กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 241.2 พระโพธิสัตว์ดินเผามีไฟโทสะ
บัณฑิตที่โบกพัดเอ่ยเย้าเสียงเบา “เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนดันไม่รู้จัก”
ชายพกดาบมองแผ่นหลังของหญิงสาวแล้วให้โมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าเด็กบ้าพลังผู้นี้ ห้ามเสียมารยาทกับแขก! ก่อนหน้านี้พูดกับเจ้าไว้ว่าอย่างไร ออกจากหมู่บ้านของตัวเองแล้วห้ามหาเรื่องประลองฝีมือกับคนอื่นไปทั่ว!”
หญิงสาวพกดาบใช้ฝ่ามือกดไว้ที่ด้ามดาบ ปลายฝักดาบจึงส่ายไหวเบาๆ ตามไปด้วย และมันก็ชี้มายังเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บันไดขั้นล่างพอดี นางทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของชายฉกรรจ์ จ้องหน้าเฉินผิงอันแล้วถามว่า “เจ้ามีขอบเขตวรยุทธ์ขั้นที่สองหรือขั้นที่สาม? ฝึกกระบี่มากี่ปีแล้ว?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เพียงกุมมือคารวะแล้วหมุนตัวจากมาทันที ไม่คิดจะสนใจหญิงสาวที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงของยุทธภพแคว้นซูสุ่ยผู้นี้
เฉินผิงอันเป็นคนพูดง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหลักการกับทุกคน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเฉินผิงอันไม่เคยไปหาเรื่อง แต่ก็ไม่เคยเกรงกลัวเช่นกัน
ไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขา งูยักษ์ภูเขาฉีตุนที่หัวระเบิดแตก ข้ารับใช้ขุนนางบนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา แน่นอนว่ายังมีเด็กหนุ่มชุยฉานที่ตอนนั้นไปหลบอยู่ใต้บ่อน้ำแคว้นหวงถิง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา รวมไปถึงผีสาวในวัดร้างที่ก่อนหน้านี้ไม่นานถูกเขาบีบคอแล้วต่อยรัวจนวิญญาณแหลกสลายซึ่งต่างก็ได้รับบทเรียนไปแล้ว
หญิงสาวพกดาบสีหน้าเย็นชา ทิ้งประโยคหนึ่งไว้เบาๆ ว่า “เศษสวะอย่างนี้ก็มีหน้าสะพายกระบี่ท่องอยู่ในยุทธภพ แถมยังกล้าเข้ามาในหมู่บ้านวารีกระบี่ คิดดูแล้วคนที่สอนเจ้าฝึกกระบี่คงสอนให้เจ้าขี้ขลาดตาขาวมากกว่ากระมัง?”
ชายฉกรรจ์ห้อยดาบกลับด้านรู้สึกระอาใจ นิสัยเจ้าอารมณ์ที่พกมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ของบุตรสาวคนนี้เป็นอันตรายกับตัวนางเองไม่น้อย
แต่บ่นก็ส่วนบ่น เอาเข้าจริงแล้วชายฉกรรจ์ก็ภาคภูมิใจในพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ของบุตรสาวเพียงคนเดียวของตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยปิดบังความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อนาง เคยป่าวประกาศด้วยว่าวันหน้าบุตรสาวจะไม่แต่งออกนอกบ้านเด็ดขาด หมู่บ้านเหิงเตาจะแต่งเขยเข้าบ้านอย่างเดียวเท่านั้น เพราะบุตรสาวของเขาถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องสืบทอดตำแหน่งเจ้าหมู่บ้านคนต่อไป
ชายฉกรรจ์พกดาบไม่คิดจะอาศัยกำลังที่มีมากกว่ารังแกคนอื่น จึงลุกขึ้นยืน หมายจะเกลี้ยกล่อมบุตรสาวว่าอย่าไปพูดท้าทายเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนั้น คนที่ฝึกวรยุทธ์ควรจะมีคุณธรรมเป็นหลัก วรยุทธ์สูงต่ำเป็นเรื่องรองลงมา
แต่ชายฉกรรจ์เองก็รู้ดีว่า คำพูดเดิมๆ ในยุทธภพเหล่านี้ ไม่เพียงแต่บุตรสาวของเขาเท่านั้นที่ฟังไม่เข้าหู อันที่จริงตอนนี้พวกคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในยุทธภพ มีใครบ้างที่ไม่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ใบหน้าไม่สบอารมณ์ พ่นเสียงขึ้นจมูกใส่ด้านหลังของพวกผู้อาวุโส?
