กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 227.1 ออกกระบี่แล้ว
เทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองของแยนจือมีชื่อว่าเสิ่นเวิน ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ตรวจารแคว้นไฉ่อี มีชื่อเสียงด้านความมั่นคงซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอใครจนเลื่องลือไปทั้งราชสำนัก ทิ้งคำกล่าวว่า ‘มีชีวิตอยู่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ตายไปเป็นผีผู้ซื่อตรง’ เอาไว้ ตลอดระยะเวลาสามร้อยปี ควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้จึงรุ่งโรจน์มาโดยตลอด
เพราะก่อนหน้านี้เคยมาที่ศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงไปแล้วรอบหนึ่ง เฉินผิงอันจึงคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี
ศาลเทพอภิบาลเมืองแยนจือแบ่งออกเป็นสี่ตำหนัก รูปปั้นดินหลากสีของเทพสวรรค์ซึ่งเดิมทีเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีตั้งอยู่หน้าประตูหลักชั้นที่สองของศาล เพียงแต่ว่าตอนนี้สภาพของเทวรูปทั้งสองน่าอนาถจนแทบทนมองไม่ได้ เพราะมีทั้งงูเลื้อยยั้วเยี้ยและหนูวิ่งกันให้พล่าน
เฉินผิงอันเดินเลียบกำแพงที่ล้อมเป็นวงกลมไปได้หลายสิบก้าว ลานกว้างของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยังไม่มีสิ่งชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้น เขาจึงเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ซุกซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อออกมา
กระดาษยันต์สีเหลืองลอยห่างไปเบื้องหน้าเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน มันส่ายไหวเล็กน้อย พอเฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว มันก็ค่อยๆ ลอยไปทางประตูหลักด้วยตัวเอง เฉินผิงอันมั่นใจขึ้นมาทันที
แม้ว่าศาลเทพอภิบาลเมืองจะเจอกับหายนะ สภาพของลานกว้างเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งปลูกสร้างด้านหลังศาลเทพอภิบาลเมืองต้องยังมีปราณวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกแน่นอน ไม่อย่างนั้นยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คงไม่มีทางเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ต้องถอยหนีไปทางกำแพงสูงที่อยู่ด้านหลังแทน
ยันต์ปราณหยางส่องไฟปล่อยแสงสีเหลืองสลัวอ่อนจาง รัศมีแสงสะอาดบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่างของเฉินผิงอัน ทุกที่ที่เท้าทั้งสองข้างของเขาก้าวผ่าน พวกสัตว์พิษทั้งห้าอย่างแมงป่อง ตะขาบที่เดินยุบยับอยู่บนพื้นต่างก็พากันหลีกลี้หนีห่าง
ตอนที่เดินผ่านประตูหลัก คงเป็นเพราะถูกริ้วคลื่นเส้นแสงของยันต์ปราณหยางส่องไฟส่องไปโดน งู หนูและแมงป่องที่อยู่บนร่างของรูปปั้นขุนนางสวรรค์ทั้งสองจึงพากันอ้อมจากด้านหน้าหลบไปอยู่ด้านหลัง บ้างก็ผลุบเข้าไปซ่อนตัวในช่องท้องที่เป็นรูโหว่
เฉินผิงอันทำสมาธิเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ด้านหลังประตูหลักก็คือห้องโถงใหญ่ เหนือประตูแขวนกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ไม่ใช่เทพอภิบาลเมือง แต่เป็นรูปปั้นในท่านั่งของขุนพลฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นไฉ่อีคนหนึ่ง ฝั่งซ้ายและขวาของเขาคือขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นและบู๊ รวมไปถึงขุนนางใต้บังคับบัญชารวมทั้งสิ้นแปดคน กรอบป้ายที่อดีตฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีเป็นผู้ทรงพระอักษรด้วยตัวเอง ตอนนี้สีทองหลุดลอกไปเกินครึ่ง มีงูดำตัวใหญ่เท่าปากชามตัวหนึ่งนอนขดอยู่ด้านบน ลำตัวของมันห้อยลงมาเบื้องล่าง ยื่นหัวมาแลบลิ้นขู่ใส่เฉินผิงอันเสียงดังฟ่อๆ คล้ายกำลังสำแดงบารมีและเอ่ยตักเตือน
