กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 236.1 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม
เขตการปกครองหลงเฉวียน ตระกูลเซี่ยในเมืองเล็ก
เด็กหนุ่มคิ้วยาวที่ในมือถือตำราไว้หลายเล่มวิ่งเข้ามาในลานบ้าน กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านบรรพบุรุษ วันนี้ข้าเรียนวิชาดาบอย่างใหม่มาจากอาจารย์ด้วย”
เทียนจวินเซี่ยสือพยักหน้ารับ วางตำราในมือลง
เวลาที่พูดคุยกับคนอื่น ต่อให้เป็นเด็กรุ่นหลังที่มีอายุห่างกันหลายชั่วคนอย่างเด็กหนุ่มคนนี้ เซี่ยสือก็ยังคงมีท่าทางจริงจังเคร่งขรึม ไม่มีทางที่จะเหลียวซ้ายแลขวา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่รู้ถึงความหมายของท่าทางเช่นนี้ สิ่งที่เขาคิดถึงยังคงเป็นยศเทียนจวินแห่งลัทธิเต๋าของท่านบรรพบุรุษ คิดถึงกิจการยิ่งใหญ่จากการเดินทางลงใต้ของเขาในครั้งนี้ รวมไปถึงจมจ่อมอยู่ในความปิติยินดีอันมากล้นที่ตระกูลเซี่ยจะได้ลุกผงาดขึ้นมา สำหรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย จึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก
เซี่ยสือรับหนังสือเหล่านั้นมาวางลงบนโต๊ะหิน แล้วทำมือบอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มนั่งลง
เด็กหนุ่มนั่งลงเบาๆ แล้วก็ถามว่า “ท่านบรรพบุรุษ เข้าตาท่านบ้างหรือไม่?”
เซี่ยสือตบที่ตำราเหล่านั้นเบาๆ ตอบด้วยรอยยิ้ม “จะไม่เข้าตาได้อย่างไร หากไปสอบเพื่อเอาตำแหน่ง ข้าก็มีคุณสมบัติให้สอบระดับมณฑลได้อย่างไม่มีปัญหา”
แม้ว่ารูปลักษณ์ของเซี่ยสือจะบ้านๆ ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาในเมืองเล็ก แต่อันที่จริงแล้วเขากลับอ่านตำรามาแล้วนับไม่ถ้วน มีความรู้ครอบคลุมสามลัทธิ ช่วงเวลาที่อยู่ในบ้านเก่าตระกูลเซี่ยนี้ เขาก็เอาแต่อ่านตำราอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก ทุกวันที่เด็กหนุ่มคิ้วยาวกลับมาจากการหลอมกระบี่ ตีเหล็กที่ร้านตระกูลหร่วน จะต้องเอาตำราสองสามเล่มที่วางขายในร้านหนังสือร้านใหม่ของเมืองเล็กติดมือกลับมาด้วย เซี่ยสือบอกกับเด็กหนุ่มคิ้วยาวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่ตำราของลัทธิเต๋าเท่านั้น ไม่ว่าหนังสือแบบไหนก็ซื้อมาได้ทั้งหมด
เซี่ยสือพลันลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มคิ้วยาวจึงลุกตามโดยอัตโนมัติ หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืนเฉยๆ กันอยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งก้านธูป
เด็กหนุ่มถึงได้สังเกตเห็นด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดว่า มารดาของตนที่ยิ้มแย้มอ่อนหวานพา ‘นักพรตหนุ่ม’ คนหนึ่งมาที่ลานบ้าน
รอจนสตรีแต่งงานแล้วจากไป เซี่ยสือกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกนักพรตสวมกวานดอกบัวที่มาเยือนถึงบ้านทำมือบอกให้นั่งลง
ลู่เฉินนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้หิน ใช้ฝ่ามือเป็นพัด โบกให้ลมเย็นโชยมาเป็นระลอกพลางเอ่ยสั่งความเซี่ยสือเหมือนพูดคุยเรื่องปกติทั่วไป “รอจนเรื่องในแจกันสมบัติทวีปเสร็จสิ้นแล้ว หกสิบปีหลังจากที่เจ้ากลับไปยังกุรุทวีป จงช่วยดูแลเฮ้อเสี่ยวเหลียงให้มากหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออะไรนาง แค่รับรองว่านางจะไม่ตายก็พอ รอจนนางหยัดยืนได้มั่นคง เปิดสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองได้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าสามารถเพิ่มบุปผาบนผ้าแพร จะคนก็ดี จะเงินก็ช่าง หรือจะเป็นสมบัติอาคมอะไรก็ได้ แสดงความเป็นมิตรต่อนางให้มาก พวกเจ้าสองคนก็ถือว่าผูกบุญสัมพันธ์ต่อกันแล้ว”
เซี่ยสือลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กุมมือคารวะ “น้อมรับคำบัญชาของเจ้าลัทธิ!”
