กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 234.1 ฝุ่นคลุ้งตกตะกอน
น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเคารพและยำเกรงดังขึ้นมาจากด้านหลัง “คุณชายเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ?”
ที่แท้เจ้าเมืองหลิวก็คืนสติแล้ว
สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำและภูตผีปีศาจ หลิวเกาหวาบุตรชายของเจ้าเมืองหลิวมีความเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ เพราะอ่านเอาจากวรรณกรรมและนิทานเรื่องแปลกของเหล่านักประพันธ์ แต่เจ้าเมืองหลิวกลับไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางระดับสูงที่ปกครองประชาชนของหนึ่งเมือง อีกทั้งเมืองแยนจือยังถือเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของแคว้นไฉ่อีด้วย เจ้าเมืองหลิวจึงรู้เรื่องวงในและความลับมากมายในประวัติศาสตร์มานานแล้ว อย่างน้อยเรื่องเกี่ยวกับศาลเทพอภิบาลเมืองและเทพภูเขาเทพแม่น้ำของเมือง เจ้าเมืองหลิวก็จำเป็นต้องรู้อย่างชัดเจน กรมพิธีการของทางราชสำนักจะส่งคนให้มาอธิบายความลี้ลับเหล่านี้แก่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่เป็นการเฉพาะ
เฉินผิงอันปรับมหาสมุทรลมปราณให้สงบลงได้เล็กน้อย ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอวเรียบร้อย หันกลับไปมองเจ้าเมืองหลิวก็ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
ศึกครั้งนี้ของเขาถือว่าเฉียดอันตรายเสี่ยงตายอย่างยิ่ง อันที่จริงเมื่อเขาต่อสู้กับเทพอภิบาลเมืองแล้วยังมาวาดยันต์ช่วยเด็กหญิง กำลังของเขาก็เป็นม้าตีนปลายอยู่นานแล้ว แม้ว่าการบังคับกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาพิเศษไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้ปราณวิญญาณที่ผู้ฝึกลมปราณต้องใช้ก็จริง เพราะการที่เขา ‘เชิญ’ บรรพบุรุษน้อยทั้งสองไว้ให้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ให้พวกมันช่วยเขากำจัดปีศาจปราบมาร จิตจึงเชื่อมโยงถึงกัน สามารถชักนำออกคำสั่งทางความคิด ท่าไม้ตาย ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ที่ฮูหยินอสรพิษตั้งใจสร้างเพื่อเขาโดยเฉพาะจึงไม่มีความหมายต่อเฉินผิงอันแม้แต่น้อย แต่การเรียกใช้ชูอีกับสืออูก็ยังต้องเผาผลาญพลังจิตของเฉินผิงอันอยู่ดี หากนักฆ่าแซ่โต้วเจ้าของหอหม่ายตู๋ไม่ได้ตกใจกลัวจนหนีไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินผิงอันจะต้องถูกอีกฝ่ายเด็ดหัว หรือไม่ก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันจะไม่เพียงถูกทำลายสะพานอมตะเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสายนี้ก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นยับเยินแตกร้าว เพราะพลังต้นกำเนิดและรากฐานของจิตวิญญาณถูกทำร้ายอย่างสาหัส
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี นี่เกี่ยวพันกับความลับมากมายเกินไป ยังดีที่เจ้าเมืองหลิวเห็นว่าเซียนซือท่านนี้มีสีหน้าลำบากใจ จึงไม่คิดจะซักไซ้ต่อ ในความเป็นจริงแล้วการที่เทพเซียนบนภูเขาลงมาเดินในโลกมนุษย์ก็มีกฎเกณฑ์และข้อห้ามอยู่มากมาย ความรู้ทั่วไปข้อนี้เจ้าเมืองหลิวยังพอจะทราบอยู่บ้าง แค่ต้องการแน่ใจว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือ ‘คนกันเอง’ คือสหายของหลิวเกาหวาบุตรชายของตน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
