กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 241.1 พระโพธิสัตว์ดินเผามีไฟโทสะ
สุดท้ายเฉินผิงอันที่ชมน้ำตกจนพอใจก็ไม่ได้ชักกระบี่ไม้ไหวออกมาฟาดฟันอย่างที่อาจารย์ฉีกระทำต่อปีศาจใหญ่ชุดสีชมพูในวัดโบราณ
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหากออกกระบี่จะต้องผิดอย่างแน่นอน? หรือว่าฝึกหมัดกับฝึกกระบี่คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อันหนึ่งหากมุมานะสามารถชดเชยในส่วนที่ขาด ส่วนอีกอันหนึ่งต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น?”
ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า นี่ไม่ใช่เพราะเขาโง่เขลาเกินไป และยิ่งไม่ใช่เพราะไร้พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ แต่เป็นเพราะกระบี่ที่เขาได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือกระบี่ หรือวิชากระบี่อันไร้เทียมทานที่พวกเขาใช้ สำหรับเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามแล้ว มันทั้งสูงและอยู่ไกลเกินไป
แต่ปัญหาอยู่ที่สายตาของเฉินผิงอันดีเยี่ยม จึงมองเห็นจุดที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปหลายคนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน นี่จึงยิ่งกลายมาเป็นภาระไร้รูปลักษณ์สำหรับเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่เขาอยากจะออกกระบี่ เฉินผิงอันที่เคยชินกับการแสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาดจึงมักจะรู้สึกว่ากระบี่ที่อยู่ในฝักหนักอึ้งนับพันชั่ง นับหมื่นจิน
สิ่งที่เฉินผิงอันได้พบเห็นมาตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่พสุธา ตัวคนยังไม่ทันมาถึง กระบี่ก็ฟันให้ม่านฟ้าในอาณาเขตของผีสาวสวมชุดแต่งงานปริแตก มาภายหลังคือกระบี่ยาวของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่ออกจากฝักเพียงเล็กน้อยก็สามารถอาศัยเทือกเขาสายหนึ่งที่นึกถึงในความคิดมาต้านทานกระบี่ของเว่ยจิ้นได้ หรือจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนออกกระบี่อย่างสบายๆ ผ่อนคลายตามใจปรารถนาก็สามารถฟันให้ค่ายกลแสงทองผสานพลังต้นกำเนิดที่สืบทอดมาจากระบบเต๋าของนครจักรพรรดิขาวแตกสลายในครั้งเดียว
นี่ไม่ค่อยเหมือนกับตอนที่หนิงเหยาอยู่ในบ้านบรรพบุรุษ แล้วเดินท่าเดินนิ่งขั้นพื้นฐานของตำราหมัดเขย่าขุนเขาไม่กี่ครั้ง เฉินผิงอันก็พอจะทำตามนางได้อย่างถูไถ หรือถึงขั้นพอจะใคร่ครวญถึงสัจธรรมของวิชาหมัดออกมาได้หลายส่วน เพราะหลังจากที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยอ่านตำราหมัดเล่มนั้นก็ได้ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงไว้นานแล้วว่า อันที่จริงกระบวนท่าหมัดของวิชาหมัดเขย่าขุนเขานั้นหยาบมากจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเลียนแบบได้ ก็เหมือนจ้าวซู่เซี่ยของเมืองแยนจือที่พอแอบมองเฉินผิงอันเดินนิ่งแล้ว ก็สามารถหล่อหลอมเรือนกายของตัวเองให้แข็งแกร่งได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของหมัดเขย่าขุนเขานั้นอยู่ที่ลมปราณหนึ่งเฮือกของ ‘ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเรา’ ดังนั้นหมัดเขย่าขุนเขาจึงอยู่ในวิชาประเภทที่เริ่มต้นง่าย แต่หากจะฝึกให้ประสบความสำเร็จสูงและกระจ่างแจ้งจนถึงแก่นกลับ…ยาก
ยากแค่ไหน?