เมื่อเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป งูดำก็ฉกพรวดเข้ามา มันอ้าปากสีแดงฉานออกกว้าง เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เพียงแค่เบี่ยงเอว ใช้นิ้วทั้งห้ากำศีรษะของงูดำเอาไว้ ขยับข้อมือเบาๆ สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็ร่างอ่อนยวบเหมือนไร้กระดูก ตอนที่มันถูกขว้างลงไปกระแทกพื้นหนักๆ ก็สิ้นลมหายใจตายไปนานแล้ว
เฉินผิงอันเดินไปด้านหน้าตามหลังยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ขยับส่ายอยู่กลางอากาศอีกครั้ง เมื่อผ่านห้องโถงใหญ่มาก็เจอกับลานกว้างอีกแห่งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าพื้นที่ค่อนข้างเล็ก มีต้นไม้โบราณเขียวขจีตั้งตระหง่าน มีแผ่นศิลาจารึกสลักพระราชโองการคำแต่งตั้งที่ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีมอบให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพอภิบาลเมืองทั่วแคว้นตั้งวางอยู่แผ่นหนึ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังมายืนมองอยู่หน้าป้ายศิลานี้พักใหญ่ สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ตัวอักษรที่เขียนพรรณนาธรรมดาอย่างมาก ถึงขั้นสู้ตัวอักษรของเด็กหนุ่มชุยฉานไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วก็โชคดีที่ราชครูต้าหลีซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงโมโหไม่น้อย
ฝั่งซ้ายและขวาของลานกว้างมีตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักเทพไท่สุ้ยอยู่คนละฝั่ง ตำหนักหนึ่งเพื่อให้คนมาจุดธูปขอความเจริญร่ำรวย ก้าวหน้ารุ่งเรือง อีกตำหนักหนึ่งไว้กราบไหว้เทพแห่งชะตาชีวิต หวังให้มีชีวิตราบรื่น ไร้อุปสรรค
ดังนั้นเวลาที่พวกชาวบ้านมาจุดธูปกราบไหว้ในสองตำหนักนี้จึงเหมือนจะจริงใจกว่าเวลากราบไหว้ในตำหนักใหญ่เสียอีก
ยันต์ปราณหยางส่องไฟพุ่งตรงไปด้านหน้า เฉินผิงอันไม่กล้าชักช้า ตามหลังไปติดๆ
แต่แล้วเฉินผิงอันก็หันขวับกลับไปมองด้านหลังเพราะรู้สึกเหมือนว่ามีเงาร่างสีขาวเงาหนึ่งวูบผ่านไปตรงป้ายหินสูงใหญ่ไต้ต้นสนโบราณ
อีกทั้งในตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ยยังมีเสียงพลิ้วหวานของหญิงสาวดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เป็นเสียงที่เบามาก คล้ายเสียงคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกัน ทว่าเบื้องหลังความไพเราะเพราะพริ้งกลับซุกซ่อนความเยียบเย็นเอาไว้ ราวกับว่าผีสาวในโลกวิญญาณกำลังส่งเสียงมาถึงโลกมนุษย์ เสียงหัวเราะนั้นค่อยๆ แทรกซึมผ่านเส้นแบ่งเขตระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย อาศัยว่ามีร่มเงาต้นไม้โบราณช่วยบดบัง ลอดผ่านหน้าต่างของสองตำหนักเข้ามายังลานกว้าง เพียงแต่ว่าเมื่อถูกแสงอาทิตย์บางเบาสาดส่องก็เหมือนหิมะที่หลอมละลาย ทำให้ระดับความดังลดน้อยลงไปมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังดังมาเข้าหูเฉินผิงอันอยู่ดี
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแล้วหันกลับเดินหน้าต่อ
เดินไปอีกแค่สิบกว่าก้าวก็จะเข้าไปในตำหนักหลักซึ่งตั้งรูปปั้นบูชาเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวิน อดีตผู้ตรวจการของศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว
นอกจากกระบี่สองเล่มในกล่องไม้ที่มีไว้เป็นเครื่องประดับชั่วคราว กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็คือกำลังหลักนอกเหนือจากวิชาหมัดของเขา
แต่นอกจากสิ่งของนอกกายเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเขียนลงบนกระดาษสีทองอีกสองแผ่นซึ่งมาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตำราโบราณที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้