“นิสัยเคร่งขรึมตายตัวของเจ้านี่ไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย”
ลู่เฉินเอ่ยเย้าหนึ่งคำก็หันไปยิ้มตาหยีให้เด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กคิ้วยาว มาๆๆ ข้ามีของขวัญก่อนจากจะมอบให้เจ้าชิ้นหนึ่ง”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวตัวสั่น ทั้งดีใจและทั้งกริ่งเกรง รีบหันไปมองบรรพบุรุษเซี่ยสือ
เซี่ยสือพยักหน้าบอกเป็นนัยให้เขารับของขวัญมาอย่างสบายใจ
ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตบนจะไม่ค่อยกล้าประทานโชควาสนาให้ใครส่งเดช
แต่ของที่เจ้าลัทธิลู่เฉินจะมอบให้คนอื่นจะดีหรือเลว ล้วนมีจำนวนที่กำหนดไว้แน่ชัดอยู่แล้ว จะขาดหรือเกินไม่ได้เด็ดขาด
ต่อหน้าเขาเซี่ยสือ ของที่มอบให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวจะยังเป็นของที่เลวร้ายได้อีกหรือ?
ย่อมต้องถูกกำหนดมาแล้วว่า เป็นเรื่องดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าแน่นอน!
และนี่ก็ถือเป็นโชควาสนาของตัวเด็กหนุ่มเอง
ลู่เฉินพลิกข้อมือ เพียงไม่นานก็มีเจดีย์วิเศษเจ็ดสีที่ใสแวววาวโผล่มาหนึ่งชิ้น ประกายแสงบนตัวเจดีย์ไหลเวียนวนระยิบระยับ มหัศจรรย์จนมิอาจพรรณนา
หากมองอย่างละเอียดจะสังเกตเห็นว่าเจดีย์เล็กๆ ที่สูงแค่ครึ่งฉื่อชิ้นนี้ ลำพังเพียงแค่กรอบป้ายที่แขวนตามจุดต่างๆ ด้านนอกก็มีมากถึงสามสิบหกป้าย
เซี่ยสือที่เพิ่งจะนั่งลงลุกพรวดขึ้นอีกครั้ง เอ่ยกับเด็กหนุ่มเสียงหนัก “ยังไม่คุกเข่าขอบคุณอีก!”
ครั้งนี้ลู่เฉินไม่ได้ห้ามปราม ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ประคองเจดีย์ไว้ในมือคุกเข่าอย่างมึนงง ก่อนจะโขกหัวคำนับดังปั่กๆๆ สามครั้ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้ว่าเจ้ามีนิสัยอ่อนโยน ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะใช้อำนาจรังแกคนอื่น เจดีย์เล็กชิ้นนี้สามารถสยบปีศาจและสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในโลกที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงมาได้ พอจะถือว่าเป็นอาวุธเซียนได้ครึ่งหนึ่งกระมัง เพียงแต่จงจำไว้ข้อหนึ่งว่า ภูตผีวัตถุหยินและสิ่งชั่วร้ายที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะเลวร้ายที่สุด จุดที่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมในใจคนต่างหากที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีจิตมารปรากฎขึ้น”
เด็กหนุ่มหน้าแดงหูแดง ตอบรับเสียงดังกังวาน “ผู้น้อยจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
ลู่เฉินยังคงพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้านดังเดิม “วันหน้าเมื่อเจ้าเรียนวิชากระบี่กับหร่วนฉงจนประสบความสำเร็จ ในเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ควรเดินทางไปให้ทั่วสารทิศ ถึงเวลานั้นก็หัดสังเกตใจคนให้มาก การที่มอบเจดีย์ชิ้นนี้ให้กับเจ้าก็เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกังวลกับเรื่องนอกตัวมากเกินไป ใคร่ครวญถึงเรื่องของตัวเองให้มาก ลัทธิพุทธมีคำเรียกอย่างหนึ่งว่าจื้อเหลี่ยวฮั่น หมายถึงผู้ที่สนใจแต่ตน ไม่สนใจสถานการณ์ส่วนรวม น่าสนใจมากเลยล่ะ ใช่แล้ว เซี่ยสือ จำไว้ว่าช่วยหาวัตถุจื่อชื่อที่ดีๆ ให้เด็กคนนี้ชิ้นหนึ่งด้วย ไม่ช่วยดึงต้นหญ้าให้เติบโตเป็นเรื่องที่ดี แต่ในฐานะผู้อาวุโส ตระหนี่ถี่เหนียวเกินไปก็ไม่ดี”
เซี่ยสือเตรียมจะลุกขึ้นยืนรับคำสั่งอีกครั้ง
ลู่เฉินฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ!”
