กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 229.2 ขับไล่อธรรม
ในใจของเทพเซียนเฒ่าหัวเราะขำไม่หยุด อันที่จริงเขาอยากจะหันหน้ากลับไปตบไหล่ของแม่ทัพผู้ซื่อตรงคนนั้น แล้วเอ่ยหยอกเย้าเขาว่า “น้องหม่า สายตาเจ้าไม่ค่อยดีเลยนะ ข้าไม่ใช่เซียนซือผู้เที่ยงธรรมอะไรทั้งนั้น แต่เป็นมารนอกรีตที่เจ้าพูดปาวๆ ว่าต้องฆ่าทิ้งให้หมด เซียนซือเมืองหลวงแคว้นไฉ่อี สองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็ล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้า”
ผู้ฝึกตนอิสระนอกวิถีทางอย่างพวกเขา เดิมทีก็เป็นดั่งหนูขี้ขโมยที่อยู่ตามคันนาฉ่ำแฉะอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเขาแสวงหาคือสามปีไม่เปิดกิจการ แต่พอเปิดกิจการก็มีเหลือกินไปถึงสามปี!
หลังจากเรื่องครั้งนี้ผ่านไป ได้สมบัติอาคมชิ้นนั้นมาอยู่ในมือ อย่างมากก็แค่ปิดด่านอีกสักยี่สิบสามสิบปี เดินทางไปยังสถานที่ที่ขยับลงไปทางใต้มากกว่าเดิม วางแผนทำการค้าใหญ่อย่างลับๆ หลังจากนั้นก็หวนคืนวงการกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจกลายเป็นบุคคลผู้นั้นที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่แม้คนทั่วหล้าจะรู้ว่าเป็นคนในวิถีแห่งมาร แต่ใครกล้าเรียกเขาว่ามารต่อหน้าบ้าง? แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนส่วนใหญ่ในโลกก็ยังไม่กล้า!
แต่เรื่องดีๆ แบบนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าก็ได้แต่จินตนาการหาความสุขให้กับตัวเองเท่านั้น
เทพเซียนเฒ่ามองไปทางทิศใต้ครู่หนึ่ง แล้วค่อยหันกลับไปมองทางทิศเหนือด้วยความลังเลใจเล็กน้อย หลังจบเรื่องหนีไปทางทิศใต้ต้องปลอดภัยที่สุดอย่างแน่นอน หากไปทางทิศเหนือตามที่ตกลงกันไว้อาจจะต้องเสี่ยงอันตรายก่อนจะได้ร่ำรวย แต่ขอแค่มีชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุดก็ย่อมต้องได้เป็นเศรษฐีรวยล้นฟ้า
……
ตามคำสั่งของบุรพาจารย์น้อยแซ่ฟู่คนนั้น คนจากสำนักโองการเทพจึงเดินทางไปที่ศาลเทพภูเขาเถื่อนก่อน ผลกลับกลายเป็นว่าเดินไปได้แค่ครึ่งทาง โชคชะตาของแม่น้ำและภูเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปลี่ยนจากขุ่นมัวมาเป็นใสสะอาด นักพรตเฒ่าจ้าวหลิวที่เป็นผู้นำตกตะลึงอย่างหนัก ตัดสินใจว่าจะไปที่ศาลเทพภูเขาก่อน พอไปถึงก็พบว่าร่างทองของเทพภูเขาแหลกสลายและสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นอกเหนือจากนี้ทุกคนยังได้พบกับความประหลาดใจอย่างไม่คาดคิด เพราะพวกเขาเก็บเศษชิ้นส่วนร่างทองมาจากซากปรักหักพังได้ ต่อให้เป็นจ้าวหลิวก็ยังตื่นตะลึง เขาพุ่งนำไปเก็บเศษร่างทองมาอย่างระมัดระวัง แม้ว่าสุดท้ายจะต้องส่งมอบให้แก่สำนัก แต่หากได้ลูบๆ คลำๆ เวลาอยู่ว่างๆ ได้ลองศึกษาดูก็เป็นเรื่องที่ชวนให้คนอารมณ์ชื่นบาน
หลังจากนั้นนักพรตเฒ่าก็กลับไปที่เมืองเล็ก ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจไปเยือนบ้านโบราณ แก้ไขความสัมพันธ์กับผีชางหยางหว่างให้ดีขึ้น
หากคู่สามีภรรยาหยางหว่างอาศัยโอกาสนี้ ต่อให้อาจารย์อาจะช่วยยืนยันให้กับพวกเขา ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสำนักโองการเทพคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ตอนนี้พวกหยางหว่างไม่เพียงแต่รักษาค่ายกลเอาไว้ได้ ขอบเขตของเขายังมีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้น ไม่แน่ว่าด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นของหยางหว่าง เมื่อผีสาวภูติต้นไม้ไม่ใช่ภาระของเขาอีกต่อไป วันใดวันหนึ่งเขาก็อาจจะกลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตกลางก็เป็นได้ เขาพอจะคาดการณ์ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในอนาคตออกเลย ยกตัวอย่างเช่นนิสัยของหยางหว่างที่ไม่ใช่คนคร่ำครึ ตอนอยู่ในสำนักโองการเทพก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนของแคว้นไฉ่อีแต่กำเนิด หากใช้เส้นสายสักหน่อย ไม่แน่ว่าหยางหว่างหรือไม่ก็ภรรยาของเขาอาจจะได้กลายเป็นองค์เทพที่แท้จริงที่ทางราชสำนักเป็นผู้แต่งตั้งได้อย่างราบรื่น หากเป็นอย่างหลังก็ยิ่งน่าตกใจ สองสามีภรรยาต่างก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิต ใครบ้างจะไม่อยากประจบผูกมิตร และมีความเป็นไปได้มากว่าสำนักโองการเทพก็จะผลักเรือตามน้ำ แสดงไมตรีแก่พวกเขา
ถึงเวลานั้นเขาจ้าวหลิวจะทำอย่างไร?
ถึงเวลานั้นต่อให้โขกศีรษะยอมรับผิดก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้ยอมอ่อนข้อ แสดงความเป็นมิตรตั้งแต่ตอนนี้
จ้าวหลิวตัดสินใจได้แล้ว ต่อให้ในใจจะกระอักกระอ่วนแค่ไหนก็ยังเดินทางไปเยือนบ้านโบราณอย่างเปิดเผย แสดงความยินดีกับสองสามีภรรยาที่ความหวานชื่นมาเยือนหลังความขมขื่นพ้นไป ยอมรับผิดกับพวกเขาทุกเรื่อง ดื่มสุราลงโทษสามจอก มอบอาวุธวิเศษชิ้นเล็กที่ระดับขั้นต่ำมาก แต่ลักษณะชวนให้ผู้คนชื่นชอบ หยางหว่างเองก็เป็นคนมีน้ำใจ เพิ่งจะฉีกหน้าแตกคอกันไปไม่นาน ตอนนี้เขาจ้าวหลิวแบกหนามเข้ามาขอยอมรับผิด หยางหว่างกลับรับรองอย่างกระตือรือร้นและมีมารยาท บอกว่าดื่มเหล้าก็ดื่ม แม้แต่อาวุธวิเศษชิ้นนั้นก็ยังรับไป แต่พอดื่มเข้าไปจนเริ่มกรึ่มๆ หยางหว่างก็เริ่มแผดเสียงด่าทอจ้าวหลิว สุดท้ายขนาดผีสาวก็ยังทนมองต่อไปไม่ได้
นางพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นาน แต่หยางหว่างก็ไม่ยอมฟัง จ้าวหลิวที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่พูดอะไรทั้งนั้น ยอมรับคำด่าทั้งหมดแต่โดยดี
หลังจากนั้นจ้าวหลิวก็พักอยู่ที่บ้านโบราณ ส่งข่าวไปให้แก่ลูกศิษย์สำนักโองการเทพที่รออยู่ในเมืองเล็ก คนทั้งกลุ่มจึงหยุดพักกันอีกหนึ่งวัน
บรรยากาศปรองดอง กลมเกลียว
ตอนที่จ้าวหลิวจากไป เขารู้ว่าทุกอย่างที่หยางหว่างปฏิบัติเป็นเพียงการกระทำที่เป็นไปตามมารยาทเท่านั้น ในใจมีแต่จะยิ่งดูแคลนตน และก็น่าจะเป็นเพราะหยางหว่างคิดว่ายอมด่าวิญญูชนดีกว่าเรื่องคนถ่อย ทว่าการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ก็ไม่ถือว่าจ้าวหลิวได้รับความอยุติธรรม ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเป็นอย่างนี้ได้ก็น่าพึงพอใจมากแล้ว อยู่ไกลเกินกว่าจะนับเป็นสหาย และชีวิตนี้ก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว วันหน้าหากจัดการกับความสัมพันธ์นี้ดีๆ ใช้ความคิดความตั้งใจสักหน่อย มาเยือนเมืองแยนจือบ่อยๆ ภายนอกก็อาจจะพอนับได้ว่าเป็นคนรู้จักกันอย่างผิวเผิน
จ้าวหลิวพาคนทั้งกลุ่มเดินทางกลับเหนือด้วยอารมณ์ซับซ้อน เพียงแต่ว่าเพิ่งเดินไปบนเส้นทางภูเขาได้แค่ไม่กี่สิบลี้ จ้าวหลิวก็ค้นพบความผิดปกติของเมืองแยนจือ แต่เทพเซียนเฒ่าท่านนี้กลับเงียบงัน เร่งรุดเดินทางอย่างเดียว
คืนวันนั้นทุกคนหยุดพักค้างแรมกันบนยอดเขา ลูกศิษย์หนุ่มที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามมาหยุดยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าที่ริมหน้าผา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ เห็นได้ชัดว่าทางเมืองแยนจือมีปราณปีศาจแผ่อบอวล สถานการณ์น่าจะเลวร้ายไม่น้อย กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานในเมืองขนาดนี้ ย่อมต้องไม่ใช่ปีศาจธรรมดาแน่นอน พวกเราจะตามไปดูกันหน่อยไหม?”