เพราะหลังจากที่ทำลายวัตถุชั่วร้ายซึ่งเป็นเหรียญทองแดงในร่มกระดาษน้ำมันที่อยู่บ้านโบราณไปได้แล้ว เฉินผิงอันกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดถึงได้วาดยันต์ขึ้นมาทันที ภายหลังตอนที่ต่อสู้กับปีศาจต้นไม้แซ่ฉู่ของแคว้นกู่อวี๋ ไม่ทันได้เอาออกมาใช้ ปีศาจตนนั้นก็ถูกสองกระบี่ชูอีสืออู่ทยอยกันสังหารให้กลายร่างเป็นต้นอวี๋โบราณไปแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมียันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่นและยันต์ย่อพื้นที่อีกสามแผ่น ฝ่ายหลังหลักๆ แล้วนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า แน่นอนว่าหากคิดจะนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอดก็ไม่เป็นรองยันต์เทพเดินทางที่นักพรตจางซานเฟิงให้เขายืมใช้เลย
วินาทีที่เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปนั้นเอง
บนแท่นศิลาก็มีหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัว นางนั่งอยู่บนยอดของป้ายศิลา ผมสีดำสนิทที่ยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าของนางจนมองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง
แต่นิ้วมือข้างหนึ่งที่นางยื่นออกมาเหลือแค่กระดูกขาวโพลนไร้เลือดเนื้อ นิ้วกระดูกเคาะลงบนยอดบนของป้ายศิลาเบาๆ ทันใดนั้นน้ำพุเลือดสดก็ปรากฏขึ้นมาแล้วไหลลงสู่ด้านล่าง เพียงไม่นานตัวอักษรโบราณเรียบง่ายพันกว่าตัวที่อยู่บนแผ่นหินก็เหมือนกลายมาเป็นหนังสือเลือดสีแดงฉาน
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ชุดสีขาวของหญิงสาวกลับยังคงสะอาดเอี่ยม ไม่มีเลือดกระเด็นมาเปื้อนแม้แต่หยดเดียว
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ยังคงมีเส้นผมสีนิลปิดหน้า แต่นางกลับเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงที่มีท่วงทำนองอือๆ อาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพลงพื้นบ้านโบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้วของแคว้นไฉ่อีหรือไม่
สตรีชุดขาวร้องเพลงเบาๆ พลางชูมือขึ้น ยื่นนิ้วที่มีแต่กระดูกขาวสองนิ้วออกมาคีบเส้นผมสีดำปอยหนึ่งแล้วส่ายเบาๆ สองเท้าที่ไม่สวมรองเท้าซึ่งดูมีเลือดเนื้อมากกว่านิ้วมือแกว่งไกวเบาๆ ยามที่เนื้อกับกระดูกเท้ากระแทกเข้ากับป้ายหินก็ทำให้เลือดสดที่หลั่งทะลักลงมาสาดกระเซ็น
เมื่อเทียบกับเสียงพูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ในตำหนักสองฝั่งซ้ายขวาแล้ว เสียงร้องเพลงของสตรีชุดขาวได้ยินชัดเจนยิ่งกว่า ต้นสนโบราณที่สูงเหนือศีรษะของนางส่ายสะบัดไปตามลมคล้ายกำลังร้องประสานไปกับนาง
ดูเหมือนหญิงสาวจะร้องเพลงมาถึงจุดที่ตัวเองชื่นชอบจึงยกฝ่ามือที่เหลือแต่กระดูกข้างหนึ่งขึ้นตั้งแล้วพลิกกลับไปกลับมาอย่างนุ่มนวล
ประตูที่ปิดแน่นสนิทของสองตำหนักซ้ายขวากระแทกเปิดดังปัง ก่อนที่บุรุษคนหนึ่งจะเดินออกมาจากประตูแต่ละฝั่ง บุรุษที่เดินออกมาจาตำหนักเทพไฉเสินอายุยังน้อย แขนข้างหนึ่งถูกตัดขาดเสมอไหล่ ไม่รู้ว่าแขนข้างนั้นหายไปไหน แต่เลือดหยุดไหลแล้ว แขนที่เหลืออีกข้างหนึ่งลากกระบี่เล่มยาวกลับหัวกลับหาง สีหน้าของเขาซีดขาว ดวงตาทั้งคู่ไร้แววชีวิตชีวา
ทางฝ่ายของตำหนักไท่สุ้ยมีบุรุษชุดดำวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา ศีรษะของเขาลู่ลง เดินกะเผลกข้ามธรณีประตู ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเหนือลำคอของคนผู้นี้ถูกตัดขาดด้วยอาวุธแหลมคม อาศัยผิวเนื้อน้อยนิดที่เชื่อมติดกันเท่านั้น หัวของเขาถึงได้ไม่หลุดออกจากตัว
เมื่อข้อมือของหญิงสาวชุดขาวพลิกหมุน บุรุษสองคนที่เดินโซเซก็พลันเคลื่อนไหวปราดเปรียว เริ่มร่ายรำอยู่บนลานกว้าง ที่แท้บนปลายนิ้วกระดูกของสตรีชุดขาวก็มีเส้นแสงที่โปร่งใสแขวนค้างอยู่กลางอากาศ คล้ายเส้นใยแมงมุมสีหิมะหลายเส้น เส้นใยแมงมุมเหล่านั้นรัดพันอยู่บนแขนขาทั้งสี่ของบุรุษสองคนที่ตายไปแล้ว ควบคุมทุกๆ การกระทำของพวกเขาเอาไว้