พูดถึงแค่เจตจำนงของหมัดเขย่าขุนเขาที่กล่าวไว้ว่า ‘ผู้ที่เรียนวิชาหมัดของข้า เผชิญหน้ากับศัตรูที่เป็นมรรคาจารย์เต๋า แพ้ได้แต่ถอยไม่ได้’ ปู่ของชุยฉานที่เป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งพลังกลับคืนสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบอีกครั้ง เมื่อเจอกับลู่เฉิน ได้ปล่อยหมัดออกไปหรือไม่? ไม่เลย ไม่ว่าผู้เฒ่าจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องเป็นกังวล หากมองแค่ผลลัพธ์ สุดท้ายแล้วผู้เฒ่าก็ไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่า หากคนรุ่นหลังที่ฝึกวิชาหมัดคิดจะทำตามแก่นสำคัญที่ตำราเขย่าขุนเขายกย่องเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากจะบรรยายด้วยคำว่ายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
น้ำตกตกกระทบลงบนบ่อน้ำ สะเก็ดน้ำแตกกระเซ็นไปรอบด้าน ประหนึ่งไข่มุกนับล้านเม็ดที่แตกโพล๊ะอย่างพร้อมเพรียงกัน พาให้ไอน้ำลอยตัวกรุ่นขึ้นมา
“อาเหลียง ฝึกกระบี่ยากจังเลย”
เฉินผิงอันยกมือเกาหัวอย่างเหม่อลอย ดื่มเหล้าอีกอึกหนึ่งเพื่อดับทุกข์ รู้สึกจนใจไม่น้อย เขายืนอยู่บนราวระเบียงของศาลาริมน้ำ หันมองไปรอบด้าน สุดท้ายหยุดสายตาจ้องนิ่งไปยังด้านบนของน้ำตก แม้ว่าจะไม่มีความคิดอยากออกกระบี่อีกแล้ว แต่ก็จำได้ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ช่วยขัดเกลาเรือนกายขอบเขตสามให้ตนเคยเอ่ยไว้ว่า ตอนที่กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ปรากฎขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก เคยต่อยให้ม่านฝนที่ตกลงมาท่ามกลางฟ้าดินถอยย้อนกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
เฉินผิงอันมองน้ำตกใหญ่ยักษ์ที่ตกกระทบพรั่งพรูลงมาเบื้องล่างแล้วก็ให้อยากรู้ว่า หากผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่ปล่อยหมัดหนึ่งครั้ง จะสามารถต่อยให้น้ำตกกระเพื่อมขึ้นสู่ด้านบน กระแสน้ำเกิดพลิกตาลปัตรได้หรือไม่?
เมื่อเปลี่ยนความคิดจากการชักกระบี่ที่ไม่เคยชินมาเป็นการออกหมัดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เฉินผิงอันก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจนี้มาจากการฝึกเดินนิ่งที่เขานับในใจได้หลายแสนครั้ง และมาจากการเผชิญหน้ากับศัตรูโดยไม่เคยถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินผิงอันมองไปยังน้ำตกยิ่งใหญ่สายนั้นแล้วพลันเกิดจินตนาการบรรเจิด หากตนออกแรงเต็มกำลัง จะสามารถต่อยทะลุม่านน้ำตกที่หนาใหญ่นั้นไปได้ด้วยหมัดเดียวหรือไม่? แล้วหลังจากที่โชคดีต่อยทะลุม่านน้ำไปได้แล้ว จะยังมีพายุหมัดเหลือให้กระแทกลงบนผนังหินด้านหลังม่านน้ำหรือไม่? ไม่รู้ว่าสวีหย่วนเสียที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณแล้วจะต่อยหนึ่งหมัดให้ผนังหินเกิดเป็นแอ่งเว้าได้ไหม?
