กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 230.1 ยอมจำนน
จวนเจ้าเมือง กุนซือเฒ่าดึงหลิวเกาหวาเดินไปถึงประตูด้านหลังของจวน หลิวเกาหวาเห็นรถม้าคันหนึ่งที่จอดรอไว้นานแล้ว ด้านบนมีสัมภาระครบถ้วนคล้ายรถม้าสำหรับคนที่กำลังจะออกเดินทางไกล ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชาย เชิญขึ้นรถ”
มีผู้หญิงคนหนึ่งเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตาเหมือนดอกสาลี่ที่ถูกพรมด้วยหยาดพิรุณ พอเห็นว่าเป็นหลิวเกาหวาน้องชายของตน นางก็พอจะวางใจได้บาง จึงปล่อยผ้าม่านลง เอนกายพิงผนังรถม้า นางกำลังคิดถึงหลิ่วหลางคนนั้น
หลิวเกาหวาสับสนมึนงงอย่างยิ่ง “ท่านอาซ่ง นี่ทำอะไรกัน?”
ผู้เฒ่าบอกเขาตามความเป็นจริง “ใต้เท้าเจ้าเมืองต้องการให้ข้าคุ้มครองพวกเจ้าไปส่งนอกเมือง”
หลิวเกาหวาร้อนใจขึ้นมาครามครัน “เวลาอย่างนี้จะออกจากเมืองไปทำอะไร? หรือว่าเมืองแยนจือจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่จริงๆ? ท่านอาซ่ง ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่ควรไปจากที่นี่ หากเกิดเรื่องกับท่านพ่อจะทำอย่างไร?”
กุนซือเฒ่าที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองมาหลายปีเอ่ยยิ้มๆ “หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เจ้าเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่ จะทำอะไรได้?”
หลิวเกาหวาจนคำพูด
ผู้เฒ่าเอ่ยเร่ง “คุณชาย รีบไปเถอะ คุณหนูใหญ่รอท่านอยู่นะ”
หลิวเกาหวาส่ายหน้า “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไป! จะไปก็ให้พี่สาวข้าไปคนเดียว…”
หลิวเกาหวายังไม่ทันพูดจบก็วิ่งหนีไปทางประตูหลัง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกตาลาย ก่อนจะพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้เฒ่ามายืนขวางอยู่ตรงหน้าประตู รอจนหลิวเกาหวาหยุดเท้า ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้ม มองประเมินคนหนุ่มตรงหน้าคล้ายจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง “จะดีจะชั่วอาซ่งก็เคยอยู่ในยุทธภพมาก่อน พอจะเป็นท่าหมัดเท้าปักบุปผาอยู่บ้าง เจ้าจะขึ้นรถไปด้วยตัวเอง หรือจะโดนข้าต่อยให้สลบแล้วแบกเจ้าขึ้นรถ? บอกตามตรง อาซ่งเองก็แก่ขนาดนี้ กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดีแล้ว ให้แบกคนคนหนึ่งวิ่งไปวิ่งมา เจ้าไม่สงสารหรือไร?”
หลิวเกาหวาพูดคอแข็ง “ถ้าอย่างนั้นก็ตีข้าให้สลบเถอะ!”
กุนซือเฒ่าถอนหายใจ “พ่อเจ้ารู้นิสัยดื้อรั้นของเจ้า เดิมทีจึงมีคำพูดที่ฝากข้ามาบอกเจ้า ก่อนหน้านี้ข้ากลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ของพวกเจ้าพ่อลูกเลยตั้งใจจะไม่พูดถึง แต่ตอนนี้เจ้ามีท่าทีอย่างนี้ ข้าก็คงได้แต่พูดไปตามตรงแล้วล่ะ พ่อของเจ้าบอกว่า ‘หลิวเกาหวา ยี่สิบกว่าปีมานี้ เจ้าไม่เคยทำเรื่องให้พ่อแก่ๆ อย่างข้าสบายใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้เจ้าอย่าอยู่ในจวนให้เกะกะลูกตาจะได้ไหม?’”
หลิวเกาหวาตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก
เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวอย่างคนมีแรงแต่ไร้กำลัง “น้องสาวข้าล่ะ?”