พูดคุยกับเจ้าเมืองหลิวตามมารยาทสองสามคำ เฉินผิงอันก็หมุนตัวเดินไปหาผู้เฒ่า ทรุดตัวลงนั่งยองช่วยจับชีพจรให้กับผู้ฝึกลมปราณที่จิตใจดีงามคนนี้ ชีพจรของอีกฝ่ายราบรื่นมั่นคง น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร รอจนฤทธิ์ยา ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ถูกกำจัดหมดไปก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้เอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้น จึงเห็นดวงตากลมโตของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกำลังกะพริบปริบๆ มองมายังตน
ดวงตาคลอประกายน้ำที่แบ่งข้างหยินหยางมาตั้งแต่เกิด เมื่อถูกการชักนำจากยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เขียนลงบนกระดาษสีทอง ตอนนี้จึงยังมีแสงสีทองจางๆ ไหลเวียนวน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้นาง กล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
มุมปากสองข้างของเด็กหญิงโค้งขึ้น สองข้างแก้มปรากฏรอยบุ๋มตื้นๆ ของลักยิ้ม
เฉินผิงอันประคองผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น จับเขาวางลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางประตู เจ้าเมืองหลิวคิดในใจว่าตอนนี้ติดตามอยู่ข้างกายเซียนกระบี่ท่านนี้ย่อมปลอดภัยที่สุด จึงเดินตามเฉินผิงอันก้าวออกจากธรณีประตูของห้องโถงหลักไปด้วย เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างศพของฮูหยินอสรพิษ หยิบถุงผ้าสีขาวที่อยู่ตรงเอวนางขึ้นมา พบว่าด้านในมีอ่างล้างพู่กันขนาดเล็กเนื้อกระเบื้องสีชมพูอยู่ใบหนึ่ง ในอ่างมีงูขาวตัวน้อยขดตัวอยู่ ความยาวของมันแค่หนึ่งชุ่น เล็กบางอย่างถึงที่สุด กำลังเงยหน้าแลบลิ้นขู่ฟ่อใส่ท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่ว่าท่าทางนั้นดูก็รู้ว่าแข็งนอกอ่อนใน และยังมีแมงป่องสีดำสนิทที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นอ่างอย่างอ่อนระโหยโรยแรง พอมองอย่างละเอียดถึงเห็นว่าลำตัวของมันคล้ายผีผาสีหมึกตัวหนึ่ง
เฉินผิงอันใจกระตุกเล็กน้อย บังคับให้ชูอีกับสืออู่ออกมาสังหารศัตรูตอนนี้คือฝันกลางวันของคนปัญญาอ่อน แต่จะให้พวกมันออกมาวางท่าข่มขู่ศัตรูกลับไม่ยากเลย
ชูอีกลายร่างเป็นสายสีขาวหิมะพุ่งพรวดออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระโจนไปโผล่อยู่ตรงกลางอ่างล้างพู่กันขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนของโบราณ ลอยอยู่เหนือศีรษะของเจ้าตัวน้อยทั้งสอง ทำเอางูขาวตกใจตัวสั่นสะท้าน ร่างที่เรียวเล็กขยับแนบชิดติดเข้ากับผนังด้านในของอ่าง แมงป่องดำก็ยิ่งทำท่าเหมือนคนยกมือกุมหัว ชูอีบินวนอยู่ในอ่างอย่างเชื่องช้าเหมือนแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่ออกตรวจตราฐานทัพ พลังอำนาจเปี่ยมล้นน่าเกรงขาม
เจ้าเมืองหลิวในเวลานี้ไม่เหลือมาดสุภาพสง่างามของบัณฑิตและขุนนางชั้นสูงอีกต่อไป เขานั่งยองตามเฉินผิงอัน จุ๊ปากพูดชื่นชมไม่หยุด “เซียนกระบี่ตัวจริงก็คือเซียนกระบี่ตัวจริง!”
