กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 224.2 ชายเก่งกาจหญิงงดงาม
เฉินผิงอันแข็งใจอดทนไม่ปล่อยให้ลมปราณและจิตใจของตัวเองทรุดลง จากนั้นก็ออกตามหานักฆ่าคนนั้นไปทั่วสี่ทิศ บนถนนไม่มีร่องรอยของศพ เขาจึงได้แต่กระโดดขึ้นไปบนกำแพง ค้อมตัววิ่งตะบึงไป แล้วจู่ๆ ก็หยุดวิ่ง พลิ้วกายลงไปเบื้องล่าง ตำแหน่งเบื้องล่างกำแพงที่เขากับหม่าขู่เสวียนคุมเชิงกันมีขี้เถ้าอยู่หนึ่งกอง ด้านในวางถ้วยสีขาวและไม้สีดำก้อนเล็กๆ คล้ายถ่านก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ เพียงยืนมองนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ริมขอบด้านนอกของถ้วยสีขาวใบเล็กมีภาพวาดของห้าขุนเขา ส่วนไม้สีดำนั้นเขามองเส้นสนกลในไม่ออก
นักฆ่าคนนี้น่าจะถูกผู้ฝึกตนสำนักการทหารผู้นั้นสังหารในเสี้ยววินาที จากนั้นก็ใช้เวทลับของภูเขาเจินอู่เผาไหม้ให้เป็นเถ้าถ่าน เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจงใจทิ้งสมบัติสองชิ้นที่ติดตัวนักฆ่าเอาไว้ ไม่ได้ทำลายไปพร้อมกัน หรือว่านี่ก็คือการขออภัยที่เขาเอ่ยถึง? เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็นั่งยองลงไป หยิบไม้สีดำที่ยาวแค่ฉื่อกว่าแต่กลับมีน้ำหนักมากขึ้นมา ท่อนไม้เล็กๆ แค่นี้กลับหนักถึงแปดเก้าจิน จากนั้นจึงหยิบถ้วยขาวใบเล็ก ใช้นิ้วหมุนถ้วยใบเล็กเบาๆ พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ ดูจากชื่อของห้าขุนเขาที่วาดไว้ในถ้วยขาว ถ้าเฉินผิงอันจำไม่ผิดน่าจะเป็นภาพห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากที่เฉินผิงอันจะเดาตัวตนของนักฆ่าออก มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกน้องของบัณฑิตแซ่ฉู่ที่อยู่ในบ้านโบราณ จากคำพูดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ของแคว้นกู่อวี๋ก็ยังต้องนั่งในระดับที่เท่าเทียมกับเขา อีกทั้งก่อนตายร่างของเขายังกลายมาเป็นไม้เน่าเปื่อย เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นวิธีของการตายแทน อีกทั้งยังทิ้งคำอาฆาตเอาไว้บอกว่าจะมาจัดการกับเฉินผิงอัน ภายหลังผีชางหยางหว่างได้พูดคุยถึงเรื่องแกนไม้อวี๋ตัวเมีย รากฐานมหามรรคาของบัณฑิตแซ่ฉู่เป็นหลักการที่ง่ายมาก หนึ่งคือใช้ไม้กู่อวี๋ท่อนหนึ่งมาจำแลงกาย สองคือแกนไม้อวี๋ตัวเมียของผีสาวในบ้านโบราณ เป็นเหตุให้ภูตต้นไม้ตนนั้นใช้คำว่า ‘ตอนกิ่ง’
ในเมื่อเป็นของที่ศัตรูคู่แค้นทิ้งไว้ เฉินผิงอันจึงเก็บเอามาอย่างสบายใจ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังบ่นด้วยว่าทำไมทรัพย์สินของนักฆ่าคนนี้ถึงได้น้อยนัก แม้แต่เงินเกล็ดหิมะไม่กี่สิบเหรียญก็ยังไม่รู้จักพกติดตัวบ้าง?
