กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 234.2 ฝุ่นคลุ้งตกตะกอน
ชุยฉานยังบอกอีกว่าความรุ่งโรจน์ความโรยราในผืนนาขนาดใหญ่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ล้วนต้องดูแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่บางอย่าง
สำหรับคำพูดลึกลับที่ชุยฉานบ่มพึมพำเหล่านี้ ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่เข้าใจ และอันที่จริงก็กลัวว่าจะตกหลุมพรางของเจ้าหมอนั่น
อย่าเห็นว่าหลินโส่วอี หลี่ไหว และยังมีอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับชุยฉานสักเท่าไหร่ แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจน่าจะเคารพยำเกรง หรือถึงขั้นนับถือคนผู้นี้อยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่ามีเพียงหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รวมอยู่ในคนกลุ่มนี้ด้วย
ต้องเป็นเด็กหนุ่มชุยฉานที่กริ่งเกรงนางถึงจะถูก
จากคำบอกเล่าของหลิวเกาซิน เฉินผิงอันจึงรู้ว่าทุกที่ในเมืองล้วนมีไฟสงครามลุกโชน ทุกครั้งที่ยอดฝีมือในยุทธภพและผู้ฝึกตนบนภูเขาที่รวมสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงกลับมาพักผ่อนและมาทำแผล ก็มักจะกลับออกไปช่วยกันสยบปีศาจต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงยังได้ประมือกับยอดฝีมือฝ่ายมารที่อายุไม่มากคนหนึ่ง น่าจะเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่จัดวางค่ายกลวิชามาร ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา สถานการณ์การต่อสู้ห้อมล้อมไปด้วยอันตราย ชายฉกรรจ์เคราดกถูกคู่ต่อสู้ใช้มือเปล่าฉีกกระชากเนื้อก้อนใหญ่ตรงหัวไหล่ออกไป ภายหลังนักพรตจงเมี่ยวพามัลละร่างทองเหลืองมาให้ความช่วยเหลือ จึงบีบให้มารที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมดุร้ายผู้นั้นถอยไปได้
อีกอย่างไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวพี่ชายของนางที่ออกจากเมืองไปได้อย่างปลอดภัยแล้วถึงได้พาอาจารย์ของนางกลับมาที่จวนอีกครั้ง หลังจากปิดประตูห้องหนังสือพูดคุยกับบิดาของนางอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์ก็พาพี่สาวใหญ่และพี่ชายรองของนางไปรอที่เรือนด้านหลัง ราวกับว่าเจอเรื่องบางอย่างที่ประหลาดมาก อีกอย่างยังแยกไม่ออกด้วยว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย หากเป็นเรื่องดี ทุกคนก็ปิติยินดี หากเป็นเรื่องร้าย ก็คงไม่ต้องพูดกันต่อ สรุปก็คือบิดากับอาจารย์ของนางต่างก็ไม่เต็มใจให้เด็กสาวหลิวเกาซินมีส่วนร่วมด้วย และคืนที่ผ่านมานางเองก็ยุ่งอยู่กับการช่วยดับไฟสงครามไปทั่วทุกหนแห่ง จึงไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องนี้
อีกอย่างก็คือเด็กหญิงจวนจ้าวที่เฉินผิงอันช่วยชีวิตเอาไว้ และเด็กชายดื้อรั้นที่มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันกับเด็กหญิงได้ถูกพาตัวมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองแล้ว
ขณะที่เฉินผิงอันกับหลิวเกาซินเดินเข้าไปใกล้กับห้องโถงก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศเคร่งเครียด จึงเดินเร็วๆ เข้าไปในห้อง พบว่าในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นักพรตเต๋าวัยชราที่ชุดเต๋าขาดวิ่นนั่งหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดสดไหลออกจากตำแหน่งหัวใจไม่หยุด ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลจนไม่รู้ว่าจะทำแผลตรงจุดไหนก่อน อยู่ในสภาพน่าเวทนาซึ่งมีแต่ลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า เจ้าเมืองหลิว สวีหย่วนเสีย นักพรตจางซานเฟิง ผู้เฒ่าที่ตรงเอวห้อยพู่กันหนึ่งด้ามต่างก็ยืนล้อมอยู่รอบกายนักพรตเฒ่าคนนั้น ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงส่ายหน้าให้ทุกคนเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความละอาย ส่วนเจ้าเมืองหลิวนั้นถอนหายใจยาวเหยียด
