กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 232.1 พบกับเทพอภิบาลเมืองอีกครั้ง
การฝืนบุกเข้าไปของเฉินผิงอันทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางจากลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำระลอกแล้วระลอกเล่า ทหารคนสนิทที่แม่ทัพหม่าทิ้งไว้ในจวนเจ้าเมืองล้วนเป็นทหารกล้าฝีมือเยี่ยมที่เขาพากลับมาจากชายแดน มีพลังกล้ามเนื้อที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีประสบการณ์อยู่ในสมรภูมิรบมานาน ต่อให้เผชิญหน้ากับคนบนภูเขาก็ยังร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจ เฉินผิงอันบินจากหลังคาของฝั่งนั้นเข้ามาพลิ้วกายลงในจุดลึกของจวนเจ้าเมือง และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ชั่วกะพริบตานี้ เขาจำต้องใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน อีกทั้งยังแม่นยำอย่างถึงที่สุดถึงสองลูก
เด็กสาวกระพรวนเงินตะโกนเสียงดัง “ข้าคือหลิวเกาซินบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง เทพเซียนผู้เฒ่าคือพันธมิตรที่มาให้ความช่วยเหลือ ขอทุกท่านโปรดวางธนูลงด้วย!”
หลังจากพลิ้วกายลงหน้าประตูใหญ่ของห้องโถงหลักได้แล้ว เฉินผิงอันที่ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเบี่ยงตัวเดินเอียงข้างไปสองก้าว ยื่นมือคว้าลูกธนูดอกหนึ่งที่ยิงมาจากด้านหลังของเขา ตัวของลูกธนูสลักลายเมฆาโบราณเรียบง่าย อีกทั้งยังเจาะหลุมเว้าเล็กๆ สามหลุม ระหว่างตัวลูกธนูมีประกายแสงเปล่งวูบวาบอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันโยนมันส่งๆ ไปข้างหน้า ลูกธนูปักลงบนพื้น เขาตะโกนเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางซานเฟิง พวกเจ้าอยู่ข้างในหรือไม่? ผู้เฒ่าที่แสดงวิชาอภินิหารบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบคืนนั้นคือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังหายนะของศาลเทพอภิบาลเมืองครั้งนี้!”
ชายฉกรรจ์เคราดกพุ่งตัวออกมาก่อน ขุนพลฝ่ายบู๊สวมเกราะกับนักพรตจางซานเฟิงตามหลังมาติดๆ
มัลละผิวทองเหลืองสูงจั้งกว่าตนหนึ่งก้าวยาวๆ เสียงดังครืนครั่นตามมาด้วย ไม่พูดไม่จาก็ปล่อยหมัดเข้าใส่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้แต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมารับหมัดนั้นไว้ มัลละร่างทองเหลืองที่นักพรตจงเมี่ยวตั้งใจวาดยันต์สร้างขึ้นมาตนนี้มีพละกำลังไม่ธรรมดา แม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูง แต่พลังการต่อสู้ก็มากพอจะเทียบเคียงกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสองขั้นสูงสุดคนหนึ่ง แต่พอถูกนิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันกำหมัดเอาไว้ ข้อต่อทั่วร่างกายของมันก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ส่งเสียงลั่นเป็นระลอก และไม่อาจขยับมาด้านหน้าได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
เจ้าเมืองหลิวเองก็เดินออกจากประตูใหญ่มาอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเด็กสาวกระพรวนเงินยืนอยู่บนหลังคา จึงรีบตะโกนเสียงดัง “นั่นคือบุตรสาวของข้า หลิวเกาซินบุตรสาวของข้า ทหารกล้าทุกท่านโปรดอย่าได้ทำร้ายนาง!”