เฉินผิงอันเก็บถ้วยใบเล็กและไม้สีดำหนักอึ้งไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกัน เขาเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ หลังจากเดินโซซัดโซเซไปได้สิบกว่าก้าวก็ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งพิงพนังข้างต้นซิ่งลำต้นหนาใหญ่ เรียกเสื้อผ้าสะอาดชิ้นหนึ่งมาจากสืออู่กระบี่บิน บรรจงเช็ดคราบเลือดทั้งหมดทิ้ง
บอกคนอื่นว่าจะไปเข้าห้องส้วมก็คงไม่ควรกลับไปพร้อมคราบเลือดเต็มตัวกระมัง ไม่เพียงแต่ชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มจะเกิดความสงสัย เกรงว่าคนทั้งระเบียงก็คงร้องฮือฮาด้วยความตกใจ วันนี้เป็นวันที่ครึกครื้น เฉินผิงอันไม่ต้องการให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ ยิ่งไม่อยากสร้างปัญหาให้กับหลิวเกาหวาด้วยเหตุนี้
เฉินผิงอันสามารถทนความยากลำบากและแบกรับความเจ็บปวดได้ไหว แต่ไม่ได้หมายความว่ารสชาติความรู้สึกนี้จะเป็นรสชาติที่ดี การต่อสู้เอาเป็นเอาตายในวงกลมกับหม่าขู่เสวียน อวัยวะภายในของเฉินผิงอันบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้เขาแค่อยากนั่งอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น การแสดงทางฝั่งของแท่นสูงกลางทะเลสาบยังไม่ปิดฉากลง เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นไม่หยุด การมองเห็นถูกระเบียงหนึ่งเส้นและผู้คนที่เบียดเสียดกันบดบังเอาไว้ เฉินผิงอันอยู่ตรงนี้มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เขาจึงทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้น
ต้นซิ่งที่อยู่ข้างกายของเขามีพุ่มใบดกหนา ดอกซิ่งผลิบานเต็มที่ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยเป็นระลอก
มนุษย์เราช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
มีชาติกำเนิดจากเมืองเล็กเหมือนกัน หากเป็นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนไม่สนใจ เขาก็จะไม่สนใจเลย ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นด่าว่าเขาโง่ เหยียบรองเท้าของเขา แต่หากเป็นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนให้ความสนใจ เขาจะยอมทนเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้เลยสักนิดเดียว
ส่วนหลิวเสี้ยนหยาง หากเป็นเรื่องใดที่เฉินผิงอันทำได้ดีกว่าเขา หลิวเสี้ยนหยางก็จะเลือกละทิ้งโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นการทำธนูไม้ไผ่ วางกับดัก เป็นต้น
กู้ช่านเด็กขี้มูกยืดแห่งตรอกหนีผิง หากเห็นว่าเฉินผิงอันทำได้ดีกว่าเขา กู้ช่านก็จะแค่คอยตามก้นเฉินผิงอันต้อยๆ พึ่งพาใบบุญเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้นอกจากนิสัยโดยกำเนิดแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับระดับความใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา กรอกเหล้ารสแรงเข้าปาก นี่ยิ่งทำให้ความรู้สึกร้อนลวกในช่องโพรงลมปราณยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก แต่เรื่องราวบนโลกก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ ทั้งๆ ที่เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เฉินผิงอันที่เจ็บจนแยกเขี้ยวกลับยิ่งอยากดื่มมากขึ้น เขาไม่ดื่มอึกใหญ่อีกต่อไป แต่ค่อยๆ จิบคำเล็กๆ ผีขี้เหล้าที่กระเป๋าแฟบแบน ต่อให้เหล้าจะรสชาติแย่แค่ไหนก็ยังเป็นอาหารเลิศรสได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในน้ำเต้าของเฉินผิงอันคือเหล้าต้มที่เดิมทีก็รสชาติดีมากอยู่แล้ว
การต่อสู้บนถนนเส้นเล็กในวันนี้มีความอัดอั้นตันใจไม่น้อย แต่ความสะใจกลับมีมากยิ่งกว่า
แม้ว่าครั้งนี้หม่าขู่เสวียนจะยังประมาทอยู่เช่นเคย แต่ก็พอจะถือว่าคนทั้งสองสู้กันได้อย่างสูสี ทว่าแต่ไรไหนมาเฉินผิงอันก็ไม่เห็นความสำคัญของการแพ้ชนะอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่อาเหลียงเคยกล่าวไว้ อย่าตายเด็ดขาด ต้องมีชีวิตอยู่ก่อนถึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ของอาเหลียง แม้คำพูดจะหยาบ แต่เหตุผลกลับไม่หยาบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงชูน้ำเต้าบรรจุสุราขึ้นสูง สูงเหนือหัว แกว่งเบาๆ จากนั้นก็อึ้งตะลึง หน้าม่อยคอตก เก็บเหล้ากลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก คำพูดห้าวเหิมที่เดิมทีกำลังจะหลุดออกจากปากก็ถูกกลืนกลับไปด้วย
