กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 226.1 ในกล่องมีกระบี่สองเล่ม กำจัดปีศาจปราบมาร
ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมเงียบสงบตลอดทั้งคืน
เฉินผิงอันอาศัยอยู่ในห้องสุดปลายระเบียงเพียงลำพัง ก่อนจะเข้านอนเขาฝึกท่าเดินนิ่งหกเก้าและท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอย่างละหนึ่งชั่วยาม สุดท้ายหยิบถ้วยกระเบื้องที่วาดภาพของห้าขุนเขา รวมไปถึงไม้สีดำเหมือนถ่านชิ้นนั้นออกมาพลิกดู ตั้งใจศึกษาอย่างละเอียดอยู่นานก็ยังมองสายสนกลในอะไรไม่ออก
หวังว่าของทั้งสองชิ้นนี้จะมูลค่ามากถึงหนึ่งหรือสองร้อยเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันเก็บไม้สีดำที่หนักอึ้งลงไป รินเหล้าต้มพื้นเมืองรสร้อนแรงจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงไปในถ้วยขาวใบเล็ก จากนั้นก็พลิกเปิดตำราท่องเที่ยวสองเล่มที่หลิวเกาหวามอบให้อ่านอยู่ใต้แสงไฟ คอยจิบเหล้าคำเล็กๆ เป็นระยะ ดื่มได้อย่างมีรสมีชาติ
หลังจากดับไฟขึ้นเตียง เฉินผิงอันหลับตาลงแล้วเริ่มหวนนึกถึงการต่อสู้บนถนนเส้นเล็กกับหม่าขู่เสวียน ทบทวนประโยชน์และผลเสียของทุกหมัดที่ตัวเองปล่อยไป กระบวนท่าหมัดทั้งหลายที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าถ่ายทอดให้ ตอนนั้นเฉินผิงอันมีหรือจะกล้ากั๊กเอาไว้ ท่ามกลางการต่อสู้ที่เอาจริงเอาจัง ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกเมื่อ เขาก็ได้แต่ปล่อยฝีมือทั้งหมดออกไป และเมื่อปล่อยหมัดที่อยู่ในกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบออกไปหลายครั้งก็ทำให้ตระหนักได้ถึงสัจธรรมของหมัดที่ลึกล้ำไปอีกระดับหนึ่ง ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปได้แค่สิบห้าหมัดเท่านั้น ลางสังหรณ์บอกกับเฉินผิงอันว่าหากตนสามารถปล่อยหมัดได้ยี่สิบหมัดในรวดเดียว ก็จะเหมือนกับตอนที่เล่นงานบัณฑิตปีศาจต้นไม้สวมเสื้อเกราะกวางหมิงในบ้านโบราณซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าหม่าขู่เสวียนจะต้องยอมแพ้ตั้งแต่เนิ่นๆ
แต่ว่าเฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ากระบวนท่าที่ทำให้หม่าขู่เสวียนเข้าใจว่าตัวเองจะเอาชนะได้อย่างหวุดหวิดก็คือการเลือกที่ดีที่สุดในเวลานั้น
เพียงแต่การที่เขาพอจะสู้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของภูเขาเจินอู่ผู้นี้ได้อย่างสูสี อันที่จริงแล้วเฉินผิงอันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนอกเหนือไปจากรู้ว่าแพ้หรือชนะ หนึ่งเพราะเขาไม่รู้ถึงความหมายของการที่หม่าขู่เสวียนฝ่าขอบเขตได้สามขั้นในเวลาเพียงแค่หนึ่งปี สองเพราะหม่าขู่เสวียนเกลียดชังเฉินผิงอันจากตรอกหนีผิง แล้วเฉินผิงอันจะไม่รำคาญคนวัยเดียวกันจากตรอกซิ่งฮวาคนนี้ได้อย่างไร
ระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้น โชควาสนาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริง คนบางคนแค่มองไปก็เกิดความรู้สึกอันดีได้ เหมือนเขาเป็นแสงอาทิตย์ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ยกตัวอย่างเช่นคนอย่างอาจารย์ฉี หลี่ซีเซิ่งและจางซานเฟิง คนบางคนแค่มองไปกลับเหมือนดวงตะวันในฤดูร้อนแผดเผา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แสบตา ก็เหมือนกับหม่าขู่เสวียน ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า สตรีแต่งงานแล้วแซ่สวี่แห่งนครลมเย็น
ความคิดสุดท้ายก่อนที่เฉินผิงอันจะหลับไปก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้น่าจะเป็นกระบวนท่าหมัดที่เป็นดั่งสมบัติใต้กรุของตนในเวลานี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากสามารถต่อยได้ห้าสิบหมัดหรือหนึ่งร้อยหมัดในรวดเดียว จะสามารถต่อยแม่น้ำสายใหญ่ให้ขาดครึ่งท่อน บุกเบิกให้เกิดเส้นทางสายหนึ่งได้หรือเปล่า? ภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งจะถูกผ่าจนเกิดเป็นหุบแคบๆ แห่งหนึ่งหรือเปล่า?