จ้าวหลิวหัวเราะเฮอๆ “ขนาดเจ้ายังมองออกว่าที่นั่นมีปราณปีศาจพุ่งเทียมฟ้า อาจารย์ไม่ใช่คนตาบอดสักหน่อย”
ชายหนุ่มขบคิดความหมายจากถ้อยคำของอาจารย์อย่างลึกซึ้ง ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราส่งกระบี่บินกลับไปที่สำนัก? บอกว่าต้องการกำลังเสริม?”
ผู้เฒ่าหรี่ตามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองแยนจือ เอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์อาฟู่ต้องการให้พวกเรากำราบเทพภูเขาเถื่อนแซ่ฉิน ตอนนี้ศาลเทพภูเขาพังถล่มลงแล้ว พวกเราเองก็ได้เศษชิ้นส่วนร่างทองมาสามชิ้น การลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ในครั้งนี้ พวกเจ้าได้ผลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์มาก เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ เศษส่วนร่างทองเทพภูเขาที่มากมายขนาดนี้ มีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างสักกี่คนที่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน? การฝึกประสบการณ์นอกสำนักในครั้งนี้จะต้องได้คำว่าประเมินว่า ‘ดี’ อย่างแน่นอน หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจได้คำว่าดีเยี่ยมเลยก็เป็นได้”
ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมา เอ่ยเบาๆ ว่า “ซีผิงเอ๋ย เจ้าควรต้องรู้ว่าเรื่องดีๆ บนโลกใบนี้ อะไรที่มากเกินขอบเขตไปก็ไม่ดี หากเจ้าและข้าสองอาจารย์ศิษย์เลือกจะส่งกระบี่บินไปส่งข่าว หลังจบเรื่องสำนักส่งคนมาที่แคว้นไฉ่อี ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เมื่อเปรียบเทียบเวลาแล้วเห็นว่าพวกเรากริ่งเกรงไม่กล้าเดินหน้าต่อ ก็ง่ายที่จะถูกเปิดโปง คำพูดพวกนี้อาจารย์เต็มใจพูดกับเจ้าก็เพราะว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจมากที่สุด จำไว้ว่าอย่าได้เอาไปบอกคนอื่น”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยอมศิโรราบอยู่ในใจ เขากดเสียงเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ฉลาดปราดเปรื่อง วางแผนได้อย่างรอบคอบรัดกุม!”