ที่แท้เหล้าก็หมดแล้ว
เฉินผิงอันก้มหน้ารัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวให้ดี จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงสื่อสารทางจิตกับกระบี่บินสืออู่ เพียงไม่นานในมือก็มีถุงผ้าปักลายใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา หลังจากเปิดออกแล้วก็เห็นว่าข้างในมีขนมดอกท้ออยู่สามชิ้น เฉินผิงอันก้มหน้าลงดม ไม่เน่าบูดเลยสักนิด วัตถุฟางชุ่นมหัศจรรย์จริงๆ ผ่านมานานขนาดนี้ ขนมยังสดใหม่พอๆ กับตอนที่เขารับมาบนภูเขาลั่วพั่วเลย
มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันอุ้มประคองถุง อีกมือหนึ่งคีบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น วางใส่ปาก ขบเคี้ยวอย่างตั้งใจ เอนศีรษะพิงกำแพง เงยหน้ามองดอกซิ่งที่บานอยู่เต็มต้น
กินไปแล้วหนึ่งชิ้นก็ตัดใจกินไม่ลงอีก จึงรัดถุงผ้าอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจคิดว่าขนมดอกท้อจากร้านของตัวเอง อร่อยจริงๆ!
ความคิดแรกของเขาก็คืออยากให้แม่นางหนิงได้ลองชิมดู นึกถึงภาพบรรยากาศในการพบกันครั้งต่อไป เฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเองอย่างเซ่อซ่า แล้วจู่ๆ ก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที “เจ้าทึ่ม”
……
ไม่มีถังยาที่เว่ยป้อจัดสรรตัวยาให้อย่างตั้งใจ ความเร็วในการหายดีของร่างกายเฉินผิงอันตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าต่างกันราวกับบังคับกระบี่บินกับเดินเท้า แต่ว่าได้พักผ่อนไปครู่หนึ่ง คิดจะเดินเหมือนในเวลาปกติก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองตรงระเบียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสวบสาบดังแว่วมาจากทิศไหล เสียงหนึ่งหนัก เสียงหนึ่งเบา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เลือกจะนั่งตรงมุมกำแพงต่อไป มีต้นซิ่งช่วยบดบัง แค่รอให้พวกเขาจากไปก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นก็ยังไม่สาย
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เฉินผิงอันปากอ้าตาค้างก็เกิดขึ้น หญิงชายสองคนนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะไม่ใช่คนของแคว้นไฉ่อี ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป พอเดินมาอยู่ใกล้ต้นซิ่งที่มีร่มเงามืดสลัวก็เริ่มโอบกอดกัน เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่หอบหนัก หญิงสาวปฏิเสธอย่างกระเง้ากระงอดอ่อนหวาน เหมือนจะปฏิเสธแต่กลับคล้ายเชิญชวน ฝ่ายชายกลับเป็นพวกหน้าด้าน ระดมจูบลงบนใบหน้าของหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง และคาดว่ามือทั้งสองข้างก็คงไม่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ
เฉินผิงอันเริ่มนั่งไม่ติด จะทำยังไงดีละทีนี้? ออกเสียงเอ่ยเตือนคู่ยวนยางป่า (ยวนยางคือนกชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็ดแมนดาริน เป็นสัญลักษณ์ของคู่รักหรือสามีภรรยา) คู่นั้น? หรือรอให้พวกเขาหยุดไปเองแล้วไปจากที่นี่เมื่อสมใจกันพอสมควร?
ความครึกครื้นอย่างนี้ทางที่ดีที่สุดอย่าได้มาพบเจอจะดีกว่า หากถูกใครจับได้ขึ้นมา ต่อให้ดินเหลืองหล่นมาจากในกางเกง ไม่ใช่ขี้ คนก็คิดว่าเป็นขี้
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน ส่งเสียงกระแอมหนึ่งที
หญิงสาวอายุน้อยที่อยู่ตรงต้นซิ่งกรีดร้องแล้วไปหลบอยู่หลังฝ่ายชาย
ผู้ชายเดินก้าวใหญ่อ้อมต้นซิ่งมา ถลึงตามองเฉินผิงอันที่เห็นใบหน้าไม่ชัด พอเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มตัวไม่สูง ร่างผอมบาง ความกล้าหาญก็เพิ่มพูนขึ้นทันใด “ไม่ต้องกลัว โจรเด็ดบุปผาที่มาแอบมองความงามของเจ้าแบบนี้ ต่อให้เขาตีข้าตาย ข้าก็ไม่มีทางทิ้งเจ้าไปไหน สรุปคือหากเขาคิดจะเอาเปรียบเจ้าก็ต้องผ่านศพข้าไปก่อน!”