กุนซือเฒ่าส่ายหน้า “ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจนางเลย เจ้ากับคุณหนูใหญ่รีบจากไปก่อนเถอะ ข้าได้ส่งคนไปตามหาคุณหนูรองแล้ว”
หลิวเกาหวาดึงดันอีกครั้ง ผู้เฒ่าร่างผอมโปร่งร้อนใจมากแล้ว เขากระทืบเท้า กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายใหญ่หลิวของข้า ข้าไม่ได้อยากจะตำหนิเจ้า แต่ลูกผู้ชายชาตรี มัวแต่พิรี้ร่ำไร ทำการใหญ่ไม่สำเร็จหรอกนะ!”
หลิวเกาหวากล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าไม่สนใจท่านพ่อท่านแม่ ไม่สนใจน้องสาว คนสารเลวใจดำอย่างข้า หากทำการใหญ่สำเร็จนั่นสิที่แปลก!”
ประโยคนี้ของเขาทำให้ผู้เฒ่าสำลัก กล่าวอย่างโมโห “ไปๆๆ รีบไป”
หลิวเกากวามึนงงทำอะไรไม่ถูก เขารู้สึกว่าไม่ว่าตัวเองจะทำอะไรก็มักผิดพลาดเสมอ
ในเวลานี้เขาถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าตะกอนแห่งภาระหน้าที่ที่สั่งสมในใจมานาน อย่างเรื่องที่ว่าบิดาของเขายุ่งหัวหมุนอยู่ในวงการขุนนางและการทำตัวให้มีคณธรรม หมกมุ่นเขียนบทความดีๆ ชอบพูดคุยถกปัญหากับคนนอก ยินดีเล่นหมากล้อมเป็นครึ่งๆ วันกับแขกที่เชิญมายังจวน ไม่เคยขาดแคลนคำชมกับบุตรชายหญิงของเพื่อนสนิท มีเพียงกับบุตรชายแท้ๆ อย่างเขาเท่านั้นที่บิดามีท่าทีไม่ร้อนไม่หนาว โดยเฉพาะเมื่อเขาสอบไม่ติดเคอจวี่อย่างที่หวังไว้ บิดายังเอ่ยเยาะเย้ยเขาอยู่หลายคำ…
ตอนนี้เขาถึงได้ค้นพบว่าที่แท้เรื่องเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย
ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ไปเถอะ เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเพิ่มความวุ่นวาย ทำให้พ่อแม่เจ้ากังวลใจกันเปล่าๆ”
หลิวเกาหวายิ้มขื่น “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ รอจนหลิวเกาหวาเดินเข้าไปในห้องโดยสาร ผู้เฒ่าก็ขับรถม้าออกไปยังถนนที่ประตูใหญ่ของบ้านแต่ละหลังปิดสนิท เสียงกีบเท้าม้าดังกุบกับกระทบพื้นมุ่งไปทางทิศใต้ของเมือง
เหลียวซ้ายแลขวามองสถานการณ์บนถนนก็เห็นว่าถนนหนทางส่วนใหญ่ยังคงคึกคักดังเดิม คนที่เดินทางท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ ร้านรวงตั้งเรียงราย ครึกครื้นไม่ธรรมดา ไม่มีใครรู้เลยว่าอันตรายได้คืบคลานมาปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแล้ว และระหว่างความเป็นความตายก็มีเพียงเส้นบางๆ กั้นขวางไว้เท่านั้น ตามคำบอกของแม่ทัพหม่า พวกปีศาจกล้าลงมืออย่างครึกโครมเปิดเผยขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีการเตรียมการมาก่อน หากเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ไม่มีทางที่คนจะตายกันแค่ไม่กี่ร้อยคน ภัยพิบัติหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของแคว้นไฉ่อีที่ทางราชสำนักให้คำจำกัดความว่าเป็นโรคระบาด ทำลายชาวบ้านไปหลายหมื่นคน หนึ่งในนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับค่ายกลใหญ่ที่ชั่วร้ายของผู้ที่เชี่ยวชาญในวิถีมาร หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับสมบัติอาคมสกปรกที่สูญเสียการควบคุม ชาวบ้านที่ตายไปท่ามกลางเหตุการณ์ประเภทนี้ ศพของพวกเขามักจะถูกปล่อยให้ตากแดดตากลม ไม่มีใครกล้าเก็บศพเอาไปฝัง โรคระบาดของปีนั้นที่ลามมาถึงเมืองแยนจือก็เป็นเช่นนี้ ถึงได้ทำให้ในรัศมีหลายร้อยลี้มีสุสานระเกะระกะขนาดใหญ่เกิดขึ้น
เมื่อฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะหนีไปไหนรอด? เว้นเสียแต่ว่ามียอดฝีมือมาช่วยแบกรับเอาไว้ แบกรับไม่ไหว ก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น
