กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 236.2 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม
เซี่ยสือตบไหล่เด็กหนุ่ม “ไปที่แห่งหนึ่งเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวติดตามบรรพบุรุษของตัวเองไปที่ร้านตระกูลหยาง ตอนที่เดินออกมาบนร่างของเขาก็มี ‘วัตถุจื่อชื่อ’ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น รวมไปถึงคำสัญญาข้อหนึ่งที่หยางเหล่าโถวมอบให้
และค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย ก็คือคำสัญญาข้อหนึ่งอย่างเท่าเทียมกันจากเทียนจวินเซี่ยสือ
กลับมาถึงลานบ้านขนาดเล็ก เซี่ยสือก็เล่าให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวฟังเกี่ยวกับต้นสายปลายเหตุที่เรือคุนเกิดเรื่อง
เด็กหนุ่มเห็นว่าบรรพบุรุษมีสีหน้าเคร่งเครียดจึงถามด้วยความใคร่รู้ “ท่านบรรพบุรุษ ในเมื่อแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือทวีปที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล อีกอย่างท่านบรรพบุรุษเองก็เป็นผู้นำแห่งลัทธิเต๋าของทวีปที่ใหญ่โตอย่างอุตรกุรุทวีป แล้วยังมีสิ่งใดให้ท่านต้องเป็นกังวลอีก?”
เซี่ยสือส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องทางโลกง่ายเกินไปแล้ว วันหน้าย่อมต้องถูกคนนับไม่ถ้วนตะโกนใส่หน้าว่า ‘กุรุทวีปทำอย่างนี้เพราะคิดรังแกแจกันสมบัติทวีปของเราที่ไม่มีทางสู้หรือ?’ ในบรรดาคนที่พูดแบบนี้ เกินครึ่งดีแต่โบกธงโห่ร้องปลุกระดม ดีแต่นั่งดูไฟชายฝั่ง อีกเกือบครึ่งที่เหลือจะหมายมั่นปั้นมืออยากลงมือกับเจ้า และในบรรดาคนอีกเกือบครึ่งนี้ก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศด้วยเหตุผลและเจตจำนงที่แตกต่างกันออกไป ในคนกลุ่มนี้จะต้องมียอดฝีมือที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่ ยอดฝีมืออย่าง…คนแบบเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ อีกทั้งคนเหล่านี้ เมื่อถึงท้ายที่สุดจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าตอนนี้เจ้าแค่รอดูอย่างเดียวก็พอ สรุปก็คือไม่ว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปในทิศทางใด ก่อนหน้าที่เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนก็อย่าได้ยื่นมือเข้าแทรก แค่ติดตามอยู่ข้างกายหร่วนฉง ฝึกวิชากระบี่ให้สบายใจไปก่อน”
เด็กหนุ่มคิดหนักเหมือนมีเรื่องมากมายให้กังวลใจ เซี่ยสือเห็นเข้าก็หลุดหัวเราะ “ต่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ไม่มีทางปรากฏภายในปีครึ่งปีนี้ เจ้าจะเป็นกังวลไปทำไม?”