ผู้เฒ่าที่ใกล้ตายก็คือนักพรตจงเมี่ยวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความยโสและเป็นพ่อค้าหน้าเลือดผู้เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวในแวบแรกที่มอง
ผู้เฒ่ามีลักษณะสดใสของคนใกล้ตาย ดวงตาที่เดิมทีขุ่นมัวเริ่มใสกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน เขาเงยหน้าเอ่ยกับเจ้าเมืองหลิวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าหลิว หากครั้งนี้เซียนซือของพรรคหลิงซีสามารถช่วยเหลือเมืองแยนจือ กำจัดมารน้อยใหญ่ได้สำเร็จ วันหน้าทั้งเด็กและคนชราหลายสิบชีวิตในครอบครัวข้าผู้เป็นนักพรตคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าหลิวผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรช่วยดูแลแล้ว”
เจ้าเมืองหลิวพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงหนักแน่น “นักพรตจงเมี่ยวโปรดวางใจ ต่อให้วันใดวันหนึ่งข้าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในเมืองแยนจือแล้ว ก็จะต้องบอกให้คนที่มารับตำแหน่งใหม่รู้เรื่องศึกในวันนี้ รู้ถึงความเสียสละทุ่มเทของนักพรตจงเมี่ยว สรุปคือ ข้าผู้เป็นขุนนางจะไม่ยอมปล่อยให้คนในครอบครัวของท่านนักพรตได้รับความอยุติธรรมเด็ดขาด”
นักพรตผู้เฒ่ายกมือคารวะขอบคุณอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับจางซานเฟิงที่ตาแดงเล็กน้อย “จางซาน หากไม่เป็นเพราะเด็กโง่อย่างเจ้ายอมเสี่ยงตายไปช่วย เกรงว่าข้าผู้เป็นนักพรตคงถูกเล่นงานจนขาดใจตายคาที่ ไม่แน่ว่าอาจปล่อยให้ปีศาจตนนั้นหนีหายไปได้ มีหรือที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะยังมีโอกาสสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ยกดาบสังหารปีศาจตนนั้น…”
นักพรตเฒ่ากระแอมไอสำลักอย่างรุนแรง ทุกคนจึงเกลี้ยกล่อมไม่ให้ผู้เฒ่าพูดอีก
ชายฉกรรจ์เคราดกสวีหย่วนเสียถามเบาๆ ว่า “นักพรตเฒ่า ต้องการให้เรียกลูกหลานของท่านมาที่นี่หรือไม่?”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ
เจ้าเมืองหลิวจึงหันไปสั่งความข้ารับใช้ให้รีบไปแจ้งครอบครัวของนักพรตเฒ่าที่อยู่ในเมือง
นักพรตเฒ่าฉวยโอกาสที่ตัวเองยังเหลือความมีชีวิตชีวาเฮือกสุดท้ายคำนวณเวลาที่ลูกหลานจะเดินทางมาถึงที่นี่อยู่ในใจ เงียบพักไปครู่หนึ่งก็กวาดตามองทุกคน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “อันที่จริงข้าผู้เป็นนักพรตรู้ว่า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าต่างก็ดูแคลนการกระทำที่เหมือนฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ของข้า เพียงแต่ว่าอยู่ในวงการธุรกิจก็ต้องคุยภาษาธุรกิจ ผู้ฝึกตนอย่าได้อายที่จะพูดเรื่องการค้า อย่าหน้าบางที่จะพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ ช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ป่ายปีน ไม่มีร่มเงาของบรรพจารย์คอยปกป้อง ได้แต่ไขว่คว้าหาเงินทอง ช่วงชิงโอกาสเสี้ยวหนึ่งมาด้วยตัวเอง ไม่ทำอย่างนี้ จะได้อย่างไร?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เงียบเสียงไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาเลื่อนลอยคล้ายกำลังนึกถึงความรุ่งโรจน์ ความอัปยศ ความสูงส่งและความตกต่ำตลอดชีวิตที่ผ่านมา
เนิ่นนานหลังจาก ผู้เฒ่าก็เก็บความคิดทั้งหมดลง แล้วพลันทอดถอนใจ “แม้จะต้องรู้หลักของธุรกิจ แต่คนที่ฝึกตนก็ต้องรู้หลักของการเป็นคนด้วย ถูกไหม?”