ฟ้าเริ่มสว่าง เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นมาฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้อง ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินว่ามีเสียงคนท่องหนังสือดังมาจากในลานบ้านที่มีภูเขาจำลองและต้นไม้เขียวขจี เป็นเสียงของบัณฑิตแซ่หลิ่วคนนั้น ฟังดูแล้วมีท่วงทำนองของคนที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างยากลำบาก น้ำเสียงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำเสนาะหู เนื้อหาที่อ่านล้วนเป็นคำสอนของอริยะ
เฉินผิงอันฝึกหมัดของตัวเองต่อไป แล้วก็เป็นดังคาด เพียงไม่นานก็มีคนที่มาเข้าพักในห้องต่างๆ ของโรงเตี๊ยมเริ่มสบถด่าเสียงดัง จอมยุทธ์ที่นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหบางคนลงจากเตียงทั้งที่ร่างเปลือยเปล่า หยิบจอกเหล้าหรือไม่ก็ถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นได้ก็ผลักหน้าต่างเปิดอ้าแล้วขว้างลงไป ไก่บินหมากระโดดโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด บัณฑิตแซ่หลิ่วคนนั้นก็เริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน เขากระโดดหลบไปทั่วสี่ทิศ เสียงที่อ่านคัมภีร์ของนักปราชญ์ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ยิ่งทำให้ผู้คนเดือดดาล แขกบางคนที่ใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะก็แล้วแต่ยังไม่มีประโยชน์ต่างก็ลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าพลางด่าทอไปด้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นมาทักทายกับบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของบัณฑิตแซ่หลิ่วตรงข้างหน้าต่าง
บัณฑิตหนุ่มง่วนอยู่กับการหลบอาวุธลับ แต่ปากก็ยังไม่ลืมด่ากลับไปด้วย เป็นภาพที่อลหม่านเละเทะ หมดสิ้นซึ่งภาพลักษณ์ของสุภาพชน
หนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันกับชายฉกรรจ์เคราดกก็มานั่งอยู่ในห้องของจางซานเฟิง นักพรตหนุ่มกำลังช่วยทำแผลที่ศีรษะให้กับบัณฑิตแซ่หลิ่ว
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเพิ่งเดินหน้าดำคร่ำเครียดออกไป เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห มาเจอกับแขกสารเลวที่แยกแยะถูกผิดไม่ออกเช่นนี้ แถมจะตีจะด่าก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นแขกผู้มีเกียรติที่บุตรชายของเจ้าเมืองเป็นคนพามา คนใบ้กินหวงเหลียน (หวงเหลียนคือสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีนที่ขมมาก คนใบ้กินหวงเหลียนจึงเปรียบเปรยถึงว่าขมก็พูดไม่ออก มีความทุกข์ใจก็ยากจะบอกแก่ผู้อื่น) มันช่างน่าอัดอั้นตันใจจริงๆ ปัญหาก็คือคนที่มาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่างก็มีฐานะไม่ธรรมดา หากไม่ใช่พ่อค้าของแต่ละพื้นที่ที่ตรงเอวรัดเงินหมื่นกว้าน ก็เป็นพวกจอมยุทธ์ที่ท่องอยู่ในยุทธภพ ทุกคนล้วนเป็นมังกรข้ามแม่น้ำที่ไม่อาจดูถูกได้ พวกเขาต้องมาถูกบัณฑิตผู้นี้ก่อกวนตั้งแต่เช้า วันหน้าตนจะยังทำอาชีพนี้ต่อได้อย่างไร? พวกเขาจะกลับมาเป็นลูกค้าประจำของตนอีกหรือไม่?