จ้าวหลิวหันกลับไปมองยังกองไฟที่อยู่ห่างไปไกล ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพต่างก็นั่งขัดสมาธินอนหลับอยู่ข้างกองไฟ คนที่อายุน้อยที่สุด เวลาหายใจระหว่างนอนหลับจะมีไอขาวเป็นเส้นๆ ไหลลงมาจากจมูกและใบหูให้เห็นได้อย่างเลือนราง หันไปมองพี่น้องชายหญิงสองคนที่เข้าสำนักมาก่อน สภาพของพวกเขากลับห่างชั้นไกลนัก ผู้เฒ่าขมวดคิ้วพูดเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าไปคุยกับเจ้าเด็กน้อยคนนั้นด้วย เด็กคนนี้มีความรู้สึกที่เฉียบไวมาก อย่าเห็นแค่ว่าเขาทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว แต่อันที่จริงพวกเราหลอกสองพี่น้องคู่นั้นได้ มีเพียงเขาที่เราหลอกไม่ได้ หากไม่พูดให้ชัดเจน กลับสำนักแล้วเขาปากมากพูดออกไป จะกลายเป็นหายนะเอาได้”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มพยักหน้ารับ
จ้าวหลิวหันมายิ้มให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอด กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนมีเมตตา “ซีผิง คิดจะอุดปากเจ้าเด็กฉลาดคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าแอบขโมยเศษชิ้นส่วนทองคำไปชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ เดิมทีนี่ก็ไม่ถูกกฎอยู่แล้ว หากถูกค้นพบ ทางสำนักจะต้องลงโทษอย่างหนัก เอาออกมาเถอะ อาจารย์จะช่วยนำไปให้เขาแทนเจ้าเอง ดูสิว่าเขาจะกล้ารับเผือกร้อนลูกนี้หรือไม่ เมื่อรับไปแล้ว เขาก็จะถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับพวกเราสองคน เมื่อกลับไปถึงบนภูเขา เราจะช่วยดูแลกันและกัน อาจารย์เองก็ถือว่าช่วยปูทางสร้างสะพานให้กับเจ้า หากไม่รับ เฮอๆ อาจารย์คือคนที่นำทางพวกเจ้าในครั้งนี้ เดิมทีก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบอยู่แล้ว หลังจบเรื่องยังต้องยื่นเอกสารให้กับฝ่ายนอกของสำนัก นี่เป็นไปตามกฎ และข้าก็จะทำให้ที่พึ่งของเด็กคนนั้นยอกแสลงใจอย่างที่ใครก็หาข้อตำหนิไม่ได้”
จากนั้นนักพรตเฒ่าก็แบมือ ยื่นไปตรงหน้าผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม “เอาออกมาเถอะ”
สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเขียวคล้ำในบัดดล เพียงแต่ว่าเขาสามารถเค้นรอยยิ้มออกมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ ยิ่งไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ หยิบเศษชิ้นส่วนสีทองชิ้นที่ใหญ่ที่สุดยื่นส่งให้นักพรตเฒ่าอย่างรวดเร็ว
จ้าวหลิวเก็บชิ้นส่วนสีทองชิ้นนั้นมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “โอ้โห ชิ้นใหญ่ไม่เบา หนึ่งชิ้นเทียบเท่าได้กับสองชิ้นเลยทีเดียว ดูท่าเจ้าเด็กนั่นจะมีโชคไม่น้อยเลยจริงๆ อยู่ดีๆ ก็ได้เศษชิ้นส่วนใหญ่ขนาดนี้”
สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแข็งกระด้าง ฝืนเค้นรอยยิ้มกล่าวว่า “เดิมทีคิดว่าพอกลับไปถึงสำนักแล้ว จะนำไปมอบให้เป็นของขวัญในวันเกิดของท่านอาจารย์เดือนหน้า”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ตบไหล่ของผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม “ถือว่าเจ้ามีใจแล้ว”
หลังจากนั้นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็เดินกลับไปยังกองไฟอย่างเงียบเชียบ เขานั่งขัดสมาธิหลับตาลง บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ตลอดเวลา
นักพรตเฒ่านั่งอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง เริ่มหล่อหลอมลมปราณ เงียบไปนาน แต่จู่ๆ กลับเอ่ยเย้ยตัวเองเสียงเบาว่า “ไร้ความหวังบนมหามรรคา ก็ได้แค่อาศัยความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ช่างน่าอนาถจริงๆ”
……
บัณฑิตหลิ่วชื่อเฉิงออกจากเมืองทางประตูตะวันออก ก้าวเดินไปตามถนนทางหลวง เดินไปได้สิบลี้ก็หยุดพักเท้าอยู่นอกจุดพักม้า ชาวบ้านที่ไม่มีชื่อเสียงหรือคุณความชอบไม่มีคุณสมบัติให้เข้าไปนั่งด้านใน นอกจุดพักม้ามีร้านน้ำชาอยู่ร้านหนึ่ง บัณฑิตจึงสั่งน้ำชาร้อนๆ หนึ่งถ้วยมาดื่มเพื่อให้ความอบอุ่นแก่กระเพาะ เขาพึมพำเบาๆ คล้ายกำลังพูดกับตัวเอง “ไหนเจ้าชอบคุยโวโอ้อวดว่าตัวเองร้ายกาจนักไงล่ะ? เรื่องเละเทะวุ่นวายขนาดนี้ จะไม่สนใจจริงๆ หรือ? คุณหนูหลิวเป็นคนดีขนาดนั้น ยอมให้เงินข้าใช้ ตอนที่ควักเงินให้ข้าม่แม้แต่จะกะพริบตา แถมยังยอมให้ข้าโอบกอดลูบคลำ ช่วยคลี่คลายเรื่องเร่งด่วนที่เหมือนไฟไหม้ขนคิ้วให้กับข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะให้ข้าไปเป็นขอทานหรือไปขายก้นดีล่ะ? ถ้าข้าหิวตาย เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่หรอก!”