เด็กหนุ่มที่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์หมุนกายเดินไปทางประตูเรือน “ท่านบรรพบุรุษ ข้าไปฝึกวิชากระบี่ก่อนล่ะ”
เซี่ยสือนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินเพียงลำพัง หลับตาลงคำนวณแนวโน้มของสถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีปเงียบๆ
เท้าของเซี่ยสือและเด็กหนุ่มคิ้วยาวก้าวออกจากร้านตระกูลหยางได้ไม่นานเท่าไหร่ เฉาซีก็เดินเข้ามาที่ร้านยา ลูกจ้างในร้านไม่ได้แปลกใจนัก ตอนนี้เมืองเล็กเจริญรุ่งเรือง คนมีเงินมีให้เห็นมากมาย เพิ่มเจ้าอ้วนคนนี้มาสักคนก็ไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิม
เฉาซีสอบถามด้วยรอยยิ้มว่าผู้อาวุโสหยางเหล่าอยู่ที่เรือนหลังหรือไม่ ลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังชั่งน้ำหนักตัวยาอยู่ตรงชั้นวางยาชำเลืองตามามองเศรษฐีร่างอ้วนฉุคนนี้ แล้วพยักเพยิดคางไปยังประตูหลังของห้องโถงใหญ่ที่มีม่านไม้ไผ่ห้อยแขวนอยู่เพราะคร้านจะพูดให้มากความ เฉาซีเอ่ยขอบคุณแล้วเดินไปทางนั้นช้าๆ เลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเพดานเปิดอ้ารูปทรงสี่เหลี่ยม รวมถึงระเบียงสี่เส้นที่อยู่ใต้ชายคา เมื่อเทียบกับบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาแล้วดูทันสมัยและงดงามมากกว่าเล็กน้อย
ในระเบียงทางเดินที่อยู่ตรงข้ามกับห้องหลักของเรือนด้านหลังมีม้านั่งยาวตัวหนึ่งวางอยู่ ราวกับว่าเตรียมไว้ให้แขกอย่างเฉาซีโดยเฉพาะ
นอกห้องหลักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หยางเหล่าโถวกำลังนั่งสูบยาอยู่บนม้านั่ง กระบอกไม้ไผ่สีเขียวถูกกาลเวลาขัดเกลาให้กลายเป็นสีออกเหลืองนานแล้ว มองผ่านม่านควันยาสูบออกไป ผู้เฒ่ามองเห็นเซียนกระบี่ที่เดินทางข้ามทวีปมาจากทักษินาตยทวีปผู้นั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จักกัน ตอนที่เฉาซีไปจากเมืองเล็ก เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเฉาซีกลับมีความทรงจำต่อหยางเหล่าโถวที่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังร้านยา นั่งก้นบ่อมองท้องฟ้าปีแล้วปีเล่าผู้นี้เจือจางมาก แต่เชื่อว่าหยางเหล่าโถวต้องไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าปีนั้นที่เขาเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูไปได้สำเร็จ ก็อาจเป็นฝีมือของผู้เฒ่าคนนี้ที่จัดการอยู่เบื้องหลัง
เฉาซีมาที่นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ว่าบุญคุณน้ำหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุหนึ่งสายอยู่แล้ว ต่อให้หยางเหล่าโถวไปหาถึงที่ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉาซีจะเต็มใจให้ความสนใจ หยางเหล่าโถวที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเขตการปกครองหลงเฉวียน ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นแก่หน้าของเขาอยู่หลายส่วน แต่เมื่อเฉาซีทำการค้าครั้งนี้สำเร็จก็จะหวนกลับนาตยทวีป ทำหน้าหนาไปขอค่าตอบแทนจากบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอิน ต่อให้ฐานะของหยางเหล่าโถวจะลึกลับสักแค่ไหน ในอนาคตเขาที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปจะร้ายกาจสักเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเฉาซี
ส่วนสกุลเฉาที่เป็นนายพลเอกเสาหลักค้ำราชวงศ์ต้าหลี ในอนาคตจะโชคดีหรือโชคร้ายก็อยู่ที่บุพเพวาสนาของพวกเขาเอง อย่างมากก่อนจะจากไปเฉาซีก็แค่ช่วยเหลือพอเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจะรับน้ำใจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เฉาซีมีลูกหลานจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วนับประสาอะไรกับที่การฝึกตนไม่ได้ฝึกเพื่อให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง คำกล่าวที่ว่าไก่และหมาพากันได้ขึ้นสวรรค์ (มาจากสำนวนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ ไก่และหมาพากันขึ้นสวรรค์ เปรียบเปรยว่าเมื่อคนหนึ่งได้ดี ลูกหลานบริวารก็ได้ดีตามไปด้วย) ก็เป็นแค่ของรางวัลที่ได้มาเพิ่มพิเศษเท่านั้น
คำถามแรกของเฉาซีก็คือ “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานหลายพันปี ในถ้ำสวรรค์หลีจูที่มีขนาดเล็กสุดในบรรดาถ้ำสวรรค์ทั้งหลายของใต้หล้าแห่งนี้ คนที่เดินออกไปภายใต้เปลือกตาของเจ้า ใครที่ประสบความสำเร็จสูงสุด?”