ผู้เฒ่ากระแอมไอพลางหัวเราะกับตัวเอง “แต่อาจเป็นเพราะพรสวรรค์ของข้าผู้เป็นนักพรตย่ำแย่เกินไป รู้มานานแล้วว่าตัวเองหมดหวังบนมหามรรคา ก็เลยมีความคิดที่ไร้เดียงสาน่าขันอย่างนี้กระมัง คนที่ฝึกตนบนภูเขาอย่างแท้จริง มีหรือจะมีแต่กลิ่นเงินเต็มกาย แล้วมีหรือจะสนใจการเกิดแก่เจ็บตายของชาวบ้านด้านล่างภูเขา?”
ผู้เฒ่าเหม่อมองไปทางประตูใหญ่ราวกับกำลังมองหาเงาร่างที่คุ้นเคย พึมพำขึ้นมาว่า “ถูกคนเรียกว่านักพรตจงเมี่ยวมาทั้งชีวิต แค่คำคำเดียวก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ไม่อาจถูกคนเรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่า ‘จงเมี่ยวเจินเหริน’ น่าเสียดาย! น่าเสียดายยิ่งนัก!”
หลังกล่าวคำว่าน่าเสียดายคำสุดท้าย เรี่ยวแรงความสดใสของผู้เฒ่าก็ลดฮวบลง การมองเห็นพร่าเลือน ลมหายใจแผ่วเบาสุดขีด เสียงเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “ทำไมถึงยังไม่มาสักทีนะ…”
สุดท้ายผู้เฒ่าก็อยู่รอไม่ทันได้พบหน้าคนในครอบครัว เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้
ต่อให้ไม่ถือว่าตายตาไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้หลับตาจากไปอย่างสงบ เพราะดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังหรี่ตามองไปยังทิศไกล คล้ายอยากเห็นอะไรบางอย่าง แต่ก็มองเห็นได้ไม่ชัด
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเงียบงัน
เฉินผิงอันเดินเข้าไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของนักพรตเฒ่า
เขาเพิ่งเช็ดเสร็จได้ไม่นานเท่าไหร่ ลูกหลานและคนในครอบครัวของนักพรตจงเมี่ยวจำนวนมากถึงสิบกว่าคน ซึ่งมีทั้งลูกเด็กเล็กแดงและคนแก่ต่างก็กรูกันเข้ามา เจ้าเมืองหลิวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แน่นอนว่าคำสัญญาที่เขามอบให้แก่นักเฒ่า เขาก็พูดกับลูกหลานของนักพรตเฒ่าอย่างเปิดเผยด้วย
บุตรชายคนโตของนักพรตจงเมี่ยวคือชายวัยกลางคนที่ตัวอ้วนฉุหันมาเอ่ยขอบคุณเจ้าเมืองหลิวอย่างเป็นธรรมชาติ พวกสตรีที่แต่งงานแล้วส่วนใหญ่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
เพียงแต่ว่าเด็กชายอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่งกลับกระโจนออกมาแผดเสียงถามทุกคนด้วยความโกรธเคือง “ทำไมถึงมีแค่ท่านปู่ของข้าที่ตาย?”
เด็กชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและขุ่นเคืองถลึงตากว้าง สายตาของเขาดุร้ายเหมือนหมาป่ากระหายเลือด คำรามเดือดดาล “ตอบข้ามา!”