เฉินผิงอันเริ่มเกิดความคิดดีๆ บางอย่าง
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็กระโดดลงจากราวระเบียง มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวของศาลา ยกเหล้าขึ้นดื่มคล้ายนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในทัศนียภาพอันงดงาม
เฉินผิงอันมองไปยังทางเดิน ครู่หนึ่งต่อมาก็มีกลุ่มคนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเดินมาช้าๆ บางคนกำลังหัวเราะสนุกสนานเสียงดัง ท่วงท่าองอาจห้าวหาญ บางคนท่าทางสุภาพสง่างาม กิริยางดงามผ่าเผย แล้วก็มีสตรีที่สงบสำรวม ใบหน้าแย้มยิ้มดุจบุปผาผลิบาน สามคนที่เป็นผู้นำ มีคนหนึ่งคือคุณชายหน้าหยกหล่อเหลา ตรงเอวห้อยหยกประดับไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งห้อยกระบี่สั้นที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก บุคลิกลักษณะทระนงองอาจ ทางฝั่งซ้ายมือของเขาคือบุรุษที่พกดาบเล่มหนึ่ง ก้าวย่างของเขาหนักแน่นประดุจพยัคฆ์ ท่าทางลำพองใจ ฝั่งขวามือคือบัณฑิตหนุ่มที่สวมหมวกอ่อน (หมวกที่ทำจากผ้า ลักษณะคล้ายผ้าโพกหัว) ในมือถือพัดพับ
ด้านหลังคนทั้งสามมีเด็กสาวและผู้หญิงโตเต็มวัยหลายคนที่ทั้งบุคลิกและหน้าตาต่างก็ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด
ขยับไปด้านหลังอีกก็คือข้ารับใช้ผู้ติดตามหนึ่งกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มแข็งแรงที่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายเฉียบคม พลังอำนาจบีบคั้นผู้คน คนหนึ่งในนั้นที่สะพายธนูเขาวัวแข็งแกร่งโดดเด่นสะดุดตามากที่สุด
กลิ่นอายยุทธภพที่ไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายกรูเข้ามาทางศาลาริมน้ำแห่งนี้
เส้นทางชมน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่คือทางตัน จุดหมายปลายทางก็คือศาลาริมน้ำ พอคนทั้งกลุ่มเดินเบียดกันมา บนถนนเส้นเล็กก็แทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ เฉินผิงอันจึงได้แต่รออยู่ในศาลาไปชั่วคราว คิดว่ารอให้พวกเขาเข้าศาลามาก่อน ตัวเองค่อยหาโอกาสออกไป สามคนที่เป็นผู้นำกับพวกผู้หญิงทยอยกันเดินขึ้นมาบนบันได ส่วนพวกข้ารับใช้ก็แยกย้ายกันไปเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้คนละตำแหน่ง สำหรับเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้นั่งอยู่ในศาลา คนส่วนใหญ่เพียงแค่ปรายตามองครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจอีก
พอเห็นเฉินผิงอัน คุณชายที่เป็นผู้นำซึ่งลักษณะคล้ายลูกหลานตระกูลร่ำรวยก็หยุดสายตาค้างไว้เล็กน้อย ราวกับกำลังรอให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน เพียงแต่ว่าหลังจากประสานสายตากับคุณชายท่านนี้ เฉินผิงอันกลับเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด คุณชายจึงเป็นฝ่ายยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะทักทาย แต่ในใจกลับค่อนข้างจะแปลกใจ จอมยุทธ์ในยุทธภพที่เข้ามาในหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ได้ มีคนที่ไม่รู้จักตนด้วยหรือ?
เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายกลับคืน
ขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเดินออกไปจากศาลา สตรียังสาวที่นั่งอยู่ข้างกายคุณชายผู้หล่อเหลามองมาทางเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “หากคุณชายมาชมทัศนียภาพ แล้วยังไม่หมดความสนใจ ก็ไม่จำเป็นต้องออกไป”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เพราะว่าสตรีผู้นั้นพูดภาษาทางการของแคว้นซูสุ่ย เขาจึงฟังไม่เข้าใจ
สตรีสาวเข้าใจได้ทันที จึงรีบพูดซ้ำด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันถึงได้ฟังเข้าใจ
สตรีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งที่ตัวสูงไม่แพ้บุรุษ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง ตรงเอวห้อยดาบยาวที่ฝักดาบประณีตงดงาม รัดพันด้วยด้ายสีทองเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าการห้อยดาบของนางประหลาดมาก เป็นการห้อยแบบกลับด้าน ข้อนี้เหมือนกับชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้นั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นางปรายตามองกล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน แล้วค่อยมอง ‘น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด’ ที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอัน เมื่อมองความสูงต่ำของขอบเขตและรากฐานในยุทธภพของอีกฝ่ายไม่ออก หญิงสาวก็หมดสิ้นซึ่งความสนใจ