หยางเหล่าโถวถามกลับ “เจ้านับเป็นต้นหอมต้นไหน?” (เป็นคำดูหมิ่น คล้ายประโยคว่า คิดว่าตัวเองเป็นใคร?)
เฉาซีชูข้อมือ เผยให้เห็นข้อมือขาวอวบท่อนหนึ่ง ด้านบนรัดเชือกสีเขียวมรกตไว้หนึ่งเส้น พูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ในนี้มี ‘หอมต้นหนึ่ง’ อยู่จริงๆ”
หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มีลมก็รีบผาย”
เฉาซีลดมือลง รีบเปลี่ยนสีหน้าเสียใหม่ กล่าวด้วยน้ำเสียงประจบว่า “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เลิศล้ำ ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าวิญญาณของมารดาข้าอยู่ที่ไหน? สลายไปท่ามกลางฟ้าดิน หรือว่าไปเกิดใหม่แล้ว? หรือว่า…ถูกท่านผู้อาวุโสแอบเก็บเอาไว้ เพื่อรอให้ราคาสูงแล้วค่อยขาย?!”
หยางเหล่าโถวไม่สนใจคำพูดช่วงท้ายที่ซ่อนนัยยะทิ่มแทงของเซียนกระบี่พสุธาผู้นั้น เขากล่าวเข้าประเด็นทันทีว่า “เจ้าเฉาซีคิดจะจ่ายเงินซื้อ? ขอแค่เจ้าให้ราคาที่สูงมากพอ อย่าว่าแต่แม่เจ้าเลย ต่อให้เป็นพ่อเจ้าก็ยังไม่มีปัญหา”
เฉาซีหัวเราะเสียงดัง มือข้างหนึ่งชี้ไปยังผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงอยู่อีกฟากหนึ่ง “ผู้อาวุโสหยางเหล่าเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ดีๆๆ! ครั้งนี้นับว่าไม่มาเสียเที่ยว! หึหึ เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีวิตของท่านผู้อาวุโสมีค่ามากเท่าไหร่?”
หยางเหล่าโถวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คิดจะทำการค้าก็ยินดีต้อนรับ แต่เมื่อมาเยือนถึงบ้าน ได้พบหน้ากันแล้ว ไม่ยอมควักเงิน ก็รีบไสหัวไปให้ไกล”
เฉาซีได้ยินแล้วก็หรี่ตาลง ถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันเบาๆ ทั้งสองมือ ท่าทางของเขาจึงดูน่าขันอย่างถึงที่สุด
แต่ปราณสังหารกลับแผ่ออกมาเด่นชัด
หยางเหล่าโถวไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แล้วจู่ๆ เฉาซีก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “การค้าย่อมทำได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้าเฉาซีชอบทำการค้ากับคนอื่นมากที่สุด เพียงแต่หวังว่าราคาของท่านผู้อาวุโสจะไม่สูงมากเกินไป เพราะข้าคงไม่ซื้อแน่ๆ ข้าเป็นคนอย่างไร ผู้อาวุโสหยางเหล่าอาจจะยังไม่แน่ใจนัก เพื่อการฝึกตนแล้ว บุตรชายและหลานชายแท้ๆ ก็ยังขายแลกเงินได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้รวยแล้ว เจริญรุ่งเรืองแล้ว สวมผ้าแพรกลับบ้านเกิด เห็นสิ่งของก็ให้คิดถึงคน ถึงได้เกิดความอาลัยอาวรณ์เล็กๆ น้อยๆ นั่นขึ้นมา”