เซี่ยสือจึงนั่งลงที่เดิมแต่โดยดี
ลู่เฉินครุ่นคิด เงียบไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เขาไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป แต่กล่าวอย่างจริงจังว่า “จำไว้ให้ดีว่าวันหน้าต้องปกป้องหลี่ซีเซิ่งให้ดี หากเกิดปัญหา ต่อให้ข้าผู้เป็นนักพรตต้องทำผิดกฎของทั้งสองฝ่ายก็จะต้องลงจากป๋ายอวี้จิงย้อนกลับมายังใต้หล้าไพศาลแห่งนี้เพื่อเอาคำอธิบายจากเจ้าเซี่ยสือ!”
เซี่ยสือที่เคยถูกเตือนไปก่อนแล้ว คราวนี้ไม่รู้ว่าจะนั่งหรือจะลุกขึ้นยืนดี
ลู่เฉินตบหน้าผากตัวเอง “มีศิษย์ลูกศิษย์หลานที่ซื่อบื้ออย่างเจ้า มิน่าเล่าควันธูปสายของข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ไม่โชติช่วงเอาซะเลย”
ลู่เฉินเงยหน้า ยกมือขึ้นดีดนิ้วลงบนกวานดอกบัวเบาๆ พูดเสียงค่อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นี่ๆๆ ชีสือ อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็รบกวนเจ้าช่วยเปิดประตูส่งแขกหน่อย!”
เซี่ยสือหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบเงยหน้ามองไปตามเส้นสายตาของนายท่านเจ้าลัทธิ
ด้วยมรรคาถาอันยิ่งใหญ่ไพศาลของผู้นำลัทธิเต๋าหนึ่งแคว้นของเขา พยายามมองไปสุดสายตาแล้วก็ยังได้แค่มองทะลุทะเลเมฆหนาชั้นไปเห็นริ้วคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยตรงมุมหนึ่งของม่านฟ้าเท่านั้น
ร่างของลู่เฉินวูบหายไป
พริบตาเดียว ‘ประตูบานเล็ก’ ที่เปิดอ้าอยู่บนม่านฟ้าก็ปิดตามไปด้วย
และลู่เฉินหนึ่งในลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋าก็ไปจากใต้หล้าไพศาล กลับคืนสู่ใต้หล้ามืดสลัวอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
ลู่เฉินไปจากใต้หล้าไพศาล แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อไปอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว นายท่านเจ้าลัทธิที่สวมกวานดอกบัวผู้นี้กลับสร้างความอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่งใหญ่
บนม่านฟ้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นใต้หล้ามืดสลัวซึ่งเป็นใต้หล้าที่ลัทธิเต๋าเป็นผู้บัญชาการณ์ ม่านฟ้านั้นถูกแหวกออกเป็นโพรงใหญ่เท่าภูเขาอยู่กลางทะเลเมฆสีทอง แสงสีทองเส้นหนึ่งที่ใหญ่เท่าภูเขากระแทกตูมลงบนยอดหอเรือนสูงแห่งหนึ่งที่สูงถึงหนึ่งจั้ง
ปัญญาชนวัยชราผู้หนึ่งที่มือหนึ่งถือไม้เท้า บนหลังสะพายหีบหนังสือเดินอยู่บนทางภูเขาที่ทอดยาวของใต้หล้ามืดสลัว ข้างกายคือเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้คนใหม่ซึ่งเขาเพิ่งรับตัวมา ผู้เฒ่าร่างผอมบางคนนี้ยกมือขึ้นบังหน้าผาก แหงนหน้ามองไปแล้วคลี่ยิ้ม “ดูท่าจะทำให้ฉีจิ้งชุนโมโหไม่เบา”
เด็กหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ฉีจิ้งชุนคือใครหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมบางตอบยิ้มๆ “คือบัณฑิตคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านเกิดของข้า อายุไม่มาก แต่ความรู้สูงมาก”
คำถามถัดมาของเด็กหนุ่มค่อนข้างไร้เดียงสา “สูงแค่ไหนหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมบางคิดแล้วก็ตอบอย่างขอไปที “บ้านเกิดของเจ้ามีสุภาษิตคำหนึ่งบอกว่า น้ำท่วมหลังเป็ดไม่ได้ใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพึมพำ “ดูท่าจะไม่สูงเท่าไหร่”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังก้อง “บัณฑิตที่แท้จริงจะมีความเพียรพยายามแค่ในด้านการแสวงหาความรู้ที่สูงส่งยาวไกลอย่างเดียวไม่ได้ ทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้มายังต้องมากพอให้พาชาวบ้านเดินขึ้นเขาลงห้วยไปพร้อมกันด้วย นอกจากจะทำให้ตัวเองมีสถานที่ที่สงบใจได้แล้ว บัณฑิตยังต้องทำให้ชาวบ้านมีสถานที่ที่สุขกายด้วย หาไม่แล้วต่อให้ความรู้จะสูงแค่ไหน เขียนบทความได้งดงามเท่าไหร่ก็มีประโยชน์แค่กับตัวเอง ไม่ได้ช่วยอะไรคนอื่นได้เลย”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าว่าหลักการของท่านก็สูงมากเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าร่างผอมบางยื่นมือมาเขกศีรษะของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ถอนหายใจอยู่กับตัวเอง