“ว่าไงนะ มาเจอกับเจ้านายอย่างข้าคือความซวยแปดชาติของเจ้า? ทำไมเจ้าถึงไม่พูดบ้างล่ะว่า หากไม่เป็นเพราะข้าหลงเข้าไปในสุสานร้าง ทำลายค่ายกลพันปีแห่งนั้นโดยบังเอิญ ช่วยนายท่านใหญ่อย่างเจ้าออกมาจากคุกแห่งนั้น เจ้าถึงได้มีโอกาสเห็นแสงตะวันอีกครั้ง? เจ้ารู้หรือไม่ว่า เพราะการดำรงอยู่ของเจ้า ตอนนี้เวลาอยู่กับบุปผางาม ข้าถึงขั้นไม่กล้าแสดงฝีมือเต็มสิบส่วน ได้แต่ลูบๆ คลำๆ จุมพิตริมฝีปากอย่างผิวเผิน ไม่อย่างนั้นตาเฒ่าสกปรกอย่างเจ้าก็ได้เปรียบน่ะสิ!”
“เซียนระยำ! ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนสุนัขไร้บ้าน ขนาดข้าจะต่อยคนสักคนให้ร่วงลงพื้นก็ยังห้ามไม่ให้วู่วาม คนอย่างเจ้าเนี่ยนะเรียกว่าเซียนเหนือขั้นหยกดิบ แล้วข้าผู้อาวุโสที่เป็นเซียนโอสถทองคำล่ะ! เทพเซียนโอสถทองคำต่างหากที่ถือว่าเป็นเทพเซียนอย่างแท้จริง ทุกวันเวลาอยู่ว่างๆ ก็บินไปบินมาบนท้องฟ้า บางครั้งพลิ้วกายลงพื้นมาดื่มสุรา หากกษัตริย์หรือแม่ทัพมาเห็นเข้าก็ยังต้องแสดงความเคารพนอบน้อม”
เถ้าแก่ร้านน้ำชาที่มองดูอยู่ไกลๆ รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง บัณฑิตยากจนผู้นี้คงไม่ได้เป็นคนบ้าหรอกกระมัง? พูดพึมพำอะไรอยู่คนเดียว กำลังคุยกับตัวเอง? ถ้าเป็นบ้าก็ไม่เท่าไหร่ แต่ขออย่าให้ไม่มีเงินติดตัวเลย!
บัณฑิตหนุ่มเบิกตากว้าง “ว่าไงนะ? ขอบเขตโอสถทองคำกระจอก? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสดื่มชาร้อนถ้วยนี้เสร็จ จะปล่อยผายลมที่กลั้นมานาน ปล่อยเจ้าออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด? วันหน้าพวกเราสองคนเดินทางใครทางมัน?”