เฉินผิงอันหยิบอ่างล้างพู่กันขึ้นมาถือในมือ ลุกขึ้นยืน เพ่งสายตามองไปถึงได้เห็นว่าวงกลมด้านนอกของอ่างล้างพู่กันที่อยู่ใกล้กับก้นอ่างมีตัวอักษรเล็กๆ เหมือนลูกอ๊อดที่กำลังเคลื่อนที่ช้าๆ ไม่อยู่นิ่ง คล้ายกลุ่มเด็กร่าเริงน่ารักกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมวงเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
มีทั้งหมดสิบหกตัวอักษร บุปผาวสันต์ดวงจันทร์สารท สายลมวสันต์ต้นไม้สารท ภูเขาวสันต์ก้อนหินสารท วารีวสันต์เกล็ดน้ำค้างสารท
เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ นึกไปถึงคู่สองสาวพี่น้องที่เจอบนเรือคุน พี่สาวชุนสุ่ย (แปลตรงตามตัวคือน้ำในช่วงฤดูใบไม้ผลิ) นิสัยหนักแน่น น้องสาวชิวสือ (ผลไม้หรือธัญพืชที่สุกงอมในฤดูใบไม้ร่วง) นิสัยเหมือนเด็กมากกว่า เฉินผิงอันอดเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าทางทิศใต้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนางไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้วหรือยัง? หากได้พบกันครั้งหน้า เฉินผิงอันอยากมอบอ่างล้างพู่กันใบเล็กที่งดงามชิ้นนี้ให้กับพวกนาง น่าเสียดายก็แต่ด้านบนสลักแค่อักษรคำว่าชุนสุ่ย (วารีวสันต์) ไม่มีคำว่าชิวสือ ขาดไปแค่ตัวอักษรเดียว เลยไม่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นคงจะดียิ่งกว่านี้
เพียงแต่ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า ความน่าเสียดายบางอย่าง อาจเพียงแค่เพราะไม่สามารถทำให้มันงดงามอย่างสมบูรณ์แบบได้ แต่ความน่าเสียดายบางอย่าง กลับเป็นความรู้สึกที่จะคงอยู่ยาวนานตลอดไป
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเมืองหลิว คนตายควรได้รับความเคารพ ท่านช่วยเก็บศพให้สตรีผู้นี้ วันหน้าหากมีโอกาสช่วยหาที่ฝังศพให้กับนางด้วยได้หรือไม่? ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ข้าจะเป็นคนออกให้เอง”
เจ้าเมืองหลิวกล่าวยิ้มๆ “เรื่องเล็กแค่นี้ ไหนเลยต้องให้คุณชายสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ทุกอย่างมอบให้เป็นหน้าที่ของจวนเจ้าเมืองเถอะ รับรองว่าเราจะจัดการให้อย่างเหมาะสม”
เจ้าเมืองหลิวหุบยิ้ม ถามหยั่งเชิง “เพียงแต่ว่าคราวนี้พวกปีศาจมาก่อเรื่องวุ่นวาย ตาเฒ่าแซ่หวงคนนั้นหน้าเนื้อใจเสือ ปกปิดเจตนาชั่วร้าย ไม่แน่ว่าอาจต้องให้คุณชายใช้กระบี่บินกำราบพวกปีศาจอีกครั้ง”
เฉินผิงอันยิ้มจืด “ตอนนี้ข้าต้องการแค่ถังน้ำใบใหญ่ที่บรรจุน้ำร้อนไว้จนเต็ม ส่วนตัวยา ข้ามีมาเอง อย่างน้อยต้องแช่ตัวหลายชั่วยาม ถึงจะบำรุงรักษาร่างกายให้หายดีได้”
เจ้าเมืองหลิวพยักหน้ารับ “แน่นอนๆ ข้าจะสั่งให้คนในจวนไปจัดการเดี๋ยวนี้ ร่างกายของคุณชายเฉินสำคัญมาก ตอนนี้ความปลอดภัยของชาวบ้านหลายแสนคนในเมืองแยนจือล้วนผูกติดอยู่กับคุณชายเฉินแล้ว จะปล่อยให้เกิดปัญหากับร่างกายท่านไม่ได้จริงๆ ข้าจะไปสั่งคนให้ช่วยจัดการเดี๋ยวนี้…”
เจ้าเมืองหลิวก้าวเร็วๆ จากไป อันที่จริงขุนนางระดับสูงขั้นสี่ชั้นเอกของแคว้นไฉ่อีผู้นี้พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา ต่อให้เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ในวงการขุนนางก็ฟังความนัยจากคำพูดของเขาเข้าใจ แต่สำหรับเรื่องนี้เขาทั้งไม่ได้ตบอกรับรอง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธไปในทันที เพียงยิ้มเจื่อนๆ ไม่เอ่ยคำใด
นอกจากนำกระบี่ไปส่งแล้ว ทุกเรื่องที่พบเจอ เฉินผิงอันจะใช้หลักการแค่สี่คำว่า ทำเท่าที่ความสามารถอำนวยเท่านั้น