บัณฑิตแซ่หลิ่วมีชื่อว่าหลิ่วชื่อเฉิง เป็นคนจากแคว้นป๋ายซาน ตอนที่บัณฑิตแนะนำบ้านเกิดของตัวเอง เขาเน้นย้ำคำว่า ‘อยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหู’ ราวกับว่าเป็นคำกล่าวที่มีเกียรติยิ่งกว่าชื่อต่อท้ายของสกุลเฉินแห่งหลงเหว่ยซีซะอีก
หลังจากนั้นพวกเขาที่อยู่ในโรงเตี๊ยมก็ว่างงานไม่มีอะไรทำ หลิ่วชื่อเฉิงยังแอบออกไปข้างนอก ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องแอบไปพลอดรักกับพี่สาวของหลิวเกาหวา ชายฉกรรจ์เคราดกพาเฉินผิงอันกับจางซานเฟิงไปยังโบราณสถานที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ ในเมือง ศาลบุ๋นบู๊คือสถานที่ที่ต้องไปอย่างแน่นอน จุดศูนย์รวมอย่างศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งต้องไป ระหว่างทางที่กลับมาสีหน้าของสวีหย่วนเสียอึมครึม จางซานเฟิงถามว่าเป็นอะไร เขาก็ตอบแค่ว่าเหนื่อยกับการเดินทาง
การลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนเพื่อเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ นักพรตจางซานเฟิงต้องการเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า จึงเดินทางร่วมกับเฉินผิงอัน ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกต้องการเดินทางไปแคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่าจะนำของชิ้นหนึ่งไปส่งให้กับสหาย สหายคนนั้นเขารู้จักในยุทธภพ ถูกชะตากันมาก เลยร่วมเดินทางกับพวกเขาสองคนชั่วคราว ส่วนข้อที่ว่าทั้งสองฝ่ายจะแยกย้ายกันตอนไหนก็ต้องดูที่ทิศทางการมุ่งไปของเรือซึ่งจะจอดตรงท่าเรือของตระกูลเซียน
อยู่ในเมืองแยนจือสามวันเต็มก็ยังไม่เจอกับเซียนซือแก่และเด็กของสำนักโองการเทพที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ กลับกลายเป็นว่าเจอกับหญิงชราของบ้านโบราณแทน นางตามหาจวนเจ้าเมืองมาตลอดทางจนกระทั่งได้เจอกับหลิวเกาหวา จากนั้นหลิวเกาหวาก็พามาที่โรงเตี๊ยม นางนำข่าวดีมาบอกกับทุกคน ที่แท้ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำที่อยู่รอบบ้านโบราณถึงเหมือนฟ้าดินพลิกตลบ เหมือนโลกหมุนกลับ ปราณสกปรกขุ่นมัวกลายเป็นปราณที่ใสสะอาด ตอนนี้ไม่เพียงแต่นายหญิงของบ้านที่ไม่ต้องกังวลกับโรคร้ายซึ่งจะตามมาภายหลัง ไม่ต้องกังวลว่าจะกลายไปเป็นผีร้าย กล้ามเนื้อทั่วร่างกายก็เริ่มหายดี และหลังจากร่างของผีชางหยางหว่างได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงไปด้วย จิตวิญญาณของเจ้าบ้านฝ่ายชายก็เริ่มดีขึ้น ขอบเขตค่อยๆ ไต่ทะยานขึ้นสูง ถึงขั้นมีความหวังว่าจะฝ่าห้าขอบเขตกลางไปได้ เรียกได้ว่ามีแต่เรื่องดีๆ มาเยือน
ส่วนต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ หญิงชราได้แต่เดาเอาว่าเป็นบุรพาจารย์บางท่านของสำนักโองการเทพลงมือช่วยเหลืออย่างลับๆ
เฉินผิงอันรับฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะตะลึงพรึงเพริดอย่างหนัก แต่สีหน้ากลับเป็นปกติ
ก่อนที่หญิงชราจะจากไปได้บอกว่าตัวเองนำเหล้าดีๆ ไหหนึ่งที่ซื้อระหว่างทางมาฝากเฉินผิงอันด้วย คนทั้งสองจึงพากันกลับไปที่ห้องของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันเพิ่งจะปิดประตูลง หญิงชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นก็เตรียมจะคุกเข่า ทำเอาเฉินผิงอันตกใจรีบเข้าไปประคองนาง ให้ตายก็ไม่ยอมรับการคารวะใหญ่นี้ เพราะครั้งที่เฉินผิงอันกรอกเหล้าใส่น้ำเต้าตอนอยู่ในห้องครัว เขาจงใจเปิดเผยความลับบางอย่าง หญิงชราจึงพอจะรู้ความนัยของเหตุการณ์ในครั้งนี้ และการที่นางคาดเดาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หญิงชราไม่ได้ถามอะไรมาก เฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไป หญิงชราควักของสิ่งหนึ่งที่ใช้ผ้าไหมห่อออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังพลางอธิบายเบาๆ ว่า “ร่างทองของเทพภูเขาเถื่อนแซ่ฉินแหลกสลาย นับแต่นี้ไปบนโลกไม่มีองค์เทพที่ทำลายชะตาของภูเขาและแม่น้ำในแถบหนึ่งผู้นี้อีกแล้ว แน่นอนว่านี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ตอนนั้นพอนายท่านของข้าได้ยินข่าวก็รีบไปที่ศาลทันที เขาแอบขโมยเศษชิ้นส่วนทองคำส่วนใหญ่ของเทพภูเขาแซ่ฉินมาก่อนที่เซียนซือจากสำนักโองการเทพกลุ่มนั้นจะไปถึง นับรวมๆ กันแล้วได้ประมาณแปดชิ้น ตามคำบอกของนายท่าน ชิ้นส่วนที่เหลือจากร่างของของเทพภูเขาเถื่อนไม่ควรมีมากขนาดนี้ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คนแซ่ฉินได้รับโชควาสนาบางอย่างที่แปลกประหลาด ไม่ว่าอย่างไร เศษชิ้นส่วนร่างทองเหล่านี้ล้วนถือเป็นของดี ได้แค่ปรารถนาแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง ต่อให้เป็นในคลังสมบัติลับของราชวงศ์แห่งหนึ่งก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีสะสมไว้มากขนาดนี้ คุณชายเฉินแค่เก็บเอาไว้ก็พอ ถือว่านี่เป็นการตอบแทนจากพวกข้านายบ่าวสามคน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงชราก็ตาแดงก่ำอีกครั้ง “อันที่จริงพระคุณยิ่งใหญ่ของคุณชาย เศษชิ้นส่วนร่างทองไม่กี่ชิ้นนี้จะตอบแทนพอได้อย่างไร เพียงแต่ว่าตอนนี้บ้านโบราณไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลือแล้ว ฮูหยินของข้าจึงตั้งป้ายบูชาให้กับคุณชายที่ยังมีชีวิตอยู่ วันหน้าหากคุณชายเดินทางผ่านแคว้นไฉ่อี ได้โปรดแวะไปที่บ้านให้ได้…”
เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ
สุดท้ายหญิงชรากระซิบว่า “ตอนนี้ฮูหยินเท่ากับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นทางการ นางมองภาพปรากฎการณ์ของเมืองแยนจืออยู่ไกลๆ พบว่าสองวันมานี้มักจะมีปราณสกปรกเป็นกลุ่มๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ นี่ทำให้จิตใจของฮูหยินไม่เป็นสุข หวังว่าคุณชายจะรีบออกไปจากเมืองในเร็ววัน ไม่ว่าคุณชายจะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่นายท่านมักจะพูดเป็นประจำว่า บนเส้นทางของการฝึกตน หากระมัดระวังก็ขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทุกเรื่อง ต่อให้ในแต่ละครั้งจะแค่น่าตกใจ ทว่าไร้อันตราย แต่นั่นย่อมถ่วงเวลาของการฝึกตนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ดี…”
เฉินผิงอันรับปากอย่างไม่ลังเล
จากนั้นเขาก็เดินมาส่งหญิงชราที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม หญิงชราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอให้คุณชายชายเดินทางไกลได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย”
ตั้งแต่ต้นจนถึงจบ หญิงชราไม่มองน้ำเต้าสีชาดตรงเอวของเฉินผิงอันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฉินผิงอันมองเงาร่างของหญิงชราที่หายไปท่ามกลางฝูงชน ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ กลับไปที่ห้องของชายฉกรรจ์เคราดก ตะโกนเรียกจางซานเฟิงมาด้วย จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องเหตุการณ์ประหลาดในเมืองแยนจือที่หญิงชราค้นพบให้คนทั้งสองฟังคร่าวๆ ชายฉกรรจ์จับด้ามดาบที่ห้อยเอว พยักหน้ากล่าวว่า “นี่ก็เป็นจุดที่ข้ากังวลมากที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกพวกเจ้าก็เพราะกลัวว่าคนหนุ่มอย่างพวกเจ้าจะหัวร้อน รั้นจะเหยียบลงไปในบ่อน้ำขุ่นบ่อนี้ให้ได้ หากเป็นฝีมือของภูตผีปีศาจที่มาก่อกวน