หยางเหล่าโถวเอ่ยเนิบช้า “มีเด็กคนหนึ่ง ชื่อหลี่หลิ่ว ติดตามพ่อแม่ของนางไปที่กุรุทวีป ดวงวิญญาณของพ่อแม่เจ้าตอนนี้ล้วนอยู่กับนาง หากเจ้าคิดจะทำการค้าอย่างยุติธรรม ข้าก็จะทำกับเจ้า รับรองว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ถึงเวลานั้นจะมอบคืนให้เจ้าครบทั้งหัวทั้งหาง แน่นอนว่าหากเจ้ากลับคำ คิดจะบังคับแย่งชิงไปก็ได้ ตอนนี้เจ้าสามารถหมุนตัวเดินจากไปได้เลย หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็รอรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง”
เฉาซีหน้ามุ่ย “ครบทั้งหัวทั้งหาง…ผู้อาวุโสหยางเหล่าท่านพูดไม่น่าฟังเอาซะเลย เอาเถอะ ท่านเปิดราคามาได้เลย”
หยางเหล่าโถวใช้กระบอกยาสูบชี้ไปที่ข้อมือของเฉาซี
เฉาซีพลันเดือดดาลอย่างรุนแรง “หมายความว่าไง? จะให้ข้าผู้อาวุโสมอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ให้กับเด็กหลี่หลิ่วนั่น?! หยางเหล่าโถว เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง?”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามามอง ก่อนพูดต่อว่า “กระบี่บินเล่มที่เจ้าได้ครอบครองก่อนจะหลอมแม่น้ำสายใหญ่สายนี้ได้ คงยังเก็บเอาไว้ตลอดกระมัง เจ้าสามารถมอบมันให้กับหลี่หลิ่ว จำไว้ว่าแม้แต่คาถากระบี่เจ้าก็ต้องถ่ายทอดให้นางไปพร้อมกันด้วย”
สีหน้าของเฉาซีเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้
หยางเหล่าโถวแค่นเสียงเย็น “อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่เคยได้รับลูกศิษย์ดีๆ สักคน นี่เท่ากับข้าช่วยหาให้เจ้าคนหนึ่งโดยไม่คิดค่าตอบแทน ไม่แน่ว่าในอนาคตเมื่อทุกคนพูดถึงเจ้าเฉาซี อาจจะกล่าวว่า ‘เฉาซีน่ะหรือ เขาก็คืออาจารย์ของหลี่หลิ่ว’ ก็เป็นได้”
เฉาซีรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ถูมือจุ๊ปากพูด “นังหนูนั่นร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก “ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรไปหานางด้วยตัวเอง ตอนที่มอบกระบี่บินเล่มนั้นให้นาง เชื่อว่าเจ้าจะยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง”
“การค้าครั้งนี้ ข้าผู้อาวุโสตกลงทำ! จะเดิมพันก็ต้องเดิมพันให้ใหญ่ นี่ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับฐานะเซียนกระบี่ของข้าผู้แซ่เฉา!”
เฉาซีตบเข่าฉาด ลดระดับน้ำเสียงลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ล่ะ? เจ้าและข้ายังมีการค้าอะไรที่ทำด้วยกันได้อีกไหม?”