มือดาบเคราดกก็รีบอธิบายให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายฟังเช่นกัน “เพื่อนพวกเราเอง ชื่อว่าเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ศาลเทพอภิบาลเมือง”
ขุนพลเสื้อเกราะพยักหน้ารับ เขาชูมือขึ้นทำท่าออกคำสั่ง พลธนูที่ซุ่มอยู่ในมุมต่างๆ ไม่มีใครปล่อยคันธนูในมือลง เพียงแค่กดหัวคันธนูลงเบื้องล่าง คันธนูที่สายถูกง้าวเต็มแรงเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงกลับคืนมาเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้แต่การลดระดับของสายง้าวก็แทบจะเท่ากันทั้งหมดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สวีหย่วนเสียเดินทางผ่านหลายแคว้นมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนดุจเส้นผม หลังจากเห็นภาพนี้เขาก็ให้รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราอย่างแคว้นไฉ่อีนี้จะมีบุคคลที่เป็นดั่งหมาป่า เป็นดั่งพยัคฆ์ที่สามารถฝึกทหารได้อย่างมีระเบียบมีขั้นตอนแบบนี้ แม่ทัพหม่าที่ตอนนี้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ประตูตะวันออกต้องเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการปกครองกองทัพคนหนึ่งอย่างแน่นอน
นักพรตจงเมี่ยวทำมุทราเรียกมัลละร่างทองเหลืองที่เพิ่งต่อสู้ก็พ่ายแพ้ตนนั้นกลับมา แค่นเสียงหยันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยน่ามองนัก “เทพเซียนหวงเหล่าคือผู้บงการ? ฮ่าๆๆ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าต่างหากที่หข้ารู้สึกว่าน่าจะเป็นคนชั่วที่หวังเข้ามาจับปลาในน้ำขุ่นมากกว่า!”
ผู้เฒ่าที่สวมชุดเต๋าสีสันสดใสหันหน้ามาเอ่ยกับเจ้าเมืองหลิวและแม่ทัพฝ่ายบู๊ว่า “หากเทพเซียนหวงเหล่าที่มีวิชาอภินิหารค้ำฟ้าเป็นผู้บงการที่มีจุดประสงค์ชั่วร้าย ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะยังต้องมานั่งวางแผนกันอยู่ตรงนี้ทำไม แค่รอตายก็พอแล้ว อีกอย่างถ้าหวงเหล่าเป็นผู้บงการ จะยังต้องมาเป็นฝ่ายเอ่ยเตือนพวกเราเหมือนคนที่ถอดกางเกงเพียงเพื่อผายลมไปทำไม?”
เจ้าเมืองหลิวใคร่ครวญตามแล้วก็เอ่ยว่า “เหตุผลฟังไม่ขึ้นจริงๆ”
แต่แม่ทัพฝ่ายบู๊กลับช่วยพูดให้ความเป็นธรรมกับเด็กหนุ่ม “พวกมารนอกรีตเชี่ยวชาญการใช้แผนเสี่ยงอันตรายมากที่สุด ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินพวกเขาได้ ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดพวกเราไม่ควรเชื่อใครทั้งนั้น ไม่สู้ฟังก่อนว่าเด็กหนุ่มจะพูดเรื่องอะไร”
เด็กสาวหลิวเกาซินกระโดดลงมาจากหัวกำแพงแล้ววิ่งตะบึงมาตลอดทาง ทั่วร่างของนางเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ โดยเฉพาะเมื่อกระพรวนสีเงินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รอบกายก็มีริ้วคลื่นสีทองกระเพื่อมแผ่เป็นระลอก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เริ่มเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกตนแล้ว เจ้าเมืองหลิวไม่มีเวลามาสนใจว่าทำไมบุตรสาวถึงกลายมาเป็นเทพเซียนที่บินไปบินมาได้ รอจนนางมาหยุดอยู่ข้างกายก็รีบเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? เจ้านี่มันจริงๆ เลย ตอนนี้ในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ยังจะออกไปวิ่งวุ่นข้างนอกส่งเดช เหลวไหลนัก!”
หลิวเกาซินชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เทพเซียนผู้เฒ่า…”
นางพลันตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิด เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาที่นี่ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีวิชากระบี่บินสะเทือนฟ้าสะท้านดินได้บอกกับนางว่าอย่าเล่าเรื่องการต่อสู้ในศาลเทพอภิบาลเมืองให้ใครฟัง ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดเผยตัวตน ป้องกันไว้ก่อนเผื่อว่าในจวนเจ้าเมืองจะมีเส้นสายของปีศาจแฝงตัวเข้ามา
หลิวเกาซินจึงรีบแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “ข้ากับจอมยุทธ์น้อยเฉินผิงอันเจอกับผีสาวโครงกระดูกตนหนึ่งในศาลเทพอภิบาลเมือง นางก็คือสาวงามสวมชุดสีสันสดใสที่จำแลงกายามาจากแผ่นยันต์ซึ่งเผยโฉมหน้าบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบคืนนั้น นางก็คือหนึ่งในปีศาจที่เข้ามาสร้างหายนะในเมือง กว่าข้ากับจอมยุทธ์น้อยเฉินผิงอันจะกำราบนางไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คาดไม่ถึงว่าเทพอภิบาลเมืองและเทวรูปบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาของเขาสององค์ต่างก็ธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นมาร มีควันดำผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด หมายจะสังหารพวกเรา โชคดีที่มีเทพเซียนผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทกระบี่บินปรากฎตัวมาให้ความช่วยเหลือพวกเราพอดี เพียงแต่ว่าเทพเซียนผู้เฒ่าก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน เลยบอกให้พวกเราเอาข่าวมาบอกก่อนว่า คนแซ่หวงผู้นั้นร่วมมือกับพันธมิตรของเขาเพราะต้องการครอบครองสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง เขาบอกให้ข้านำข่าวนี้มาบอกท่านพ่อ พวกเราจะชักนำหมาป่าเข้าบ้านไม่ได้เด็ดขาด! เทพเซียนผู้เฒ่าบอกว่าเขายังต้องการเวลา เมื่อปรับมหาสมุทรลมปราณและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้แล้วจะต้องลงมือ ให้ความช่วยเหลือพวกเรากำจัดปีศาจปราบมารอีกครั้งอย่างแน่นอน!”
เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับเอ่ยชื่นชมความเฉลียวฉลาดรู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ของเด็กสาว
เมื่อเทียบกับจูลู่บนภูเขาฉีตุน กับชายหญิงในยุทธภพที่ขี่ม้าด้วยชุดเลิศหรูซึ่งพบเจอหน้าวัดร้างกลุ่มนั้นแล้ว เด็กสาวกระพรวนเงินที่ชื่อว่าหลิวเกาซินผู้นี้แข็งแกร่งกว่ามากนัก
ทุกคนเดินเร็วๆ กลับเข้าไปในห้องโถงหลัก ไม่รอนั่งลงให้เรียบร้อยก็มีทหารสวมเสื้อเกราะที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเดินเข้ามา บอกว่าในเมืองมีชาวบ้านที่ตกอยู่ในอำนาจของปีศาจหลายแห่ง พวกเขาเริ่มคลุ้มคลั่งสังหารผู้คน ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรหรือเพื่อนบ้านก็ล้วนหนีไม่รอด ชาวบ้านในเมืองที่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวถูกธาตุมารเข้าแทรกเหล่านี้มีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีเลือดไหลออกมาจากดวงตา อีกอย่างยังเคลื่อนไหวได้ว่องไวปราดเปรียว ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก และตอนนี้ก็มีขุนนาง ทหาร รวมไปถึงมือปราบที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ในหลายๆ สถานที่ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นสะพานหินโค้งที่นักท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ หรือในตรอกซอกซอยที่เงียบสงบก็มีประกายแสงสีแดงฉานปรากฎขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน พื้นที่โดยรอบในรัศมีสิบกว่าลี้ พืชหญ้าเหลืองแห้งเหี่ยว ปลาที่อยู่ในน้ำตายลอยหงายท้องขาว