ผู้เฒ่าสะท้อนใจ การกระทำของเจ้าเมืองหลิวและจวนเจ้าเมืองในครั้งนี้ทำให้กุนซือเฒ่าอย่างเขาต้องมองเสียใหม่
เจ้าเมืองหลิวจ่ายเงินขอให้นักพรตจงเมี่ยวปล่อยกระบี่บินไปส่งข่าวก็จริง พรรคหลิงซีต้องส่งคนมาช่วยก็จริง นกหลวนสามารถบรรจุคนบินทะยานลมลงใต้มาอย่างรวดเร็วก็จริงอีกเหมือนกัน
แต่ไม่จริงตรงที่ว่าเร็วแค่ไหน เพราะเจ้าเมืองหลิวโกหก นกหลวนหลากสีโบยบินเพียงลำพังสามารถมาถึงเหนืออากาศของเมืองแยนจือตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้ได้จริง แต่หากบรรทุกคนมาด้วย เกรงว่าถึงตอนกลางคืนก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้ามาใกล้อาณาเขตทางเหนือของเมืองแยนจือ
ทำไมเจ้าเมืองหลิวต้องโกหก? เพราะว่าในฐานะขุนนางหลักของเมืองหนึ่งที่มีหน้าที่ปกปักษ์พิทักษ์เมือง เจ้าเมืองหลิวต้องการให้มีคนลุกขึ้นมาออกหน้าในช่วงเวลาที่อันตรายกำลังจะมาเยือน หากคนเหล่านี้สามารถยืนหยัดได้จนกว่านกหลวนที่บรรทุกผู้คนจะมาถึง นั่นก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่หากประคับประคองตัวได้ถึงแค่ช่วงเที่ยงของวันพรุ่งนี้ ถ้าอย่างนั้นทุกคนที่ผูกปมแค้นกับปีศาจใหญ่อย่างเปิดเผยก็ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ได้แต่ร่วมเป็นร่วมตายไปกับคนในเมืองเท่านั้น
หากปีศาจใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเก็บตัวนิ่งตลอดไป หากเที่ยงวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่ก่อเรื่อง ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นเจ้าเมืองหลิวก็มีวิธีบีบให้อีกฝ่ายปรากฎตัว
หากเมืองแยนจือเป็นฝ่ายประกาศศึกก่อน ฝ่ายปีศาจยังสามารถอดทนรอให้ถึงวันมะรืน ก็ยิ่งไม่น่าเป็นห่วง เพราะถึงตอนนั้นทางฝ่ายของเมืองก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีเพราะมีกองหนุนจากทั่วสารทิศมาช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะการมาถึงของเซียนซือพรรคหลิงซีที่ทำให้เจ้าเมืองหลิวไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์อีกต่อไป
เพราะฉะนั้นเวลาที่บัณฑิตไม่เหลือหนทางให้เดินแล้วเอาจริงขึ้นมา ความคิดชั่วร้ายที่อยู่เต็มหัวของพวกเขาก็สามารถท่วมทับคนให้ตายได้
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าได้รู้จักกับเจ้าเมืองหลิวเจ้านายของตนอย่างแท้จริง ผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง กลับยังรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะดื่มสุราให้สาแก่ใจสักครั้ง
น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสเหลือให้ทำอย่างนั้นเท่าใดแล้ว
ก่อนหน้าที่จะหลอกเอาคุณชายใหญ่หลิวเกาหวาไปที่ประตูหลังของจวน ผู้เฒ่าได้พูดเปิดเผยความในใจกับเจ้าเมืองหลิวไปก่อนแล้ว
เจ้าเมืองหลิวบอกกับเขาตามตรงว่า หากหายนะของเมืองแยนจือครั้งนี้มีคนตายแค่ร้อยสองร้อยคน ถ้าหนีได้เขาก็จะหนีแน่นอน แต่ถ้ามีชาวบ้านที่บริสุทธิ์ตายไปเป็นจำนวนมาก เขาจะไม่หนี
ตอนนั้นบัณฑิตที่สวมชุดขุนนางชี้ไปที่หัวใจตัวเองแล้วบอกว่า ตรงนี้ของเขาจะไม่สงบ
แถมยังบอกว่าเขาอ่านตำราของเหล่านักปราชญ์มามากขนาดนั้น ถือว่าเป็นสหายเก่าแก่ที่รู้จักกับพวกมันมานานแล้ว หากครั้งนี้ยังหนีเอาชีวิตรอด เกรงว่าวันหน้าคงไม่มีหน้าไปพลิกหนังสือเปิดอ่าน ไม่มีหน้าไปพบเจอสหายเก่าพวกนั้นอีกแล้ว
“หากชั่วชีวิตนี้ข้าไม่ได้อ่านหนังสืออีก มีชีวิตอยู่จะไปมีความหมายอะไร?”
