ลู่เฉินและหยางเหล่าโถวต่างก็ต้องการให้เขาลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยน เขาไม่กล้าละโมบคิดถึงแต่ความสนุกส่วนตัว เลยไปลงที่ท่าเรือถัดไปซึ่งอยู่ในนครมังกรเฒ่า ส่วนนักพรตกระบี่ไม้ท้อนั้นมีสาเหตุเพราะความยากจนหิวโหย อยู่บนเรือลำนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ หากยังไม่ลงเรือ เกรงว่าคงต้องขายแรงงานบนเรือคุนถึงจะมีข้าวให้กินอิ่มท้อง
คนทั้งสองนิสัยเข้ากันได้ดี จึงตกลงกันว่าจะเดินทางลงใต้ด้วยกัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะแยกทางกันไปตอนไหน พวกเขายังไม่ให้ความสนใจชั่วคราว
ท่าเรือที่คนทั้งสองลงจากเรือตั้งอยู่ทางชายแดนทิศใต้ของแคว้นหนันเจี้ยนกับชายแดนทิศเหนือของแคว้นกู่อวี๋ นักพรตจางซานพอจะรู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอยู่บ้างจึงอธิบายประเพณีพื้นบ้านของแคว้นกู่อวี๋ให้เฉินผิงอันฟัง เดิมทีฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋คือคนสกุลฉู่ นับตั้งแต่ประเทศก่อตั้งและมีประวัติศาสตร์มาก็เล่าลือกันว่ายุคบรรพกาลมีเทพหญิงองค์หนึ่งที่รับผิดชอบทำหน้าที่ป่าวประกาศเมื่อถึงฤดูกาลใบไม้ผลิ ขณะเดียวกันก็ควบคุมการก่อเกิดและการแห้งเหี่ยวของต้นไม้ใบหญ้าใต้หล้าด้วย มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในอาณาเขตของแคว้นกู่อวี๋ที่ใบเป็นสีเขียวยามฤดูใบไม้ร่วง และแห้งเหลืองยามฤดูใบไม้ผลิ มักจะเติบโตช้ากว่าต้นไม้อื่นๆ นี่ทำให้เทพธิดาหงุดหงิดเป็นกำลัง จึงออกคำสั่งไม่ให้ต้นไม้ต้นนี้มีสติปัญญา ยากที่จะกลายมาเป็นภูตต้นไม้ได้ นี่ก็คือต้นกำเนิดของประโยคที่ว่า ‘ไม้อวี๋เป็นปมตะปุ่มตะป่ำ’ (กล่าวถึงรากของต้นเอล์มที่แข็งแกร่ง เปรียบเปรยถึงความคิดที่ดึงดัน)
นักพรตจางซานคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ขอบเขตยังไม่มั่นคงนัก แต่เรื่องการข้ามเขาลงห้วยนี้ ในฐานะนักพรตของระบบเต๋าภูเขามังกรพยัคฆ์ ไม่ว่าจะเป็นนักพรตที่ได้รับการบันทึกชื่อหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
ก่อนจะเดินขึ้นเขา นักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อยังหยิบกระดิ่งทองแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ เอาแขวนไว้ตรงปลายกระบี่ไม้ท้อ อธิบายกับเฉินผิงอันว่า “นี่คือกระดิ่งสดับปีศาจ เป็นที่นิยมมากที่สุดในลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับภาพไป๋เจ๋อที่ผู้ฝึกลมปราณต้องมี กระดิ่งชิ้นนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตมีระดับต่ำที่สุด ได้แค่ถือว่าเป็นวัตถุกำจัดปีศาจขั้นพื้นฐาน หลังกรอกปราณวิญญาณเข้าไป ในระยะเวลาหลายชั่วยามจะสามารถสัมผัสได้ถึงภูตผีปีศาจที่ระดับสูงกว่าข้าผู้เป็นนักพรตหนึ่งขอบเขต ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตเพิ่งจะขอบเขตสาม นี่หมายความว่าถ้าเจอกับปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึง”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
มีใครเขาบอกตื้นลึกหนาบางของตบะตัวเองให้คนที่เพิ่งพบหน้ากันไม่นานอย่างเจ้าบ้าง?
อีกอย่าง อะไรคือ ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’?
เฉินผิงอันเริ่มไม่แน่ใจ หรือว่าตนกับลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นี้อยู่กันคนละใต้หล้า อยู่กันคนละยุทธภพ? เด็กน้อยสองคนที่อยู่กับเขา เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง แต่พอไปอยู่ที่บ้านเกิดเขา เด็กชายชุดเขียวก็ไม่ได้โวยวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอกหรือว่า จะมุมานะฝึกตนเพื่อไม่ให้โดนคนอื่นต่อยตายด้วยหมัดเดียว?
