กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 225.2 ถนนยามค่ำคืน
ไม้สีดำและถ้วยกระเบื้องที่เพิ่ง ‘เก็บมา’ จากข้างทาง
‘ปราบมาร’ กระบี่ไม้ที่ทำมาจากไม้ต้นไหว
หินดีงูก้อนที่ลู่เฉินส่งคืนผ่านทางเฮ้อเสี่ยวเหลียง ต่อให้ไม่นับในข้อที่มันเป็นที่ชื่นชอบของพวกมังกรและเจียวในโลกก็ยังถือว่าเป็นวัตถุดิบวิเศษที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุด
ส่วนตราประทับสามชิ้นที่อาจารย์ฉีมอบให้ตนล้วนสลักมาจากหินดีงูที่ดีที่สุด
เหล็กหมาดหิมะรวมไปถึงกระดาษยันต์คุณภาพเยี่ยมปึกใหญ่ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีความพิเศษมากในบรรดาวัตถุอาคมซึ่งห้อยไว้ที่เอว คือสมบัติที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางส่วนใหญ่ปรารถนาอยากจะครอบครอง
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่รับเขาเป็นเจ้านายชั่วคราวอย่างชูอีและสืออู่
ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันเดินกลับห้องเพียงลำพัง เท้าของเขาจึงล่องลอยเป็นพิเศษ เหมือนกับเด็กชายชุดเขียวเวลาที่ไม่ได้เจอคนฝีมือสูงกว่าบนถนนอย่างยิ่ง
แม้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถตัดสินระดับของวัตถุทุกชิ้นได้อย่างละเอียด แต่ของที่เขาเอามาจากภูเขาลั่วพั่วต้องไม่ได้แย่อย่างแน่นอน
ดื่มเหล้า ต้องดื่มเหล้า!
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันจึงไปสอบถามราคาเหล้าของโรงเตี๊ยมจากลูกจ้างในร้าน พอได้ยินว่าเป็นเหล้าหมักพื้นเมืองของเมืองแยนจือ หนึ่งจินอย่างน้อยต้องจ่ายแปดเหรียญเงิน ส่วนเหล้าแยนจือซึ่งเป็นสินค้าขายดีของโรงเตี๊ยมนั้น หนึ่งจินราคาสิบสองเหรียญ อีกทั้งยังห้ามต่อรองขอลดราคาด้วย! น้ำเต้าของเฉินผิงอันบรรจุเหล้าได้สิบกว่าจิน เหล้าแยนจือที่แพงที่สุดสิบจินก็แค่หนึ่งร้อยตำลึงเงินเท่านั้น! ไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญที่พวกเทพเซียนบนภูเขาใช้กันโดยเฉพาะ ไม่ดื่มเหล้ารสเลิศแบบนี้จะไม่ผิดต่ออาวุธวิเศษ อาวุธอาคมบนร่างของตัวเองที่มีมากเหมือนกองเงินกองทองหรอกหรือ?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจซื้อเหล้าต้มพื้นเมืองสิบจินอย่างเด็ดเดี่ยว
เดิมทีคนทั้งสามต่างแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมันแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าหลิวเกาหวามาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง เขามาเคาะประตูห้องของจางซานเฟิงก่อน นี่คือลูกหลานขุนนางอันดับหนึ่งของเมืองแยนจือ ตอนที่มาใบหน้าของเขากระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะด้านหลังยังมีคู่ชายหนุ่มหญิงสาวอายุน้อยติดตามมาด้วย ผู้หญิงใบหน้าคล้ายคลึงหลิวเกาหวาอยู่หลายส่วน คาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของเขา เขาอธิบายเรื่องราวให้จางซานเฟิงฟัง จางซานเฟิงถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกเขามาก็เพื่อขอยาประเภทน้ำมันนวดของชาวยุทธ์ บอกว่าคืนนี้ตอนที่คุณชายหลิ่วไปดูเทพเซียนเฒ่าแสดง เพราะมีคนเยอะเกินไป อีกทั้งยังเป็นถนนยามค่ำคืน ไม่ทันระวังเลยสะดุดล้มหัวกระแทก ตอนนี้ยังมึนหัวไม่หาย ร้านยาในเมืองปิดไปนานแล้ว พี่สาวของเขาเป็นห่วงคุณชายหลิ่วมาก ได้ยินว่าน้องชายรู้จักกับจอมยุทธ์ในยุทธภพและเทพเซียนบนภูเขาจึงอยากจะขอให้ช่วยดูให้หน่อย อย่าให้มีต้นตอของโรคร้ายทิ้งไว้เด็ดขาด ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนางจะเป็นคนออกเอง