ตอนที่บิดาผู้เป็นเสมือนพ่อแม่ของประชาชนซึ่งไม่เคยสัมผัสกับการรบและควันปืนมาก่อนในชีวิตพูดถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงเหล่านี้ อันที่จริงริมฝีปากของเขาสั่นระริก สีหน้าซีดขาว สองขาก็สั่นเทา ไม่ว่าจะเก็บอาการอย่างไรก็เก็บไม่อยู่
กุนซือเฒ่ามองเห็นได้อย่างชัดเจน
ใช้ท่าทางของคนขี้ขลาดพูดถ้อยคำห้าวหาญฮึกเหิมแบบนี้
มองดูแล้วน่าตลกอย่างมาก
แต่กุนซือเฒ่ากลับหัวเราะไม่ออก แล้วก็ไม่รู้สึกว่าน่าขำด้วย
บัณฑิตที่เป็นขุนนางบางคนไม่ค่อยเหมือนกับซิ่วไฉยากจนที่คิดว่าตัวเองมีความรู้แต่ผู้คนมองไม่เห็น ตัวเองมีความสามารถแต่ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่จริงๆ
ผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่เป็นสารถีหยุดความคิดลง บังคับม้าควบขับออกจากเมืองโดยเร็ว
ผู้เฒ่าอดหันกลับไปมองไม่ได้ ลูกศิษย์เกเรที่ตนแอบรับตัวไว้คนนั้นก็ไม่รู้ว่าไปมัวเล่นสนุกอยู่ที่ไหน ไม่ว่าหาอย่างไรก็หาไม่พบ หวังเพียงนางจะไม่ไปก่อเรื่องวุ่นวาย หายนะใหญ่ของเมืองแยนจือครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้แน่นอน
ผู้เฒ่าส่ายหน้า กล่าวอย่างจนใจ “น้ำในยุทธภพขุ่นมัว ลมบนภูเขาพัดกระโชกแรง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ลำบาก แค่ขอมีชีวิตที่สงบ มีข้าวให้กินอิ่มท้อง มันยากขนาดนี้เลยหรือไง?”