ในเมื่อกล้ากระทำการชั่วร้ายในเมืองโดยไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามท่านในศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเจ้าบุ๋นบู๊อยู่ในสายตา แสดงว่าต้องเป็นปีศาจใหญ่ที่ร้ายกาจมาก ด้วยตบะของพวกเจ้าและข้าสามคน คาดว่าคงไม่พอจะยัดร่องฟันของคนอื่นเขาด้วยซ้ำ แต่ว่าในเมืองที่มีพื้นที่กว้างขวางขนาดนี้มักจะเป็นพื้นที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบเสมอ อีกทั้งยังต้องมียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์ หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ อาศัยชัยภูมิที่เป็นดั่งฟ้าอำนวยดินอวยพร ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ชนะ จะว่าไปแล้วก็ยังต้องดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับบนภูเขาของแคว้นไฉ่อีเป็นอย่างไร”
เฉินผิงอันถาม “เทพวารีและเทพขุนเขาที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือมากที่สุดอยู่ห่างออกไปเท่าไหร่? หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ พวกเขาจะสามารถมาถึงได้ทันเวลาหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ใช้เวลาในการคิดคำนวณอยู่ชั่วขณะ “เทพแม่น้ำอยู่ห่างจากที่นี่สามร้อยลี้ องค์เทพขุนเขาใต้ห่างไปประมาณเจ็ดร้อยลี้ เพียงแต่ว่าเทพภูเขาของแคว้นไฉ่อีมีตบะไม่สูงมากนัก ถึงอย่างไรขอบเขตพื้นที่ก็เล็กเกินไป เทียบกับราชวงศ์ที่มีพื้นที่กว้างขวางไม่ติด เกรงว่าอย่างมากที่สุดก็เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตในห้าขอบเขตกลางเท่านั้น”
จางซานเฟิงขมวดคิ้ว “ถ้าหากออกมาจากขอบเขตขุนเขาของตัวเอง พลังการต่อสู้ก็ไม่ลดลงมาจนเหลือเท่ากับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่ห้าเท่านั้นหรอกหรือ?”
สวีหย่วนเสียกล่าวอย่างจนใจ “กฎเกณฑ์ของฟ้าดินเป็นแบบนี้ ช่วยไม่ได้”
จางซานเฟิงเอ่ยถาม “บอกบิดาของหลิวเกาหวาสักคำได้หรือไม่ จะดีจะชั่วเขาก็เป็นเจ้าเมือง แม่ทัพหม่าที่มาปักหลักอยู่ใกล้กับเมืองก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนคนที่ฝึกตน หากมีการเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ภูตผีปีศาจที่แฝงตัวมาก่อความวุ่นวายอย่างลับๆ ยอมถอยออกไปเมื่อรู้ว่าอาจต้องเจอกับความยากลำบาก”
สวีหย่วนเสียถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าข่มขู่พวกเจ้า แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้าผู้แซ่สวีรักตัวกลัวตาย เรื่องนี้รับมือได้ยากมาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนของเมืองจะเชื่อหรือไม่ ต่อให้เจ้าเมืองและแม่ทัพต่างก็เชื่อ ยินดีเสี่ยงให้หมวกขุนนางหลุดออกจากหัวเพราะรายงานข่าวเท็จ นำข่าวนี้ไปแจ้งทางราชสำนักอย่างเร่งด่วน ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ส่งข่าวจากเมืองนี้ไปยังเมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ไปถึงการตรวจสอบของที่ว่าการหกกรม กว่าจะนำไปปรึกษาและตัดสินใจในห้องทรงพระอักษร สุดท้ายกว่าทางราชสำนักจะออกพระราชโองการ ออกคำสั่งลับให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและขุนเขามาให้ความช่วยเหลือ ระหว่างนี้ต้องเสียเวลาไปมากเท่าไหร่? ถอยไปพูดอีกก้าว เมื่อมีพระราชโองการออกมา ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่ใกล้เคียง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและขุนเขาต่างก็ออกจากพื้นที่ของตัวเอง หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป คนที่อยู่ในเมืองลงมือเล่นงานภูตผีปีศาจที่มีตบะลึกล้ำก่อนกำหนด สร้างความแตกตื่นตกใจให้ผู้คนเสร็จแล้วก็จากไป ถ้าอย่างนั้นพอถึงท้ายที่สุด ได้เวลาคิดบัญชีแก้แค้น ใครที่ต้องเป็นคนจ่ายหนี้?”
