กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 222.1 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่
ภูเขาลั่วพั่ว พื้นที่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ถูกบุกเบิกขุดเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กหนึ่งบ่อ น้ำใสกระจ่างแต่กลับไม่มีปลา เป็นเพียงบ่อน้ำที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร แต่เว่ยป้อมักจะมานั่งยองๆ อยู่ริมบ่อน้ำ มองทีหนึ่งใช้เวลาเป็นครึ่งๆ ชั่วยาม แถมยังบอกกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูว่าครึ่งปีนี้ให้เฝ้าบ่อน้ำไว้ให้ดี ห้ามให้คนนอกเข้ามาใกล้ และอาจเป็นเพราะไม่ค่อยวางใจในตัวเด็กน้อยทั้งสองคน เว่ยป้อจึงถึงขั้นเรียกให้งูดำที่ผิวหนังใต้หน้าท้องเป็นสีทองตัวนั้นย้ายออกจากโพรงที่อยู่อาศัย มาขดตัวนอนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ กับเรือนไม้ไผ่
หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป เด็กชายชุดเขียวที่ไม่มีคนให้คอยเปรียบเทียบ อีกทั้งอากาศหนาวของฤดูใบไม้ผลิยังเริ่ม ถดถอยหายไป แสงอาทิตย์ในแต่ละวันอบอุ่นชวนให้คนรู้สึกสบาย เขาจึงเริ่มเกียจคร้านในการฝึกตน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเคยเอ่ยเตือนเขาสองครั้ง เด็กชายชุดเขียวกลับพูดจามีเหตุมีผล บอกว่านี่เรียกว่าการรู้จักยืดหยุ่น ค่อยๆ สั่งสมแล้วเอาออกมาใช้ทีละน้อย จะเรียกว่าสามวันตกปลา สองวันตากแหไม่ได้
วันนี้หลังจากที่เว่ยป้อมาถึงเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวก็เดินตามหลังเขาไปต้อยๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะถามอย่างไร เว่ยป้อก็บอกแค่ว่าให้เขาตั้งตารอดู ไม่ยอมเปิดเผยความจริงให้เขารู้ ทำเอาเด็กชายชุดเขียวรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ อยากจะเผยร่างจริงกระโดดลงน้ำไปพลิกใต้บ่อดูเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่ว่ากริ่งเกรงในสถานะและตบะของเว่ยป้อ รวมไปถึงนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลแต่ซ่อนใบมีดไว้ใต้รอยยิ้มของเทพขุนเขาเหนือผู้นี้ งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงถึงต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้นอกจากจะต้องพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาคนอื่นแล้ว ยังต้องถูกกลั่นแกล้งให้อึดอัดไม่สบายใจ
วันนี้เว่ยป้อก็ยังมานั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำ จ้องมองการไหลรินของน้ำเล็กๆ น้อยๆ ในบ่อ น้ำในบ่อแห่งนี้เหมือนน้ำตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ รากฐานของโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าลูกนี้ไม่ได้อยู่ที่ศาลเทพภูเขาบนยอดเขา แต่รากฐานของภูเขาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ โชคชะตาแม่น้ำก็อยู่ในบ่อน้ำตรงหน้าบ่อนี้ เดิมทีเทพภูเขาซ่งอวี้จางก็แตกหักกับทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือผู้นี้ไปแล้ว บวกกับที่เขาคือขุนนางที่ค่อนข้างจะคร่ำครึ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทุ่มชีวิตทำงานถวายหัวให้แก่ต้าหลี จึงนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กรมพิธีการและกองโหราศาสตร์ทราบอย่างละเอียด คำตอบที่ได้รับมากลับเป็นการบอกให้เขาปิดปากให้สนิท ห้ามแพร่งพรายแก่ใคร ในเมื่อเป็นความต้องการของราชสำนักต้าหลี ซ่งอวี้จางก็ไม่คิดจะตอแยอีก ส่วนเรื่องที่ตบะของเขาถูกพันธนาการ ไม่สามารถควบคุมภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกได้เพราะสาเหตุนี้ ซ่งอวี้จางกลับไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก
ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างซ่งอวี้จางกับผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างเว่ยป้อกลับยิ่งห่างเหินกันทุกขณะ
เด็กชายชุดเขียวเองก็นั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำเหมือนกัน เขาไม่รู้เลยว่าน้ำใสในบ่อแห่งนี้ถูกย้ายมาจากไหน แต่ด้วยสถานะของเว่ยป้อ ขอแค่อยู่ในขอบเขตการปกครองของ ‘ขุนเขาเหนือต้าหลี’ ย้ายภูเขาเคลื่อนแม่น้ำถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนยกฝ่ามือ
เด็กชายชุดเขียวนั่งมองน้ำใสในบ่อตาปริบๆ ได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่อาจมองหาเบาะแสใดๆ เจอ เขาสัมผัสไม่ได้สักนิดเลยว่าทั้งๆ ที่อยู่ในถิ่นของตัวเองแท้ๆ เว่ยป้อที่นั่งยองอยู่ข้างกายกลับมีสีหน้าเกร็งทื่อเคร่งเครียด เม็ดเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก จะลุกขึ้นยืนก็ลุกไม่ได้เหมือนมีขุนเขากดทับลงบนบ่า
เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลผันผ่าน เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายเต็มทนอ้าปากหาวหวอด นั่นถึงทำให้เขาสังเกตเห็นว่าข้างกายเว่ยป้อมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ เขายืนค้อมเอว สองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีจ้องน้ำในบ่อ เขาสวมชุดคลุมนักพรตเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว อายุยังน้อย หน้าตาถือว่าหล่อเหลา เพียงแต่รอยยิ้มค่อนข้างเจ้าเล่ห์ แค่มองก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นพวกที่ใช้ข้ออ้างขอดูลายมือเพื่อฉวยโอกาสจับมือสาวๆ หากเป็นเหมือนก่อนตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียง ด้วยนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหของเด็กชายชุดเขียว คงบอกให้นักพรตหนุ่มคนนี้ไสหัวไปไกลๆ แล้ว เพียงแต่ว่ามาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ผ่านลมผ่านฝนมากหลายครั้ง เด็กชายชุดเขียวจึงสำรวมขึ้นเยอะมาก กระนั้นพอคิดว่าข้างกายของตนคือทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่มีร่างทองเปล่งประกาย ในเรือนไม้ไผ่ยังมีปรมาจารย์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ซึ่งน่ากลัวอย่างถึงที่สุดอยู่อีกท่านหนึ่ง เรายังต้องกลัวอะไรอีก?
เด็กชายชุดเขียวจึงรีบลุกขึ้นยืน กระแอมให้คอโล่ง “นี่ๆๆ นักพรตท่านนี้ ทำไมถึงไม่มีมารยาทเอาซะเลย บุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวทักทาย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉินผิงอันนายท่านผู้เฒ่าของข้าคือเจ้าของภูเขาลูกนี้ทั้งลูก? อีกอย่างใกล้ๆ กับเรือนไม้ไผ่ยังมีงูดำตัวใหญ่ที่ดุร้ายอยู่อีกตัว มันชอบกินคนมากที่สุด ที่เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ ต้องขอบคุณที่นายท่านใหญ่อย่างข้าคอยเกลี้ยกล่อมงูดำตัวนั้นด้วยความหวังดีทุกวันว่าต้องกินเจ ต้องกินเจ หาไม่แล้วตอนนี้เจ้าก็คง…หึหึ!”
เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนขึ้นกอดอก เชิดจมูกขึ้นสูง
แต่ในใจกลับหัวเราะเสียงดัง วะฮะฮ่า อดทนอดกลั้นมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็เจอกับคนธรรมดาที่ตนสามารถดุด่าสั่งสอนได้แล้ว! ไม่ง่ายเลยจริงๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ เด็กชายชุดเขียวยิ่งมองนักพรตหนุ่มคนนั้นก็ยิ่งถูกชะตา แทบจะเอ่ยเรียกเขาเป็นพี่เป็นน้องกับตน
“แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าผู้เป็นนักพรตได้พึ่งใบบุญของเจ้าน่ะสิ ถึงได้รอดพ้นหายนะมาได้” นักพรตหนุ่มยิ้มสดใส รีบเอ่ยขอบคุณ
เมื่อท่าทางเช่นนี้ของนักพรตแปลกหน้าปรากฏอยู่ในสายตาของเด็กชายชุดเขียว เขาก็ให้รู้สึกว่าพี่ชายผู้นี้จริงใจกว่าเว่ยป้อที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่เหมือนสำลีซ่อมเข็มมากนัก แต่หลังจากเด็กชายชุดเขียวมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน พอถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี เห็นต้นไม้ใบหญ้าก็หวาดระแวงไปหมด จึงมองประเมินนักพรตอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกลมปราณแม้แต่น้อย เขาก็ดีใจจนเกือบน้ำตาคลอเบ้า เดินอาดๆ เข้าไปหาแล้ว แล้วกระโดดสูงตบไหล่ของนักพรตหนุ่มหนึ่งที “ขอบคุณอะไรกัน ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันนายท่านผู้เฒ่าของข้าจะลงจากเขาไปได้บอกไว้แล้วว่า ตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน ข้าต้องแบกรับภาระสำคัญ ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี ในฐานะที่เจ้าเป็นแขก ข้าจะปล่อยให้เจ้าตกใจขวัญเสียได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยืนอยู่หลังหน้าต่างบนเรือนไม้ไผ่เห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะเสียงดัง “ถ้าเจ้าแน่จริงก็ตบไหล่นักพรตท่านนี้อีกครั้งสิ”
ในใจเด็กชายชุดเขียวเกิดความระแวง เงยหน้ามองนักพรตหนุ่มคนนั้นหันไปมองผู้เฒ่าวิปลาสที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองอีกหลายที แล้วค่อยหันมามองนักพรตที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ถามหยั่งเชิงว่า “พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ เจ้าเป็นเจินเหรินใหญ่ขอบเขตสิบ หรือเทียนจวินขอบเขตสิบเอ็ดสิบสองของลัทธิเต๋า?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
เด็กชายชุดเขียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “พี่ชายท่านนี้ พวกเราต่างก็เป็นคนในยุทธภพ ไม่ว่าวัยวุฒิจะสูงต่ำ ตบะจะลึกล้ำหรือตื้นเขิน ต่างก็พิถีพิถันในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ห้ามโกหกคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ?”