นักพรตจางซานเฟิงจึงพาคนทั้งสามไปที่ห้องของสวีหย่วนเสีย ชายฉกรรจ์เคราดกเองก็ใจกว้าง ช่วยดูอาการให้บัณฑิตที่อ่อนแอผู้นั้นแล้วบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก พอเห็นว่าฝ่ายหญิงดูไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ ชายฉกรรจ์ที่ยิ่งแก่นิสัยก็ยิ่งเผ็ดร้อนจึงหยิบแผ่นเย็นแผ่นหนึ่งออกมาจากในห่อสัมภาระ บอกให้บัณฑิตแซ่หลิ่วแปะไว้เหนือจุดไท่หยาง รับรองว่ายานี้จะช่วยกำจัดต้นตอของโรค และไม่ทิ้งผลร้ายไว้เบื้องหลัง
สตรีผู้นั้นถึงได้วางใจ นั่งลงบนเก้าอี้ สายตาอ่อนโยนที่มองไปยังบัณฑิตเต็มไปด้วยความสงสารเวทนา บัณฑิตปลอบใจนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง คำพูดที่ใช้สุภาพแต่แฝงความหมายที่ตีความไปได้หลากหลาย
ชายฉกรรจ์หนวดดกทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้มากที่สุด เขาที่มองดูอยู่ถึงกับเสียวฟันแปลบ
จางซานเฟิงที่แม้จะเป็นคนออกบวช แต่กลับไม่เคยพลาดเรื่องครึกครื้น สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน เขาจึงรีบวิ่งไปลากเฉินผิงอันมาร่วมวงด้วย บอกว่าพี่สาวของหลิวเกาหวาเป็นแม่นางที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อย วันนี้พาบัณฑิตที่ดูเป็นผู้ดีมาด้วยคนหนึ่ง ดูท่าแล้วอีกไม่นานคงจะได้เป็นลูกเขยจวนเจ้าเมือง เฉินผิงอันเพิ่งจะรินเหล้าใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จนเต็ม ในห้องจึงมีแต่กลิ่นเหล้ากับกาเหล้าเปล่าหนึ่งใบ เห็นว่าจางซานเฟิงจะพาตนไปดูเรื่องสนุกให้ได้ หากตนไม่ไปคงไม่ยอมเลิกรา เพราะไม่อยากเปิดเผยพิรุธเรื่องเหล้าให้ใครเห็นจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกท่าเจี้ยนหลู ตามเขาไปที่ห้องของสวีหย่วนเสีย รอจนเฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้อง คู่รักที่ไปแอบพรอดรักกันในเงามืดใต้แสงจันทร์ก็สูดลมหายใจดังเฮือกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ศัตรูไม่ขยับ ข้าก็ไม่รุก
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะแล้วก็ปลดน้ำเต้าออกมา เริ่มดื่มเหล้าอยู่กับตัวเอง
บัณฑิตแซ่หลิ่วจะนั่งก็กระสับกระส่าย จะยืนก็ไม่เป็นสุข ส่วนพี่สาวของหลิวเกาหวา สตรีที่โดนนิยายรักมัวเมาให้ลุ่มหลงก็ยิ่งร้อนตัว ถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่ในตระกูลชนชั้นสูง ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะตัดสินใจแต่งงานกับชายแปลกหน้า ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะหยิบยกมาพูดได้ แม้จะบอกว่าประเพณีของชาวแยนจือเปิดกว้าง แต่บุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองมาโอบกอดลูบคลำอยู่กับบัณฑิตต่างถิ่น แล้วถูกคนมาพบเห็นเข้า หากเป็นคนที่ปากสว่าง เกรงว่าพรุ่งนี้เรื่องนี้คงแพร่สะพัดไปทั่วเมือง
หลิวเกาหวาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม พวกเจ้าสามคนรู้จักกันหรือ?”