สวีหย่วนเสียชี้ไปยังนักพรตหนุ่มและเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ถึงเวลานั้นพวกเราสามคนจะต้องถูกมองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับปีศาจ? บุคคลที่จะร้องเรียนพวกเรา หากไม่ใช่เจ้าเมืองหลิวก็ต้องเป็นแม่ทัพหม่าผู้นั้น ผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือปีศาจตนนั้นมีแผนการอย่างอื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว คิดอยากจะล่อเสือออกจากถ้ำ ถึงเวลานั้นทางฝ่ายของพวกเราคลื่นลมสงบ แต่ตระกูลเซียนบางแห่งหรือไม่ก็เมืองใหญ่ของเขตการปกครองแห่งอื่นอาจจะพลิกแผ่นดินตามหาตัวพวกเรา เกรงว่าพวกเราสามคนไม่ต้องรอให้คนอื่นเปิดโปงก็กลายมาเป็นโจรร้ายที่ต้องฆ่าสถานเดียวของแคว้นไฉ่อีไปแล้ว”
นักพรตจางซานเฟิงสีหน้าอึ้งงัน รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
สวีหย่วนเสียรินเหล้าหนึ่งจอก กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “อย่าได้รู้สึกว่าข้ากำลังแสร้งข่มขู่ให้พวกเจ้าหวาดกลัว เรื่องที่ทำให้คนอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตาแบบนี้ ข้าไม่เพียงแต่เคยเห็นมากับตาตัวเอง แต่ยังเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อน เพื่อนของข้าหลายคนต้องตายก็เพราะคำว่า ‘หวังดี’ …”
สวีหย่วนเสียชี้ไปยังห่อสัมภาระที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “รายละเอียดข้าคงไม่พูดถึงแล้ว เอาเป็นว่าเพื่อนสี่คน สุดท้ายเหลือแค่ข้าสวีหย่วนเสีย คนหนึ่งในนั้นแม้แต่ศพก็หาไม่พบ คนที่เหลืออีกสองคนอย่างน้อยก็ให้ข้าช่วยเก็บศพได้ โกศสองใบ ใบหนึ่งส่งให้กับคนในครอบครัวเขาไปแล้ว เหลืออีกใบหนึ่งก็คือสาเหตุที่ข้าเดินทางไปแคว้นชิงหลวนในครั้งนี้”
มิน่าล่ะตอนนั้นที่อยู่ในบ้านโบราณ ชายฉกรรจ์เคราดกถึงได้บอกให้จางซานเฟิงและเฉินผิงอันรีบจากไปถึงสองครั้ง
————————–
สวัสดีค่ะ
ขอขอบคุณสำหรับฟีดแบ็กเรื่องความยาวตอนและราคา และทีมงานขออนุญาตชี้แจงดังนี้ค่ะ
การตั้งราคานิยายแปลในแต่ละตอนจะถูกพิจารณาจากจำนวนตัวอักษรภาษาจีนตามเงื่อนไขของสัญญา ซึ่งหากแต่ละตอนมีจำนวนตัวอักษรมาก ราคาตอนนั้นก็จะสูงมากตามไปด้วย (ในกรณีนิยายเรื่อง ‘กระบี่จงมา!’ ในบางบทอาจมีราคาสูงถึง 15 เหรียญทอง ตามต้นฉบับ) ทางเราจึงแบ่ง 1 บท ออกเป็นตอนย่อย และตั้งราคาให้ไม่สูงมากจนเกินไปและเหมาะสมกับเนื้อเรื่องในตอนนั้นๆ ค่ะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในตอนที่ 389 และ 399 (‘บทที่ 225.1 ถนนยามค่ำคืน’ และ ‘บทที่ 225.2 ถนนยามค่ำคืน’) ที่คุณนักอ่านได้แจ้งเรื่องเข้ามา ทางทีมงานได้ตรวจสอบและพบว่าด้วยความยาวและราคาอาจไม่เหมาะสมเหมือนกับตอนอื่นจริงๆ
จึงได้ปรับราคาเป็น 3 เหรียญทองในตอนดังกล่าวเรียบร้อยแล้วค่ะ
ทางทีมงานต้องขออภัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ค่ะ
และเราจะนำข้อเสนอแนะของคุณนักอ่านทุกอ่านไปพัฒนาและปรับปรุง เพื่อประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้นต่อไปอีก
ขอบคุณและขออภัยในความไม่สะดวกอีกครั้งด้วยนะคะ
ทีมงานนิยายแปล Fictionlog