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับ “ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ”
ต่ำกว่าขอบเขตสิบ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ตนเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ยังมีเว่ยป้อกับผู้เฒ่าเสียสติไม่ใช่หรือ หากยังหวาดผวาเกรงกลัวอยู่อีกก็ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!
เด็กชายชุดเขียววิเคราะห์อย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าตนอยู่ในสถานะมิพ่ายแล้วก็พลันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง กระโดดขึ้นสูงแล้วตบไหล่นักพรตอีกครั้ง “ข้าเห็นว่าฐานกระดูกของเจ้างดงามโดดเด่นไม่น้อย อย่าหมดอาลัยตายอยากเลย ก็แค่เทพเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดของลัทธิเต๋าเท่านั้น เจ้าพยายามอีกไม่กี่ร้อยปี ถือว่ายังพอมีความหวัง หากไม่ได้จริงๆ วันหน้าโดนใครรังแก เจ้าก็บอกชื่อของข้าไปได้เลย บอกไปว่าเจ้ารู้จักกับ…ปลาขาวน้อยโต้คลื่นแม่น้ำอวี้เจียง หรือไม่ก็ราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว สองฉายานี้เป็นอย่างไร? อันหนึ่งมีท่วงทำนองแห่งความสุนทรี อีกอันหนึ่งเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี…”
ผู้เฒ่าบนชั้นสองหัวเราะเสียงดังอย่างสำราญใจ ชูนิ้วโป้งให้เด็กชายชุดเขียว “งูน้ำน้อย ถือว่าเจ้าแน่จริง หากวันนี้เจ้าไม่ตาย วันหน้าเจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปโม้ได้ตลอดชีวิตแล้ว!”
เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย กลอกตาไปมา กระแอมหนึ่งที ไหล่ลู่คอตกเตรียมจะถอยหนี ปากก็พร่ำพูดไปด้วยว่า “ไปฝึกตนดีกว่า ไปฝึกตน การฝึกตนของวันนี้จะมัวล่าช้าอีกไม่ได้แล้ว”
นักพรตหนุ่มคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การฝึกตนไม่ควรล่าช้าจริงๆ นั่นแหละ ไปๆๆ ข้าผู้เป็นนักพรตพอจะมีความเข้าใจในการฝึกตนอยู่บ้าง เจ้าถามข้าตอบ ช่วยออกความคิดให้เจ้าได้”
จากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็ตาพร่าลาย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาเดินเคียงบ่ากับตน นี่ยังไม่ถือว่าแปลก ที่แปลกก็คือข้างกายเว่ยป้อก็มีคนนั่งยองอยู่คนหนึ่ง ที่ประหลาดมากกว่านั้นก็คือตรงหน้าต่างชั้นสองก็มีคนยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเปลือยเท้า ส่วนด้านหลังนังเด็กโง่ที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ซึ่งกำลังยื่นหน้าออกมามองทางเขาก็มีคนผู้หนึ่งทำท่าลับๆ ล่อๆ มองมาเหมือนนางเช่นกัน
ทุกคนล้วนคือนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัว!