กับเทพอภิบาลเมืองร่างทองเสิ่นเวิน เขาทำแบบนี้ กับขุนนางใหญ่ผู้พิทักษ์อาณาเขตแห่งนี้ เขาก็จะทำแบบเดียวกัน
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไปแช่ตัวอยู่ในถังยาใบใหญ่ในห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่ง ตัวยาที่ใช้เป็นเว่ยป้อมอบให้ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากหลงเฉวียน จำนวนมากพอให้ใช้สามครั้ง แน่นอนว่าหากมากกว่านี้เว่ยป้อก็หามาให้ได้ นั่นก็เพราะเงินของทวยเทพขุนเขาเหนือมีมากพอ วัตถุดิบวิเศษในร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีมากพอ แต่เว่ยป้อไม่ได้เตรียมไว้มากนัก ตอนนั้นเขายังพูดเย้าว่าเป็นลางไม่ดี เตรียมมาไว้มากเกินไป อาจเป็นการแสดงว่าเขาไม่เห็นดีในตัวเฉินผิงอัน เขาหวังว่าการเดินทางในยุทธภพของเฉินผิงอันครั้งนี้จะราบรื่นและปลอดภัย จำนวนครั้งที่บาดเจ็บไม่เกินสาม เหมือนกับคำว่าเรื่องใดๆ ไม่ควรทำซ้ำสามครั้ง ถือว่านี่เป็นการมอบลางที่ดีให้แก่เฉินผิงอันก่อนออกเดินทาง
ก่อนที่จะเข้ามาในห้องนี้ เฉินผิงอันขอให้เจ้าเมืองหลิวช่วยรักษาความลับ อย่าแพร่งพรายบอกใครว่าเขาคือ ‘เซียนกระบี่’ เจ้าเมืองหลิวทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ตอบรับอย่างรวดเร็ว ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยคำสาบานเท่านั้น
ขณะเดียวกันก็มอบยันต์เทพเดินทางให้กับเจ้าเมืองหลิว บอกว่าให้นำไปมอบแก่นักพรตจางซานสหายของเขา
ระหว่างที่เฉินผิงอันแช่ตัวอยู่ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือ แต่ในเมื่อเฉินผิงอันไม่มีเวลาไปสนใจ จึงหยุดคิดให้มากความ สงบใจบำรุงลมปราณด้วยความอบอุ่น บวกกับใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ และวิธีการหายใจของหยางเหล่าโถว เข้าฌานทำสมาธิอยู่ในถังยา มือทั้งสองข้างทำท่ากระบี่เจี้ยนหลูตามตำราเขย่าขุนเขา ประหนึ่งไม้แห้งเหี่ยวในฤดูหนาวที่รอให้ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาเงียบๆ
คืนนี้การเข่นฆ่าในเมืองแยนจือยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านหนึ่งคือพวกปีศาจที่เปิดใช้ค่ายกลสำเร็จ ทุกพื้นที่ล้วนมีชาวบ้านที่ถูกอาคมปีศาจเข้าสิงร่าง คนทั้งจวนเจ้าเมืองต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มที อีกด้านหนึ่งก็มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือแม่ทัพหม่าที่อยู่ตรงประตูตะวันออกส่งข่าวมาบอกว่า ไม่รู้ว่าทำไมมารหวงเหล่าที่ตบตาผู้อื่นว่าเป็นเทพเซียน ถึงได้แตกคอกับคนสามคน ไปต่อสู้กันที่ศาลเทพอภิบาลเมืองจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน และด้วยเหตุนี้เรื่องร้ายจึงเกิดขึ้น คนทั้งสี่ต่อสู้กันอย่างไม่มีออมมือ แต่ละคนมีสมบัติอาคมมากเท่าไหร่ก็โยนใส่กันไม่ยั้ง คาถาอาคมชั่วร้ายก็ถูกร่ายไม่หยุด ทำลายบ้านเรือนของชาวบ้านพังไปหลายร้อยหลัง ชาวบ้านเองก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ทหารม้าใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพหม่าที่ควบม้าเร็วออกจากฐานทัพมาให้ความช่วยเหลือที่เมืองแยนจือไม่อาจขี่ม้าบุกเข้าไปตามตรอกซอกซอยได้ จำต้องลงจากม้าเดินเท้าต่อสู้ แต่ละคนสวมเสื้อเกราะเหล็ก ในมือถือธนูแข็งแกร่งทนทาน แต่สำหรับปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝึกตนบนภูเขาทั้งสี่ท่านนั้น นอกจากลูกธนูพิเศษสิบกว่าลูกที่เก็บอยู่ในจวนเจ้าเมืองซึ่งสามารถสร้างภัยคุกคามที่แท้จริงให้กับพวกเขาได้แล้ว ธนูแบบอื่น หนึ่งคือตามความเร็วในการพลิกตัวเปลี่ยนท่าทางของพวกเขาไม่ทัน สองยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็มักจะถูกตบให้ถอยออกไปก่อน หรืออาจถึงขั้นที่ว่าลูกธนูบางส่วนจะถูกปีศาจใหญ่บางตนคว้าจับไว้ได้ระหว่างการต่อสู้ แล้วโยนกลับไปส่งๆ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ทหารกล้าบาดเจ็บและล้มตายกันไปอีกแปดคนสิบคน