ในตำหนักใหญ่สองแห่งที่ประตูถูกเปิดอ้ามีสตรีชุดขาวที่ลากควันดำเป็นกลุ่มๆ ตามมาด้านหลังกำลังล่องลอยไปมาอย่างรวดเร็วอยู่ใกล้กับประตู ลักษณะคล้ายกำลังมองมาทางบุรุษทั้งสอง เสียงหัวเราะเบาๆ ของพวกนางเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันและความแค้นเคือง
เพียงแต่ว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่นอกประตูเป็นเหมือนปราการทางธรรมชาติที่ทำให้พวกนางไม่กล้าเดินข้ามออกจากประตูมาง่ายๆ แต่ก็ยังมีสตรีชุดขาวสี่ห้าคนที่อดรนทนไม่ไหวพาควันดำเป็นระลอกพุ่งออกมาบินล้อมศพของบุรุษทั้งสอง ใช้นิ้วจิ้มไปบนใบหน้าซีดขาวของบุรุษ บ้างก็บินอ้อมไปทางด้านหลัง บ้างก็บินลอดจากใต้รักแร้ของพวกเขาขึ้นไปด้านบน แต่พวกนางก็เล่นสนุกได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อแสงแดดส่องมาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ร่างแหลกสลายหายไป
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูของตำหนักหลัก ยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นคล้ายชนกับกำแพง เด้งกลับออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ขยับไปด้านหน้าต่อไม่ได้อีก
ปราณหยางที่ซุกซ่อนอยู่ในยันต์ส่องไฟเริ่มหดหายไปทีละน้อย
เฉินผิงอันยื่นมือออกไป บนมือก็คล้ายสัมผัสกับผิวน้ำของแม่น้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว เขาเพิ่มแรงเข้าไปอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายมันออกได้
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันกับที่หมุนตัวกลับก็บิดข้อมือ ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เหลือลมปราณอีกไม่นานบินพรวดไปที่ลานกว้างอย่างรวดเร็ว บินวนเหนือศีรษะของศพทั้งสองที่กลายมาเป็นหุ่นเชิดหนึ่งรอบ เสียงตุ้บดังขึ้น ร่างของบุรุษทั้งสองล้มหน้าคว่ำกระแทกพื้นอย่างแรง เส้นแสงทุกเส้นที่เชื่อมติดกับร่างถูกตัดขาด หลังจากที่ศพร่วงลงพื้น เลือดสดก็ไหลนองเป็นสาย
สตรีชุดขาวหดมือกลับมา ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยว กลับเป็นพวกหญิงสาวที่อยู่ในตำหนักทั้งสองเสียอีกที่แยกเขี้ยวกางเล็บ ดวงตาที่มองมาทางเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาต
ขอแค่ตกอับกลายมาเป็นผีร้าย ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่เจ้าจะเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้คำว่าเดิมนั้นมนุษย์มีสันดานที่ดีงามตามคำกล่าวของรองอริยะลัทธิขงจื๊อได้อีก ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ สุดท้ายก็ไม่เหลือน้ำสักหยด
นี่ก็คือเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันมองไปยังแผ่นหลังของสตรีที่นั่งอยู่บนป้ายศิลา เอ่ยเบาๆ ว่า “คุณหนูท่านนี้ คนตายควรได้รับความเคารพมากที่สุด ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่พวกเจ้ามีความแค้นใดต่อกันก็ให้มันจบลงเพียงเท่านี้ดีกว่ากระมัง?”
สตรีชุดขาวทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงร้องเพลงต่อไป คราวนี้นางร้องด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันจึงฟังเข้าใจ
“รูปลักษณ์เป็นดั่งกระดูกแห้งเหี่ยว หัวใจเป็นดั่งขี้เถ้ามอด…นี่คือความจริง ไม่ใช้สิ่งนี้มาควบคุมตน มึนงงสงสัย ไร้ใจก็ไร้ความสามารถ ไร้แผนการ แล้วนั่นจะเป็นคนแบบใด…”
น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความสงบสุขเสี้ยวหนึ่ง ฟังไม่ออกถึงความเจ็บแค้นโกรธเคืองแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันฟังความหมายของตัวอักษรได้คร่าวๆ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายลึกล้ำที่ซุกซ่อนอยู่
และเฉินผิงอันก็ไม่มีอารมณ์ให้ใคร่ครวญเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เทพอภิบาลเมืองน่าจะถูกเวทลับบางอย่างที่อยู่ในตำหนักหลักและด้านนอกของศาลเทพอภิบาลเมืองพันธนาการเอาไว้ จึงไม่อาจออกไปสำรวจเมือง ช่วยเหลือเมืองแยนจือให้ผ่านพ้นจากหายนะที่กำลังจะมาถึงในครั้งนี้ได้
—–