ผู้เฒ่านึกถึงฤดูกาลที่บ้านเกิดของตัวเอง ตอนนี้ทุกพื้นที่คงมีแต่ดอกไม้สีเหลืองบานสะพรั่งแล้ว
……
หลังจากที่ลู่เฉินไปจากใต้หล้าแห่งนี้ เซี่ยสือก็จำต้องยอมรับว่า ถึงแม้จะผิดหวังอย่างมาก แต่สภาพจิตใจของเขากลับผ่อนคลายกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ลู่เฉินยังอยู่ในเมืองเล็ก อันที่จริงเซี่ยสือกระวนกระวายไม่น้อย กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด ไม่ทันระวังถูกนายท่านเจ้าลัทธิผู้นั้นมาเห็นเข้าแล้วจดจำไว้ขึ้นใจ
เซี่ยสือพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พลังอำนาจทั่วร่างของเขาพลันแปรเปลี่ยน เขายืนอยู่ในลานบ้าน ทอดสายตามองไกลไปยังท่าเรือภูเขาอู่ถงที่อยู่ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก แล้วไม่นานตรงนั้นก็มีเรือข้ามทวีปขนาดใหญ่มหึมาอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีปปรากฎขึ้น บนเรือมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปอยู่หลายท่าน การที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวถูกโจมตีตรงพื้นที่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ นอกจากบุรพาจารย์หลายท่านของภูเขาต่าเจี้ยวที่ถูกระดมพลแล้ว ยังมีกองกำลังใหญ่อีกหลายฝ่ายที่พร้อมใจกันเดินทางลงใต้ ภายนอกบอกว่าเดินทางมาเพื่อตรวจสอบเรื่องเรือจม แต่ความจริงนั้นเป็นอย่างไร นอกจากภูเขาต่าเจี้ยวที่มีกองกำลังเล็กสุดซึ่งถูกปิดหูปิดตามาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เซี่ยสือรู้ดี ชุยฉานราชครูต้าหลีรู้ดี ผู้อาวุโสสองท่านที่เพิ่งขึ้นเรือมาใหม่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งก็คือหมากที่สำคัญที่สุด คือทหารที่ต้องพลีชีพ
ต่อให้เป็นที่อุตรกุรุทวีปก็มีคนน้อยมากที่รู้ว่า ผู้ฝึกตนอิสระสวมหมวกขนเตียวคนนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ‘เหยือกกระบี่’ (เจี้ยนเวิ่ง) ที่เป็นสมบัติอาคม ในขณะเดียวกันกับที่ช่วยคนอื่นหลอมกระบี่ ก็ได้บ่มเพาะปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ สั่งสมมานานหลายร้อยปี ปราณกระบี่ที่อยู่ในเหยือกกระบี่ถูกรวบรวมไว้จนแน่นขนัดมานานแล้ว ดังนั้นการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งโดยจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ ‘เหยือกกระบี่’ พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ก็แทบจะเทียบเท่าได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง
มากพอจะโจมตีให้เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวลำนั้นจมลง
ทั้งหมดนี้ล้วนเพียงเพื่อให้เซี่ยสือเดินก้าวที่สองได้อย่างสมเหตุสมผล ให้เทียนจวินลัทธิเต๋าจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้ได้ไปเยือนพื้นที่แถบเหนือของสำนักศึกษากวานหู นั่งบัญชาการณ์ที่แห่งนั้นด้วยตัวเอง ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเหนือใต้ของแจกันสมบัติทวีปลงอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้ ‘แนวโน้มของสถานการณ์’ ที่ต้าหลีจะฮุบเอาทิศเหนือทั้งแถบของแจกันสมบัติทวีปเกิดข้อผิดพลาดใดๆ
—–