น้ำเสียงของหยางเหล่าโถวราบเรียบ “ดวงวิญญาณของพ่อเจ้า”
เฉาซีตะลึง จากนั้นก็ค้อนตาคว่ำ “เลิกพูดๆ ให้เปล่าข้ายังไม่ต้องการเลย”
หยางเหล่าโถวเริ่มพ่นควันโขมงอีกครั้ง “ในเมื่อไม่เอาก็เปลี่ยนเป็นอันใหม่ เจ้าไปหาหม่าขู่เสวียนที่ภูเขาเจินอู่ ไปเป็นผู้ปกป้องมหามรรคาของเขา ภายในยี่สิบปีนี้ ไม่ต้องคอยจับตามองเขาตลอดเวลา นับรวมๆ กันแล้วแค่เจ้าเฉาซีทำให้ได้ครบสิบปีก็พอ”
เฉาซีหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “เซียนกระบี่คนหนึ่งที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสอง ต้องไปเป็นผู้ปกป้องมหามรรคาให้เด็กคนหนึ่ง?! ข้าเฉาซีช่างไม่รักศักดิ์ศรี ไม่รักหน้าตาเอาซะเลย แม้ว่าอยู่ที่นาตยทวีปจะมีชื่อเสียงด้านความหน้าด้านไร้ยางอาย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้างสิ!”
หยางเหล่าโถวพูดเสียงหนัก “บอกให้เฉาจวิ้นไปเข้าร่วมกองทัพต้าหลี ฝึกขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ที่แตกพังอยู่ในสนามรบ ข้าสามารถให้คนแอบปกป้องเขาอย่างลับๆ ยี่สิบปี จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่ของเขาถูกซ่อมแซมจนสมบูรณ์แบบ”
สีหน้าของเฉาซีเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “ได้ผลประโยชน์ไปแล้วก็อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสา ศักดิ์ศรีน้อยนิดของเจ้าเฉาซี กับเซียนกระบี่พสุธาที่จะเพิ่มมาในตระกูลอีกคนหนึ่ง อะไรที่มีค่ามากกว่ากัน?”
เฉาซีทำสีหน้าลำบากใจ “เจ้าเด็กเฉาจวิ้นผู้นั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนเนรคุณ ปล่อยให้เขาได้กลายเป็นเทพเซียนพสุธา เขาจะไม่ก่อกบฏเลยหรือ? ตระกูลเฉาร้ายกาจแล้ว ตระกูลเดียวมีเซียนกระบี่ตั้งสองคน ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็สามารถเป็นคนยืนยืดเอวได้ตรง อ้อไม่ถูกสิ ต้องเป็นเทพเซียน แต่บรรพบุรุษอย่างข้าไม่แน่ว่าอาจจะถูกเจ้าเด็กนั่นคิดบัญชีย้อนหลัง…”
หยางเหล่าโถวไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขาเรื่องนี้ พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “หลังจากเฉาจวิ้นกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาแล้ว จำเป็นต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง วางใจเถอะ ไม่ได้ให้เขาไปตายหรอก และสำหรับเฉาจวิ้นในเวลานั้นแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากสักเท่าไหร่”
เฉาซีรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงถามว่า “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ทำไมเจ้าถึงไม่ไปหาเฉาจวิ้นโดยตรง? ระหว่างนี้คงไม่ได้มีแผนเล่นงานอะไรหรอกนะ? จะอย่างไรพวกเราสองคนก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว คนบ้านเดียวกันเจอคนบ้านเดียวกันก็ไม่ควรซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอหรอกหรือ ไม่ควรจะทำร้ายคนบ้านเดียวกันหรอกกระมัง?”
หยางเหล่าโถวตัดบทตอบตามตรง “ตอนนี้เฉาจวิ้นยังไม่มีคุณสมบัติจะมาคุยเรื่องค้าขายกับข้า แต่เจ้าเฉาซีมี”
เฉาซีพูดไม่ออกเป็นนาน
สุดท้ายตอนที่เดินออกมาจากร้านตระกูลหยาง เฉาซีมายืนอยู่บนถนนเส้นใหญ่ หันหลังกลับไปมองร้านยาแวบหนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง “เรื่องพวกนี้ คงไม่ได้เป็นแผนการของตาเฒ่าเฉินฉุนอันด้วยหรอกนะ?”
—–