แม้เฉินผิงอันจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับรู้สึกดีต่อนักพรตหนุ่มคนนี้อยู่หลายส่วน
นักพรตหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นถึงท่าทางกังขาของเฉินผิงอัน ยังคงเอ่ยปลอบใจ ‘คุณชายเฉิน’ ที่อยู่ข้างกายของตนต่อว่า “แต่คุณชายเฉินวางใจได้เลย บนภูเขาของพวกเรามีคำกล่าวบอกว่า ในรัศมีพันลี้ของตระกูลเซียนใดก็ตามที่มีอักษรคำว่าสำนักย่อมไม่มีทางมีปีศาจใหญ่มาก่อความวุ่นวายเด็ดขาด เหตุผลนั้นง่ายมาก ปีศาจใหญ่ไม่มีความกล้ามากพอจะมาก่อเรื่องในโลกมนุษย์ เพราะหากเซียนซือห้าขอบเขตกลางรู้เข้า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องถูกสังหาร ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่าถูก
บัณฑิตขึ้นเขาเลียนแบบเซียนถือเป็นละครฉากสำคัญในวรรณกรรมมาทุกยุคทุกสมัย เทพเซียนปลอมตัวลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ปั่นหัวมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือนอกภูเขา ทั้งสองฝ่ายนี้ก็คล้ายมีสายใยบางๆ เชื่อมอยู่
เฉินผิงอันเองก็เพิ่งรู้หลังจากขึ้นเรือมาแล้วว่า อาณาเขตของสามทวีปซึ่งรวมแจกันสมบัติทวีปไว้ด้วยนั้น สถานที่อย่างหลงเฉวียนมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะก้มหน้าก้มตาทำงานกันทั้งชีวิต ไม่เคยได้เห็นเทพเซียนบนภูเขาเลยสักครั้ง
นักพรตจางซานคือคนมีน้ำใจที่เป็นมิตรกับคนอื่นอย่างแท้จริง หลังจากพูดคุยกันแล้วรู้ว่าเฉินผิงอันออกมานอกบ้าน แต่กลับไม่มีภาพไป๋เจ๋อแม้แต่แผ่นเดียว ก็ยืนกรานจะมอบภาพไป๋เจ๋อของตนให้เฉินผิงอันให้ได้ บอกว่าม้วนภาพนี้มีราคาแค่สองสามเหรียญเงินหิมะน้อยเท่านั้น อีกอย่างก็เป็นของถูกขั้นพื้นฐานที่สุดเหมือนกับกระดิ่งสดับปีศาจ เป็นของทำมือที่คนทำขึ้นเอง จึงค่อนข้างจะหยาบ ภาพที่พิมพ์ก็คุณภาพแย่ ต่อให้มอบเป็นของขวัญยังน่าอาย ในเมื่อเจ้าเฉินผิงอันรีบใช้ เตรียมไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน ก็ควรจะเอาไปใช้ก่อน ถึงอย่างไรเขาจางซานก็ท่องจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว
นี่คงต้องพูดว่ากุมารเจ้าทรัพย์มาเจอกับกุมารเจ้าแจกทรัพย์กระมัง?
เฉินผิงอันไม่กล้ารับมาเปล่าๆ ตอนที่สอดเข้าไปในชายแขนเสื้อจึงแอบควบคุมวัตถุฟางชุ่นสืออู่หยิบเงินหิมะน้อยออกมาสองเหรียญ แล้วมอบให้จางซาน ฝ่ายหลังลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับไปหนึ่งเหรียญเงินหิมะน้อย ยังพูดด้วยว่าของเก่าแก่ขนาดนี้แล้ว ขายหนึ่งเหรียญยังแพงไปด้วยซ้ำ อันที่จริงตอนนั้นที่เจอกับผีสวมชุดเจ้าสาว นักพรตตาบอดก็เคยมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากอาจารย์ให้กับเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับภาพไป๋เจ๋อนี้แล้วดีกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่เฉินผิงอันก็มอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ให้แก่หลินโส่วอี อีกทั้งขณะที่เฉินผิงอันเดินพลางดูภาพไป๋เจ๋อไปพลาง เขายังเปี่ยมไปด้วยความสนอกสนใจ โดยเฉพาะภาพเหมือนของภูตผีปีศาจต่างๆ ที่ไม่ได้วาดไว้ใน ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล
เรื่องการขึ้นเขานี้ เกรงว่าต่อให้นักพรตจางซานขึ้นเขาลงห้วยอีกสิบปีก็คงสู้เด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันไม่ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเดินอย่างผ่อนคลาย นักพรตกระบี่ไม้ท้อที่แม้จะไม่ถึงขั้นหอบหายใจฮักๆ แต่ก็ไม่สบายสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันไม่ได้ระแวดระวังเหมือนตอนอยู่บนเรือคุน เขายังจงใจเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าเวลาเดินอยู่เป็นระยะ หนึ่งเพราะหลังจากที่เฉินผิงอันฝึกหมัดบนเรือนไม้ไผ่ก็ได้เข้าใจหลักการข้อหนึ่ง นั่นคือเส้นเอ็นขึงใจ (อาจเปรียบได้ถึงความตึงเครียด) จำเป็นต้องมีการผ่อนคลายบ้าง สองเพราะการเดินทางด้วยเรือคุนที่ทะยานอยู่กลางทะเลเมฆกับเดินอยู่บนภูเขาของแผ่นดินเบื้องล่างเรือคุนนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากเกินไป เพราะต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไป หากคิดจะเดินทางท่องเที่ยวไปตามแคว้นต่างๆ เพียงลำพังก็ยังไม่มีภัยคุกคามมากเท่าไหร่นัก ข้อสุดท้ายคือเหตุผลที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือเฉินผิงอันวางใจในตัวนักพรตจางซานอย่างมาก ความรู้สึกที่เพิ่งพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานานนี้ ทำให้เฉินผิงอันเชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับในอดีตตอนที่เห็นอาจารย์ฉียืนอยู่นอกโรงเรียน เห็นหลี่ซีเซิ่งยืนอยู่หน้าประตูตระกูลหลี่
เฉินผิงอันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง
—–