ชายฉกรรจ์พกดาบกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชาย นั่งให้สบายเถอะ ควรดื่มเหล้าก็ดื่ม ควรชมวิวก็ชม ไม่ต้องอึดอัด หากจะนับลำดับมาก่อนมาหลัง ก็เป็นพวกเราต่างหากที่มารบกวนการพักผ่อนอย่างสงบของน้องชาย แน่นอนว่าหากอีกเดี๋ยวน้องชายรำคาญที่พวกเราพูดคุยกันเสียงดัง น้องชายคิดจะจากไปก็ยังไม่สาย”
หากเป็นคนทั่วไปก็คงนั่งอยู่ที่เดิม แต่เฉินผิงอันกลับกุมมือบอกลา “ข้ามาอยู่ตรงนี้ได้ครึ่งวันแล้ว น้ำตกก็ชมไปแล้ว ตอนนี้อยากจะย้อนกลับไปทางเดิมพอดี”
ชายฉกรรจ์พกดาบหัวเราะเสียงดัง ถึงกับลุกขึ้นยืนกุมหมัดบอกลาอย่างมีมารยาท “ไม่เป็นไรๆ เชิญน้องชายตามสบาย”
เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดเบิกตากว้าง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้สายตาแย่มาก และก็วางท่าใหญ่โตมากเช่นกัน หรือเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหัวหน้าบูรพาที่นั่งอยู่ในศาลาผู้นั้นก็คือซ่งเฟิ่งซานนายน้อยผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านวารีกระบี่? เซียนกระบี่น้อยอันดับหนึ่งในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย คนเล่าลือกันว่ามีองค์หญิงคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยชื่นชอบเขามากจนแทบจะหนีตามเขาไป ต่อให้แขกไม่รู้จักเจ้าบ้าน ทว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่กล้าห้อยดาบกลับด้านอยู่ในแคว้นซูสุ่ยแบบนี้ ก็ไม่รู้จักงั้นหรือ? ชายฉกรรจ์ที่กุมหมัดบอกลาคนนั้น อย่าเห็นแค่ว่าเขาดูเข้ากับคนได้ง่าย ไม่คล้ายยอดฝีมือผู้หยิ่งยโสในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันของหมู่บ้านเหิงเตา (ดาบแนวขวาง หรือชื่อดาบชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) ซึ่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ คือปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิชาดาบที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นซูสุ่ย ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว เคยท่องไปในยุทธภพของหลายสิบแคว้น มีชื่อเสียงระบือไกลขนาดที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาก็ยังเคยเอ่ยปากชื่นชมวิชาดาบของคนผู้นี้ว่า ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวก็สามารถเข้าสู่จุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบแห่งวิถีวรยุทธ์ได้แล้ว
เด็กสาวแอบหัวเราะอยู่ในใจ คิดในใจว่าเด็กหนุ่มที่ยากจนคนนี้คงไม่ใช่ลูกนกที่เพิ่งมาเผชิญโลกกว้างของยุทธภพหรอกกระมัง? หรือว่าจะเป็นหัวขโมยตัวน้อยที่ใจกล้าแอบดอดเข้ามาในหมู่บ้านวารีกระบี่ ก็เลยไม่กล้ารั้งรออยู่นาน? ฮ่าๆ หากเป็นเช่นนี้จริงก็สนุกแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกมาจากศาลา เดินลงบันไดมา แต่จู่ๆ ด้านหลังก็มีน้ำเสียงใสเย็นดังขึ้น “ช้าก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เป็นหญิงสาวที่ห้อยดาบกลับด้านคนนั้น นางเดินมาตรงบันไดขั้นบนสุด หลุบตาลงต่ำมองตน “อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร? ใช่สำนักผู้ฝึกกระบี่ในแคว้นไฉ่อีหรือแคว้นกู่อวี๋หรือไม่?”
แม้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวค่อนข้างจะข่มคนอื่น แต่เฉินผิงอันที่หันกลับไปส่ายหน้าให้นางยังคงตอบอย่างมีมารยาทโดยพยายามไม่ให้สร้างความบาดหมางมากที่สุด “ข้ามาจากทางทิศเหนือ ครั้งนี้เดินทางมาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่พร้อมกับสหายก็เพราะได้ยินว่าเจ้าหมู่บ้านจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ก็เลยอยากจะหาโอกาสมาแสดงความยินดี”
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นยิ้มบางๆ
—–