“ด่าคนอย่าแฉจุดอ่อนของคนอื่นสิ เป็นบุตรนอกสมรสแล้วอย่างไร…ต่อให้มีแค่บิดาให้กำเนิด ไม่มีมารดาเลี้ยงดูก็ยังดีกว่าตาเฒ่าโรคจิตอย่างเจ้า อายุตั้งปูนนี้แล้วยังยืนกรานจะเอาชุดเต๋าสีชมพูตัวนั้นมาด้วยให้ได้ จุ๊ๆๆ ช่างไม่มียางอายบ้างเลย ทำไมเจ้าไม่ขอให้ข้าช่วยซื้อผงประทินโฉมให้เจ้าสักสองสามตลับ…นายท่านใหญ่…เอาอีกแล้ว”
เดิมทีเสียงของบัณฑิตก็แผ่วเบาเหมือนเสียงยุงอยู่แล้ว มาถึงท้ายที่สุดก็ยิ่งแผ่วเบาจนแม้แต่ตัวเขาเองก็แทบไม่ได้ยิน ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนมาเป็นขุ่นมัว จากนั้นเพียงชั่วพริบตาก็กลับคืนมามีประกายชีวิตชีวาสดใส ประหนึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แฝงเข้ามาอยู่ในกาย ตลอดทั้งในและนอกร่างเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ไม่ใช่บัณฑิตที่มีแต่กลิ่นอายของความยากจนเต็มกายอีกต่อไป แต่กลับเหมือนจักรพรรดิท่านหนึ่งที่…ปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
ใบหน้าของบัณฑิตแซ่หลิวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือสั่นๆ ออกมาหยิบน้ำชาถ้วยนั้น หลังดื่มชาร้อนคำสุดท้ายหมดก็ลุกขึ้นยืน หยิบเหรียญทองแดงกำใหญ่ออกมาวางกองไว้บนโต๊ะแล้วก้าวยาวๆ เดินจากไป ตอนแรกฝีเท้าของเขาที่ก้าวเดินยังโซเซไม่มั่นคง ดื่มชาเหมือนดื่มเหล้าต้มอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาก็ปรือปรอย แต่พอเดินไปเดินมา ฝีเท้าของเขากลับยิ่งหนักแน่น สุดท้ายบัณฑิตหนุ่มเดินออกจากทางแยกของถนนทางหลวงเข้าไปในผืนนาที่มีดอกน้ำมันบานสะพรั่ง เห็นว่ารอบกายไร้ผู้คนก็สะบัดไหล่ เชือกรัดห่อสัมภาระพลันคลายออกด้วยตัวเอง หลุดออกไปจากบนกาย ลอยค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นชุดนักพรตเต๋าที่ปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างถึงที่สุดชุดหนึ่งก็ลอยออกมา
เป็นสีชมพูจริงๆ!
และเสื้อนอกของบัณฑิตก็ถอดออกด้วยตัวเอง สลับเปลี่ยนตำแหน่งกับชุดนักพรตเต๋าสีชมพูชิ้นนั้น เป็นฝ่ายเข้าไปอยู่ในห่อสัมภาระอย่างว่าง่าย
นอกจากชุดเต๋าที่งดงามหรูหราจนไม่เหมาะกับกฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์แล้ว ในห่อสัมภาระยังมีปิ่นสีทองอีกชิ้นหนึ่งที่กำลังค่อยๆ ลอยมายังเหนือศีรษะของบัณฑิต แล้วเสียบเข้าไปในมวยผมด้วยตัวเอง
จากนั้นห่อสัมภาระก็หายวับไป เห็นได้ชัดว่าหายเข้าไปในวัตถุฟางชุ่นแล้ว
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นวัตถุจื่อชื่อ หรืออาจจะถึงขั้นเป็นวัตถุฟางจั้ง (คือวัตถุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาวัตถุที่ใช้เก็บสิ่งของทั้งสามชนิด) ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กจิ๋ว’ ในตำนานเลยก็เป็นได้
บัณฑิตกางแขนทั้งสองข้างออกกว้าง เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มเคลิบเคลิ้ม ชุดเต๋าสีชมพูของเขาให้ความรู้สึกราวกับว่ามันคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอารมณ์ลิงโลด เสียงฟั่บดังหนึ่งครั้ง มันก็พุ่งมาหยุดอยู่ด้านหลังบัณฑิตคล้ายสาวใช้ที่กำลังปรนนิบัติเจ้านาย ไม่จำเป็นต้องให้บัณฑิตลงมือ ชุดเต๋าก็สวมลงบนร่างของเขาทั้งอย่างนั้น
หลิวชื่อเฉิงที่เดิมทีก็หน้าตาหล่อเหลาอยู่แล้ว พอสวมชุดเต๋าชุดนี้ก็ยิ่งสง่าผึ่งผาย
บัณฑิตที่สะโอดสะองเปี่ยมเสน่ห์ก้าวเดินยาวๆ ออกไปเบื้องหน้า เท้าเหยียบอยู่กลางอากาศ ทะยานลมไปอย่างอิสระเสรี เดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว จนกระทั่งหายเข้าไปในชั้นเมฆแล้วถึงเอ่ยด้วยเสียงอันดัง “อยู่ในสุสานหนึ่งพันปี อยู่บนโลกก็หนึ่งพันปี”
บนพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาเต็มไปด้วยบุปผาสีเหลืองต่างถิ่นที่บานสะพรั่ง
—–