หญิงสาวน้ำตาคลอเจียนหยด ไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือซาบซึ้งใจ นางที่ยืนเอาหัวไหล่พิงหลังที่กว้างและอบอุ่นของบุรุษจึงพึมพำอย่างลุ่มหลงว่า “หลิ่วหลาง เจ้าช่างดีจริงๆ”
เฉินผิงอันอึ้งค้างอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้โกรธ แค่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่าตอนที่พวกเจ้าสองคนยังเด็กคงไม่ได้เคยถูกหางวัวตบหน้ามาเหมือนกันกระมัง?
จะยืนคุมเชิงกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้าง แสร้งทำเป็นพูดอย่างเขินอายว่า “คุณชาย คุณหนู พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเจ้า เพราะเพิ่งเคยเข้ามาในจวนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน ก็เลย…”
คิดไม่ถึงว่าบุรุษคนนั้นจะตวาดกร้าวเสียงดัง “เจ้าอันธพาล โจรเด็ดบุปผา ยังไม่รีบรัดสายคาดเอวให้ดีอีก เจ้าคิดจะทำอะไร ขยะแขยงตัวเองบ้างหรือไม่ ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีคนที่ถูกความหื่นกระหายบดบังจิตใจได้อย่างเจ้า!”
ขณะเดียวกันนั้นเขายังไม่ลืมหันไปปลอบใจสตรีด้านหลังที่ใบหน้างดงามเผือดสี “แม่นางหลิว เจ้าคอยหลบอยู่ด้านหลังข้าก็พอ อย่ามองเจ้าคนผู้นี้ให้เสียสายตาเลย”
สุดท้ายบุรุษคนนั้นแอบหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอัน สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความลำพองใจ มองดูกวนโอ๊ยน่าเตะ คล้ายเขียนประโยคว่า ‘วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเหลือสาวงาม จะได้ฉวยโอกาสนี้จับนังผู้หญิงคนนี้กินซะเลย แน่จริงไอ้หนูเจ้าก็จัดการข้าให้ได้สิ!’ แปะติดไว้เต็มใบหน้า
เฉินผิงอันมองเขา
เป็นบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้าราวหยกสลัก เป็นต้นฉบับของบัณฑิตหนุ่มผู้อ่อนแอ มิน่าเล่าชายฉกรรจ์เคราดกถึงมักจะบ่นอยู่เป็นประจำว่าพวกบัณฑิตไม่มีใครดีสักคนเดียว คุณหนูจากตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายใต้หล้าแห่งนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละที่ตาไม่บอด คนส่วนใหญ่ล้วนตาบอดมองข้ามเขาผู้แซ่สวีไปหันไปชอบบัณฑิตที่เป็นเหมือนคนขี้โรคพวกนั้นแทน
จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าบัณฑิตคนนั้นแล้วยกมือตบฉาด ทำเอาเขาล้มคว่ำลงพื้น หมดสติไปในบัดดล
หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ นางอ้าปากค้าง สีหน้าอึ้งงัน คิดจะหวีดร้องแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ข่มกลั้นไว้อย่างยากลำบาก กลัวว่าคนชั่วที่ลงมือทำร้ายคนผู้นี้จะฆ่าตนไปพร้อมกันด้วย ถึงเวลานั้นตนกับคนรักหลิ่วหลางที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานจะไม่กลายเป็นคู่ยวนยางที่ตายคู่หรอกหรือ? ทว่าในตำราที่กล่าวถึงชายเก่งกาจหญิงงดงามก็แค่บรรยายไว้ว่า อุปสรรคมากมายที่คู่รักพบเจอมีแค่พ่อแม่คัดค้าน ชีวิตติดขัดไม่ราบรื่น แต่สุดท้ายเมื่อความขมขื่นผ่านพ้น ความหวานชื่นก็ต้องมาเยือน ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือไง? ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่เขียนว่าบัณฑิตและสาวงามถูกโจรฆ่าตายเลยนี่นา
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ จากไป ยักไหล่ขยับกล่องกระบี่ให้เข้าที่ ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง
———————