บรรยากาศในห้องโถงหลักเคร่งเครียด เจ้าเมืองหลิวพยายามสงบสติตัวเองแล้วเริ่มวางแผนรับมือ นอกจากจะส่งคนไปยังประตูเมืองตะวันออกโดยเร็วเพื่อแจ้งข่าวให้แม่ทัพหม่าระวังเทพเซียนหวงเหล่าผู้นั้นแล้ว ทุกคนที่อยู่ในห้องยังจับคู่กันเดินทางไปตรวจสอบเหตุการณ์ประหลาดตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากเจอชาวบ้านที่โดนธาตุมารเข้าแทรกหรือเจอกับพวกปีศาจวัตถุหยินก็สามารถสังหารได้ทันที
นอกจากนี้ข้าหลวงทั้งหมดที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองต้องออกจากจวนไปแจ้งชาวบ้านว่าให้รีบกลับบ้านตัวเอง ห้ามออกจากบ้านชั่วคราว หากพบว่าใครฝ่าฝืนจะลงโทษสถานหนักแบบเดียวกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎห้ามออกจากเคหะสถานยามค่ำคืน มือดาบเคราดกสวีหย่วนเสียไปกับจางซานเฟิง หนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ หนึ่งนักพรต ร่วมมือกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ นักพรตจงเมี่ยวไปกับขุนพลฝ่ายบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้น และภายใต้การยืนกรานขอร้องจากหลิวเกาซิน นางจึงได้ติดตามเฉินผิงอัน ต่อให้เจ้าเมืองหลิวจะเห็นแก่ส่วนรวมไร้ความเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน ก็ไม่อาจวางใจปล่อยให้บุตรสาวไปเสี่ยงอันตรายได้ ยังดีที่เมื่อนักสู้ในยุทธภพคนนั้นเสนอตัวจะไปช่วยเฉินผิงอันที่จวนจ้าวอีกแรง เจ้าเมืองหลิวถึงได้กำชับหลิวเกาซินซ้ำแล้วซ้ำว่าอย่าหุนหันพลันแล่น ต้องฟังคำสั่งจากยอดฝีมือทั้งสองทุกเรื่อง
หลิวเกาซินดีใจมาก รีบรับปากทันที เจ้าเมืองหลิวกลัวว่านางจะไม่ใส่ใจจริงจังจึงลากตัวไปกำชับอีกรอบ
เด็กสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่จู่ๆ ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่า’ หน้าตาไม่โดดเด่นคนนั้นก็เอ่ยเตือนขึ้นมา “แม่นางหลิว อย่าทำให้เจ้าเมืองหลิวเป็นห่วง”
หลิวเกาซินอึ้งตะลึง หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคือง แล้วก็ไม่ได้วางท่าว่าตนเป็นผู้อาวุโสจึงเอ่ยสั่งสอน ราวกับว่าเขาเพียงแค่เอ่ยออกมาง่ายๆ เพราะอยากให้นางทำได้ดียิ่งกว่าเดิม แม้หลิวเกาซินจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่ก็ยังพยายามอดทนข่มกลั้นอารมณ์หงุดหงิดดี เอ่ยลาบิดาดีๆ รับรองว่าจะไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์เด็ดขาด เจ้าเมืองหลิวถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง สุดท้ายหันไปกุมหมัดขอบคุณเฉินผิงอันและชาวบู๊คนนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “คงต้องรบกวนให้ท่านทั้งสองดูแลบุตรสาวของข้าด้วยแล้ว”
คนทั้งสองคารวะกลับคืน
ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลจ้าวที่อยู่ห่างไปแค่สองช่วงถนนอย่างรวดเร็ว
ชาวบู๊แซ่โต้วคนนั้นเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เทพเซียนบนภูเขาก็ดี ปีศาจและมารก็ช่าง แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจพวกเขาไม่เคยเห็นชีวิตมนุษย์อยู่ในสายตา ไม่ควรเป็นแบบนี้เลย”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงได้แต่เงียบงันเท่านั้น
—–