เป็นบัณฑิตแซ่หลิ่วที่ถนัดปั้นเรื่อง เขากระแอมหนึ่งครั้ง แล้วอธิบายว่า “คืนนี้ข้ากับพี่สาวของเจ้าไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบ บังเอิญเจอกับคุณชายท่านนี้พอดี ด้านหลังของเขาสะพายกล่องกระบี่ ประหนึ่งมังกรโผบินพยัคฆ์เยื้องย่าง ท่วงท่าบุคลิกไม่ธรรมดา ทำให้พวกเรารู้สึกเลื่อมใสในสง่าราศีของคุณชาย แน่นอนว่าย่อมยากที่จะลืมได้ลง ตอนนี้ได้มาพบกันอีกครั้งก็ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!”
บัณฑิตกุมมือคารวะเฉินผิงอัน ในดวงตาเต็มไปด้วยแวววิงวอนอย่างน่าสงสาร ตอนนั้นเขาเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นซิ่งแขนขาเล็กบาง จึงนึกว่านี่เป็นโอกาสที่พันปียากจะพานพบซึ่งสวรรค์ประทานมาให้แก่เขา ให้ตนเป็นวีรบุรุษที่ได้ช่วยเหลือสาวงาม หากพลาดไปก็ไม่เท่ากับผิดต่อผู้เฒ่าดวงจันทร์ที่ช่วยโยงด้ายแดงให้หรอกหรือ? ดังนั้นสุดท้ายจึงเกิด ‘ความเข้าใจผิด’ ที่จุดจบไม่ค่อยงดงามนักขึ้น
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้ชื่นชอบหรือรังเกียจอะไร แต่แน่นอนว่าต้องไม่มีความรู้สึกดีๆ อยู่แล้ว จึงทำเพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้เปิดโปงบัณฑิต ถือว่าเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้อีกฝ่ายแล้ว
จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะเฉินผิงอันไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องในบ้านของหลิวเกาหวา
การแต่งงานครั้งนี้จะดีหรือร้าย จะเป็นคู่สร้างคู่สมที่ครองรักกันจนแก่เฒ่า หรือเป็นคู่เวรคู่กรรมที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะครองคู่กันได้แค่ในเวลาสั้นๆ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
แต่ถ้าเปลี่ยนหลิวเกาหวามาเป็นนักพรตจางซานเฟิงที่เฉินผิงอันมองเป็นเพื่อนที่แท้จริง เฉินผิงอันต้องพูดออกมาตามตรงแน่นอน ต่อให้ไม่ได้พูดต่อหน้า แต่ก็ต้องเอ่ยเตือนจางซานเฟิงเป็นการส่วนตัวสักคำ อาจบอกว่าพี่เขยของเจ้าในอนาคตเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนคุณชายที่มาจากตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้
พูดคุยกันมาถึงท้ายที่สุดจึงรู้ว่าบัณฑิตแซ่หลิ่วซึ่งเดินทางไกลมาศึกษาที่นี่คือบัณฑิตยากจนที่พบกับแม่นางหลิวในงานวัดแห่งนี้ เขายากจนถึงขนาดต้องขออาศัยอยู่กับผู้อื่น เพราะโรงเตี๊ยมไม่มีห้องว่างเหลืออยู่แล้วจริงๆ หลิวเกาหวาจึงได้แต่ยิ้มขออภัย ขอร้องให้ชายฉกรรจ์เคราดกกับจางซานเฟิงช่วยรับเขาเอาไว้ นี่ทำให้สวีหย่วนเสียได้เปิดโลกทัศน์ ทำหน้าที่เป็นน้องเขยได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจชาติกำเนิดของบัณฑิตหลิ่ว กลับยังช่วยพี่สาวปิดบังความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมไม่คู่ควรครั้งนี้ด้วย
บัณฑิตแซ่หลิ่วไม่กล้าอยู่ร่วมห้องกับเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกับชายฉกรรจ์เคราดก เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคุณชายผู้บอบบาง ลักษณะเหมือนคนกินไม่เลือกทั้งเนื้อและผักของชายฉกรรจ์เคราดกน่ากลัวเกินไป จึงเลือกที่จะอาศัยอยู่กับนักพรตหนุ่มที่ดูเป็นปกติที่สุดและไม่ขัดตามากที่สุด จางซานเฟิงเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับเรื่องนี้