ชายฉกรรจ์สวีหย่วนเสียขมวดคิ้ว
นักพรตจางซานเฟิงหันไปมองผู้เฒ่าหน้าซีดขาวที่จากโลกนี้ไปแล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ คำตอบบางอย่าง หากพูดออกมา นั่นต่างหากที่ทำร้ายคนอย่างแท้จริง ตอนแรกผู้เฒ่าอยากจะยึดความดีความชอบไปเพียงลำพัง จึงพาตัวไปตกอยู่ในวงล้อมของปีศาจที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ ประเมินศัตรูต่ำเกินแล้วบุ่มบ่ามบุกเข้าไป หากไม่เป็นเพราะเขากับจอมยุทธ์สวีเห็นแก่คุณธรรมของคนในยุทธภพ ยอมสละชีวิตทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเข้าไปช่วยอีกฝ่าย ไผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีแต่จะยิ่งแย่กว่าตอนนี้
ทว่าแม้ผู้เฒ่าจะมีความเห็นแก่ตัวอยู่ก็จริง แต่ความเห็นแก่ตัวนี้ก็เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าเข่นฆ่าสังหารศัตรูไปตลอดทาง ถึงท้ายที่สุดก็ต่อสู้อย่างดุเดือดจนตัวตาย แค่คำว่า ‘อยู่ในวงการธุรกิจต้องคุยภาษาธุรกิจ’ ย่อมไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ทั้งหมด น้ำเป็นแบบไหนก็เลี้ยงดูคนให้แบบนั้น หากไม่เป็นเพราะผู้เฒ่ามีความรู้สึกที่จริงใจอย่างถึงที่สุดต่อบ้านเกิดของตัวเองอย่างเมืองแยนจือแห่งนี้ เขาก็ย่อมไม่มีทางทุ่มเทสุดชีวิตแบบนี้แน่นอน
ความรู้สึกของคน เรื่องราวบนโลก เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากที่สุด
เพราะหากนำมาวิเคราะห์แยกแยะอย่างละเอียด ก็เหมือนสุราที่แยกออกจากกันเป็นหยด ไร้กลิ่นไร้รสชาติ
เด็กชายที่เป็นเดือดเป็นแค้นตะเบ็งเสียงดังลั่น ยื่นนิ้วชี้กราดทุกคน “พวกเจ้าทุกคนคือฆาตกร!”
บุตรชายคนโตของนักพรตเฒ่ารีบบอกให้ภรรยาดึงตัวบุตรชายที่เสียสติกลับมา จากนั้นก็หันไปขออภัยเจ้าเมืองหลิวและทุกคน
สีหน้าของเจ้าเมืองหลิวยังคงเป็นปกติ ปากก็เอ่ยว่าคำพูดของเด็กไม่ควรถือสา กลับกันยังหันไปขอโทษบุรุษคนนั้น แล้วกล่าวคำพูดทำนองว่าครั้งนี้เป็นเพราะเขาผู้เป็นเจ้าเมืองบกพร่องในหน้าที่ ถึงได้ทำผิดต่อครอบครัวของพวกเขา ทำให้ครอบครัวของพวกเขาขาดเสาหลักไป หลังจากนี้จะต้องไปขอขมาถึงที่บ้านอย่างแน่นอน ฯลฯ
ทว่าในใจของขุนนางผู้เป็นเสมือนบิดาของประชาชนผู้นี้คิดอย่างไร ความสัมพันธ์ที่นักพรตจงเมี่ยวผูกไว้กับจวนเจ้าเมืองจะลดน้อยลงไปเพราะเหตุนี้หรือไม่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ดังนั้นถึงได้มีคำบอกว่า โชควาสนาและร่มเงาบรรพบุรุษบนโลกใบนี้ ต่อให้ส่งไปถึงมือของลูกหลานแล้ว แต่ก็ยังต้องดูที่โชคชะตาของแต่ละคนด้วย มีบางคนคว้าไว้ได้อยู่ บางคนปล่อยให้หลุดมือไป บางคนคว้าไว้ได้มาก บางคนคว้าไว้ได้น้อย อีกอย่างคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น
……
ในตรอกมืดครึ้มแห่งหนึ่งของเมืองแยนจือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แม้จะสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายธรรมดา แต่กลับมีหน้าตางดงามคล้ายดรุณีน้อยคนหนึ่ง เขานั่งพิงผนัง ในอ้อมกอดมีชายกำลังจะตายคนหนึ่งที่กระอักเลือดออกจากปากไม่หยุด ข้างกายคนทั้งสองยังมีบุรุษอีกคนที่ช่วยดูต้นทาง คนทั้งสามก็คือลูกจ้างร้านขายข้าวสาร ล้วนเป็นลูกศิษย์ของมารเฒ่าหมี่ เด็กหนุ่มคือคนในท้องที่ของเมืองแยนจือ ลูกศิษย์ที่มารเฒ่าหมี่เพิ่งรับมาเมื่อปีก่อน
ศิษย์พี่ที่อยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มก็คือมารที่แลกชีวิตกับนักพรตจงเมี่ยว เขาสมกับเป็นมารร้ายคนหนึ่งอย่างแท้จริง เพราะก่อนตายเขายังสามารถยิ้มกว้าง ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยคือ “ศิษย์น้องเล็ก ข้ากับศิษย์พี่รองของเจ้า เจ้าชอบใครมากกว่ากัน?”
มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มประคองคางของบุรุษในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน ก้มหน้าลงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง พูดเสียงสะอื้น “ย่อมต้องเป็นท่าน”
บุรุษยื่นมือไปควักตำราที่ออกเป็นสีเหลืองออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ยื่นส่งให้กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงาม
พอเด็กหนุ่มรับตำราลับเล่มนั้นมา บุรุษที่อยู่ในอ้อมกอดก็ตาย เด็กหนุ่มกำตำราลับไว้แน่น ชูมันขึ้นสูง ตะโกนเรียกศิษย์พี่รองหนึ่งทีแล้วหันตัวไปหาเขา
ความสนใจของบุรุษอีกคนอยู่ที่ตำราลับแทบทั้งหมด
เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาอย่างว่องไว มือหนึ่งถือตำรา อีกมือหนึ่งจ้วงแทงเข้าที่ลำคอของศิษย์พี่รอง ที่แท้ในมือเขาก็มีมีดซ่อนอยู่
แทงเข้าแล้วกระชากออก ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาสามรอบ ทั่วทั้งลำคอของบุรุษถูกเด็กหนุ่มแทงจนเกือบเละเทะ ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มเปรอะไปด้วยคราบเลือดที่กระเซ็นมาโดน ทว่ามุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้ม
บุรุษใช้มือสองข้างกุมลำคอ พิงอยู่ตรงมุมกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง เบิกตากว้างมองศิษย์น้องเล็กที่อยู่ดีๆ ก็สังหารเขาอย่างเหี้ยมโหด
เด็กหนุ่มเก็บตำราลับเล่มนั้นลงไป ยื่นมือมาเช็ดเลือดบนหน้าแล้วเอามือไปเช็ดที่เสื้อผ้าของบุรุษคนนั้นอีกที จากนั้นก็หยิบตำราอีกเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกของเขา พูดกลั้วกหัวเราะคิกคัก “ศิษย์พี่รอง เมื่อครู่ข้าหลอกศิษย์พี่ใหญ่แหละ อันที่จริงข้าชอบท่านมากกว่าเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าข้าต้องชอบตัวเองมากที่สุด ศิษย์พี่ใหญ่ชอบพูดว่าคนเราหากไม่รักตัวเอง ฟ้าดินต้องลงโทษ แม้อาจารย์นิสัยประหลาดของพวกเราจะชอบแดกดันศิษย์พี่ใหญ่บ่อยๆ ว่าเขาไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ แต่ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจได้ดีนักล่ะ แต่ยังไงก็เถอะ เอาเป็นว่าข้ารู้สึกแบบนี้ก็แล้วกัน อีกอย่างเดิมทีพวกเราก็เป็นพวกนอกรีต พวกคนบนวิถีมารอยู่แล้ว ดังนั้นศิษย์พี่รองอย่าได้โทษข้าเลย อย่างมากท่านก็คิดซะว่าได้ไปเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนศิษย์พี่ใหญ่ ไปถึงข้างล่างแล้วฝากบอกศิษย์พี่ใหญ่ด้วยว่า อันที่จริงข้าชอบท่านมากกว่าเขาเล็กน้อย…”
บุรุษตายตาไม่หลับ
—–