……
ทางทิศเหนือของเมืองแยนจือมีร้านขายข้าวร้านหนึ่งเปิดกิจการมาได้ยี่สิบกว่าปี เจ้าของร้านคือผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งที่เป็นคนพูดน้อยมาก ปีๆ หนึ่งปริปากแค่ไม่กี่ครั้ง ลูกจ้างในร้านสองคนที่ลงหลักปักฐานอยู่กับผู้เฒ่าในเมืองก็ไม่ค่อยชอบพูด แต่มักจะไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเป็นประจำ นี่ทำให้พวกบ้านใกล้เรือนเคียงรู้สึกดีกับพวกเขา บวกกับที่ข้าวและสิ่งของจิปาถะที่ทางร้านวางขายเป็นของดีแต่ราคาถูก กิจการจึงไม่เลวนัก
วันนี้มีคนต่างถิ่นสองคนมาเยือนร้านข้าว เป็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่มองดูแล้วซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ประตูของร้านปิดหยุดขายของแล้ว ลูกจ้างเด็กหนุ่มที่ร้านข้าวรับตัวมาใหม่เมื่อปลายฤดูหนาวของปีกลายอธิบายว่ามีญาติทางไกลมาเยี่ยมเจ้าของร้านก็ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจ ญาติที่ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานานหลายปี พบหน้ากัน คุยกันมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
หลังจากประตูร้านปิดลง เจ้าของร้านและสองสามีภรรยานั่งอยู่ข้างโต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่ส่งกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ลูกจ้างสามคนนั่งแทะเมล็ดแตงด้วยกันอยู่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่าไม่มีสิทธิ์ได้มานั่งร่วมโต๊ะ
บุรุษที่เดินทางมาไกลยื่นมือไปหยิบน่องไก่มันเยิ้มชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดแทะอย่างเมามัน มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า ตอนที่ยกเหล้าขึ้นดื่ม เหล้าก็กระฉอกออกไปเสียครึ่งหนึ่ง
สตรีแต่งงานแล้วเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อย นิ้วมือสองข้างคีบผิวหนังใต้ปลายคาง ฉีกเบาๆ หนึ่งที ถึงเห็นว่านั่นคือหนังหน้าบางๆ แผ่นหนึ่ง นางโยนมันลงบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นถึงได้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจหนักๆ “ของเล่นบ้าๆ นี่ เวลาสวมลำบากจริงๆ หายใจก็ไม่สะดวก แถมยังแพงตั้งสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ…”
ลูกจ้างสามคนที่อยู่ห่างออกไปสูดลมหายใจดังเฮือกพร้อมกัน สตรีแต่งงานแล้วที่ฉีกใบหน้าปลอมออกหน้าตาอัปลักษณ์จริงๆ!
สามศิษย์พี่ศิษย์น้องหันมายิ้มให้กัน รู้สึกว่าหน้ากากที่จ่ายด้วยสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะนั้น อันที่จริงคุ้มสำหรับนางมาก
สตรีแต่งงานแล้วพูดพลางยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาดึงหน้ากากชิ้นหนึ่งสองโยนลงบนโต๊ะ
คนทั้งสามตะลึงงัน กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
สตรีผู้นี้หน้าตาดีจริงๆ คนทั้งสามคิดพร้อมๆ กันโดยไม่ได้นัดหมายว่าขออย่าให้มีหน้าปลอมแผ่นที่สามเลย ดังนั้นเมื่อสตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้นอีกครั้ง คนทั้งสามจึงโอดครวญอยู่ในใจ ‘ปัดโธ่ จริงๆ แล้วก็ยังเป็นคนขี้เหร่อยู่ดีหรือนี่’ คาดไม่ถึงว่าสตรีแต่งงานแล้วที่หน้าตางามเพริศพริ้งจะหันมายักคิ้วให้พวกเขา ยิ้มหวานหยด “ไม่มีแล้ว พี่สาวหน้าตาแบบนี้แหละ สวยไหมล่ะ?”
เจ้าของร้านข้าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบพูดเข้าเรื่องสักที”
บุรุษกระดกคางขึ้นบอกให้สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนเล่า เพราะเขากำลังง่วนอยู่กับการกินเนื้อดื่มสุรา
สตรีแต่งงานแล้วหยิบกระจกเล็กๆ บานหนึ่งออกมา ส่องกระจกจัดแต่งเส้นผมของตัวเองพลางกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มารเฒ่าหมี่ พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อแบ่งของกับเจ้า”
ผู้เฒ่าคีบผักดองของหน้าหนาวชิ้นหนึ่งยัดไส่ปากเคี้ยวเสียงดังกรุบกรอบ ขมวดคิ้วพูดว่า “ของยังไม่ทันได้มาอยู่ในมือ ก็คิดจะแบ่งกันแล้ว? ในหัวของพวกเจ้าสองผัวเมียมีรูหรือเปล่า?”
สตรีแต่งงานแล้วลดกระจกลงเล็กน้อย ยิ้มหวานกล่าวว่า “เจ้าสนิทกับเซียนหลิวหลี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ เป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมาร้อยปีกว่าแล้ว แน่นอนว่าพวกเราสองสามีภรรยารู้ดี เพียงแต่ว่าเรือลำใหญ่กำลังจะจม มารเฒ่าหมี่ เจ้าคงไม่คิดจะจมน้ำตายไปพร้อมกับพวกเขาหรอกกระมัง?”
ผู้เฒ่าที่ถูกเรียกว่ามารเฒ่าหมี่รีบวางตะเกียบลง “หมายความว่าอย่างไร?”
—–