เด็กชายชุดเขียวหลับตา ทำท่าเดินคลำทางไปข้างหน้าเหมือนคนตาบอด “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้ากำลังเดินละเมอ ข้ากำลังเดินละเมออีกครั้ง…”
ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบดวงตากลมโตคลอประกายน้ำปริบๆ เมื่อเทียบกับความไม่เคารพนับถือของเด็กชายก่อนหน้านี้แล้ว นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าหวาดกลัว นักพรตหนุ่ม ‘คนนั้น’ ที่ยืนอยู่ข้างกายนางเอาสองมือสอดเข้าไปในชายแขนเสื้อ มองยันต์ตัวอักษรแต่ละตัวที่ปรากฏขึ้นบนกำแพงแล้วจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ตัวอักษรยังน่าสนใจขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่ช่วย… ฮ่าๆ ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย”
ส่วนบนชั้นสอง นักพรตหนุ่มยืนพิงหน้าต่าง เอ่ยถามยิ้มๆ “ได้ยินว่าเจ้าอยากจะต่อสู้?”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าทำท่าคารวะตามหลักของลัทธิขงจื๊อก่อน ใช้สถานะบัณฑิตของสกุลชุยคำนับอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นถึงยืดตัวขึ้นตรง ถอยหลังไปสองก้าว กุมหมัดคารวะด้วยตัวตนของผู้ฝึกยุทธิ์ ไม่เหลือความเคารพยำเกรงใดๆ อีก กล่าวด้วยสายตาที่ฉายประกายเร่าร้อน “หวังว่าท่านเจ้าลัทธิลู่จะช่วยชี้แนะสักคำสองคำ!”
นักพรตหนุ่มแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้งและโล่งอก กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ได้เลยๆ หากแค่คำสองคำก็ได้อยู่ แต่ถ้าสามสี่ห้าคำล่ะก็ ข้าผู้เป็นนักพรตคงลำบากใจมาก เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ร่างอยู่ในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้า สองขาก็เหมือนย่ำอยู่ในปลักโคลน เดินได้ไม่เร็ว กระโดดได้ไม่สูง”
ข้างบ่อน้ำ นักพรตหนุ่มที่นั่งยองเคียงข้างเว่ยป้อเอ่ยถามว่า “เทพภูเขาใหญ่เว่ย ช่วยบอกข้าผู้เป็นนักพรตหน่อยได้ไหมว่า น้ำที่อยู่ในบ่อ รวมไปถึงเมล็ดดอกบัวทองที่ฝังอยู่ข้างใต้มีที่มาอย่างไร?”
เว่ยป้อยังคงลุกขึ้นยืนไม่ได้ ได้แต่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ตอบบุรพาจารย์เจ้าลัทธิ น้ำนี้ข้าแอบขโมยมาจากน้ำพุสามหมื่นจินของแคว้นเสินสุ่ยก่อนหน้าที่แคว้นเสินสุ่ยจะล่มสลาย ส่วนเมล็ดดอกบัวทองเมล็ดนั้นก็เป็นของโบราณที่อยู่ในคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ย ปีนั้นแม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์และผู้เฒ่ากองโหราศาสตร์ก็ยังบอกที่มาของมันได้ไม่แน่ชัด รู้แค่ว่าได้รับสืบทอดอย่างทะนุถนอมมาหลายยุคหลายสมัย หลังจากที่แคว้นเสินสุ่ยสิ้นชาติ ตอนที่พวกเขาอพยพหลบหนีได้เดินทางผ่านภูเขาฉีตุน เจอเข้ากับข้า สุดท้ายข้าจึงได้เมล็ดพันธ์นี้มา เลยคิดว่าจะสามารถอาศัยน้ำของน้ำพุวิเศษมาเพาะพันธ์ดอกบัวม่วงทองที่มีเฉพาะในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาซึ่งกล่าวถึงไว้ในตำนานได้หรือไม่”
เพราะเว่ยป้อคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ เป็นเจ้าของเทือกเขาทั้งหมด ชะตาชีวิตของเขาและเทือกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าเป็นทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคี ทว่าบางครั้งหายนะก็มาพร้อมกับโชคช่วย นี่จึงกลายมาเป็นพันธนาการขององค์เทพแห่งแม่น้ำและขุนเขา หลังจากที่นักพรตเต๋าสวมกวานดอกบัวคนนี้ปรากฏตัว เว่ยป้อก็ถูกนักพรตเต๋าเหยียบจนไม่อาจขยับเขยื้อน ต่อให้นักพรตจะเหยียบลงบนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น แต่อันที่จริงกลับไม่ต่างอะไรไปจากเหยียบลงบนศีรษะของเขาเว่ยป้อ
หากนักพรตเหยียบให้ภูเขาลั่วพั่วพังทลาย ถ้าเช่นนั้นร่างทองของเว่ยป้อที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋นก็อาจจะเสียแขนไปเกินครึ่ง
นักพรตหนุ่มส่ายหน้าเอ่ยตอบโต้ว่า “ไม่ได้มีแค่ในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาแห่งเดียวเท่านั้น จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีบงกชม่วงทองที่คุณภาพยอดเยี่ยมอยู่สามต้น แถมยังเติบโตได้ไม่เลว สูงตั้งสิบกว่าจั้ง”
เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้
—–