จากนั้นหลิวเกาหวาจึงพาพี่สาวที่ยังอาลัยอาวรณ์ออกไปจากโรงเตี๊ยม
สองพี่น้องเดินอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่เงียบสงัดเพราะใกล้จะถึงช่วงห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาล ตอนที่ใกล้จะเดินไปถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมืองบ้านของตัวเอง หลิวเกาหวาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านพี่ ข้าไม่ค่อยชอบคนผู้นั้น แต่ในเมื่อท่านชอบเขา สิ่งที่ข้าทำได้ก็ล้วนทำให้หมดแล้ว หากมีวันใดท่านค้นพบว่าตัวเองคิดผิดก็ไม่ต้องคิดมาก ฟ้าถล่มลงมา ท่านพ่อจะตีจะด่าก็ดี จะโมโหจนทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุก็ช่าง ถึงเวลานั้นท่านไม่ต้องกลัว ยังมีข้าอยู่ ข้าคือน้องชายของท่านนี่นา”
หญิงสาวเตะน้องชายตัวเองเบาๆ หนึ่งที พูดอย่างคนที่เขินอายจนพานเป็นโกรธ “หลิวเกาหวา! เจ้าไม่เห็นข้อดีของพี่สาวเจ้าบ้างเลยหรือไง พูดจาอัปมงคลอะไรแบบนี้!”
หลิวเกาหวาหันมาทำหน้าผีใส่นาง
หญิงสาวแสร้งทำเป็นตกใจ โวยวายว่าผีหลอกแล้วยกชายกระโปรงขึ้น ซอยเท้าก้าวเร็วๆ ไปยังประตูใหญ่จวนเจ้าเมือง
หลิวเกาหวาถอนหายใจแล้วก้าวเร็วๆ เดินตามไป
แต่จู่ๆ หลิวเกาหวาก็หยุดเดิน หันขวับไปมองบนถนนที่ว่างเปล่า จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เขาก็ส่ายหน้า ออกเดินต่ออีกครั้ง
เพราะเมื่อครู่นี้เขารู้สึกเสียวและเย็นวูบที่หลังคอ
หลิวเกาหวาปลอบใจตัวเองไม่หยุดว่าจะต้องกลัวอะไร ตนได้พบเห็นเทพเซียนเฒ่าพร้อมกับบิดามาก่อนแล้ว อีกทั้งยังได้คุยกับเซียนผู้เฒ่าต่อหน้าหลายคำ บนร่างจึงติดกลิ่นอายเซียนของอีกฝ่ายมาบ้างแล้ว ต่อให้บนโลกใบนี้มีสิ่งสกปรกอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่นปีศาจต้นไม้ในบ้านโบราณ ตอนนี้พวกมันก็เข้าใกล้ตนไม่ได้
นาทีที่ข้ารับใช้ในจวนปิดประตูด้านข้างลง บนถนนที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างไปไกลเส้นหนึ่งก็มีคนตีฆ้องบอกเวลายามค่ำคืนเริ่มตีฆ้องพอดี แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่เป็นยามสาม แต่เขากลับตีบอกเวลาเป็นยามสี่
และเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนถนนในเมืองแยนจือ “อากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟ”
ในมือของผู้เฒ่าตาบอดที่เดินตีฆ้องบอกเวลายามค่ำคืนมานานหลายปีถือฆ้องทองแดงเอาไว้ เดิมทีควรมีสหายที่เป็นใบ้รับผิดชอบถือไม้ตีเดินมาด้วยกัน พวกเขาทำงานร่วมกันมาหลายปีจึงคุ้นเคยกันดีอย่างถึงที่สุด
แต่ผู้เฒ่าไม่รู้เลยว่าสหายของตนได้กลายมาเป็นสตรีสวมชุดขาวผู้หนึ่ง แต่ละครั้งที่นางยกไม้ตีลงบนฆ้องทองแดงจะต้องมีเลือดสดกระเซ็นออกมาจากพื้นผิวฆ้อง แต่เลือดไม่ทันกระเด็นลงบนถนนก็กลายเป็นกลุ่มควันสีดำที่สลายไปอย่างรวดเร็วเสียก่อน
ผู้เฒ่าตาบอดยังคงตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟ
—————————–