คิดจะใช้ความตายแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ส่วนแม่ทัพหม่านั้นสมกับคำว่าไม่กลัวตายอย่างแท้จริง เป็นทหารกล้าเชี่ยวชาญการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนสมรภูมิรบชายแดนมานานหลายปี เมื่อเจอกับผู้ฝึกตนเหล่านี้ เขาจึงบุกนำเป็นทัพหน้า หลายครั้งที่หาโอกาสเหมาะจับจังหวะเล่นงานปีศาจบางตนที่แยกตัวอยู่โดดเดี่ยวได้เจอ จึงคอยร่วมมือกับรองแม่ทัพผู้นั้นต่อสู้ประชิดตัวโรมรันกับฝ่ายมาร ภายหลังการกระทำของเขาทำให้ ‘เทพเซียนหวงเหล่า’ กับมารเฒ่าหมี่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดโมโหจัด คนทั้งสองที่กลายมาเป็นศัตรูกันจึงหยุดพักรบกันชั่วคราว หันมาโจมตีทั้งแม่ทัพหม่าและรองแม่ทัพให้บาดเจ็บสาหัส หากไม่เป็นเพราะนายทหารคนสนิทสิบกว่าคนช่วยกันใช้ธนูพิเศษที่สำนักโม่เป็นผู้สร้างขัดขวางเอาไว้ รวมไปถึงคนหลายคนที่ช่วยปกป้องอย่างไม่เสียดายชีวิต คนทั้งสองก็คงไม่มีทางมีชีวิตรอดออกมาจากสนามต่อสู้ และคงจะรบตายอยู่ในเมืองแยนจือตั้งแต่คืนนั้น
ครึ่งคืนหลัง ‘เทพเซียนหวงเหล่า’ ที่ต้องรับมือกับศัตรูถึงสามคนก็ถูกมารเฒ่าหมี่สาด ‘ข้าวสาร’ กำใหญ่ใส่ศีรษะ พริบตาเดียวทั่วทั้งร่างของเขาก็มีควันสีเขียวส่งเสียงดังซี่ๆ รูเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนจากการถูกเผาไหม้ทำให้เลือดและเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก จำต้องใช้วิชาหลบหนีดำดินลงไป ปีศาจทั้งสามตนเริ่มออกค้นหา หากเจอพวกมือปราบหรือนักสู้ที่เข้ามาเป็นกำลังหนุนที่กล้าขัดขวางก็จะลงมือโจมตีสังหารทันทีอย่างไม่ออมมือ
ช่วงรุ่งสาง เมื่อเฉินผิงอันสวมเสื้อผ้าเดินออกจากห้องก็พบว่าหลิวเกาซินนั่งอยู่สุดปลายระเบียง กำลังงีบหลับอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก
เด็กสาวหลับไม่สนิทนัก เพียงไม่นานก็ตื่นขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะนอนน้ำลายไหลจึงรีบเบี่ยงหน้าไปอีกทางเพื่อเช็ดหน้า
อันที่จริงนางเองก็เพิ่งกลับจวนมาไม่นานเท่าไหร่ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วก็มานั่งเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนี้
เฉินผิงอันเดินไปที่ห้องโถงหลักพร้อมกับนาง ถามตอบกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองช่วงที่ผ่านมาได้คร่าวๆ ได้ยินว่าพวกปีศาจเกิดแตกคอกันเอง เขายังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของปลอม แม้จะไม่รู้เรื่องวงในที่เกิดขึ้น แต่ขอแค่มีประโยชน์ต่อเมืองแยนจือก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่าความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้นเพิ่มนั้น เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจควบคุมได้
หากใช้คำพูดของชุยฉานก็คือ บนโลกใบนี้มีคนอยู่ผู้หนึ่งที่ร้ายกาจที่สุด เชื่อฟังข้าได้อยู่ต่อ ทรยศข้าต้องตาย
ตอนนั้นราชครูเด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวแสร้งทำเป็นเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ น่าเสียดายที่ไม่ต่างจากการชม้ายชายตาให้คนตาบอดเพราะเฉินผิงอันไม่คิดจะต่อบทสนทนา ชุยฉานจึงได้แต่พูดกับตัวเอง ให้คำตอบว่านี่ก็คือ ‘แนวโน้มของสถานการณ์’
แนวโน้มของสถานการณ์เป็นเช่นนี้
—–