ยอดฝีมือคนหนุ่มที่ฉายประกายเฉียบคมที่สุดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของแคว้นซูสุ่ยก็ไม่ใช่เจ้าหมู่บ้านหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายตนผู้นี้หรอกหรือ? อายุน้อยๆ ก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ ช่วงชิงคำเรียกขานที่งดงามว่าเซียนกระบี่น้อยให้กับตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ทุกครั้งก่อนที่ซ่งเฟิ่งซานจะออกกระบี่ ไม่ว่าจะถูกคนท้ารบหรือเป็นฝ่ายไปหาคนประลองกระบี่ด้วยตัวเอง เขาจะต้องอบธูปหอม อาบน้ำผลัดเสื้อผ้า เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยใส่มาก่อน อีกทั้งหากออกกระบี่แล้วจะไม่มีทางทิ้งให้ใครรอดชีวิตภายใต้คมกระบี่เด็ดขาด
แต่ว่าผู้มากพรสวรรค์วิถีกระบี่ที่ฆ่าคนอย่างเด็ดขาดแบบนี้กลับมีความเป็นไปได้สูงสุดว่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ขอบเขตห้าที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นซูสุ่ย
ปรมาจารย์ขอบเขตห้าอายุสามสิบ ถึงเวลานั้นหากเอาชนะเซียนกระบี่ไผ่เขียวได้ ซ่งเฟิ่งซานก็จะได้ยึดครองตำแหน่ง ‘เซียนกระบี่’ เพียงลำพังอย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงเวลานั้นปู่ของเขา ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีได้ตายไปแล้ว แล้วในอาณาเขตของสิบกว่าแคว้นนี้ยังจะมีใครที่สามารถต้านทานหมู่บ้านวารีกระบี่ได้อีก?
และนี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยยินดีทำตัวนอบน้อมต่อเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง
แต่การที่อดีตเจ้าหมู่บ้านซ่งอวี่เซาปรากฏตัวน้อยครั้งนักในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เพราะผิดหวังต่อยุทธภพที่มีบรรยากาศใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่หรอกหรือ
เล่าลือกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองปู่หลานไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับหลานสะใภ้ซุนซึ่งเป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่ายิ่งไม่ชอบใจ
ได้ยินคำพูดเหน็บแนมระคายหูจากเด็กสาวที่พกดาบกลับด้าน ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่มีนิสัยดุจดั่งรูปปั้นพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังหยุดฝีเท้า หันขวับไปมองทางศาลา
เขาไม่ค่อยรู้กฎเกณฑ์ในยุทธภพก็จริง อีกทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมของแคว้นซูสุ่ย แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสี่สมุทรก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง และเรื่องบางเรื่องก็ยิ่งควรต้องแยกแยะถูกผิดให้ชัดเจน
ยังดีที่ชายฉกรรจ์เดินมาถึงข้างกายเด็กสาวและสั่งสอนนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว “นิสัยอวดดีจองหองถึงเพียงนี้ พ่อจะกล้าปล่อยให้เจ้าเดินทางในยุทธภพเพียงลำพังได้อย่างไร ชะลอไว้อีกหนึ่งปีค่อยว่ากัน!”
เด็กสาวเดือดดาลอย่างหนัก สีหน้าที่เย็นชาดุจน้ำค้างแข็งยิ่งเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบิดาของนาง อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาดาบของวิถีวรยุทธ์ให้นางเองกับมือ เป็นทั้งบิดาเป็นทั้งอาจารย์ นับประสาอะไรกับที่อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมายขนาดนี้
ต่อให้เด็กสาวพกดาบที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวในยุทธภพมาตั้งแต่เล็กจะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ยังทำแค่แค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง ไม่พูดจาทำร้ายจิตใจใครอีก เพียงหมุนกายเดินกลับไปนั่งบนม้านั่งยาวในศาลา หันหน้าไปมองน้ำตกสายนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดขุ่นเคือง
ชายฉกรรจ์หันไปเอ่ยขออภัยเฉินผิงอัน “น้องชาย ข้าหวังอี้หรานต้องขอโทษเจ้าแทนบุตรสาวด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้า หมุนตัวกลับแล้วเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด เพราะนางทำให้เขานึกถึงพ่อลูกจูเหอจูลู่ที่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่บิดาคือคนดีที่มีเหตุมีผล ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจเปิดเผย แต่ทำไมถึงสั่งสอนให้ลูกสาวกลายมาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจแบบนี้ได้?
แปลกซะจริง!
พอเฉินผิงอันนึกถึงจูลู่ที่คิดจะลอบสังหารตน ก็ไพล่นึกไปถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลังอย่างหลี่เป่าเจินพี่ชายคนรองของหลี่เป่าผิง นี่คือความแค้นที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ และนี่ก็ทำให้เฉินผิงอันต้องทอดถอนใจไม่หยุด
เฉินผิงอันจากไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา ภาพนี้ทำให้เด็กสาวพกกระบี่ที่โทสะสุมแน่นอยู่เต็มท้องไม่อาจอดทนได้อีก นางลุกพรวดขึ้นยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาผู้ยิ่งใหญ่ยอมขอโทษเจ้า แต่เจ้ากลับไม่แม้แต่จะผายลม? ไอ้พวกมีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีพ่อสั่งสอน!”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รัดสายเชือกเส้นเล็กผูกกับกล่องกระบี่ด้านหลังให้แน่น “เจ้าอยากจะประลองฝีมือก็มาประลอง”
ในระยะทางเจ็ดร้อยลี้ตั้งแต่ที่วัดโบราณมาจนถึงหมู่บ้านวารีกระบี่แห่งนี้ เฉินผิงอันพูดน้อยมาตลอดทาง อารมณ์ของเขาไม่ใคร่จะดีนัก สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็มองออก ชายฉกรรจ์เคราดกถึงกับระงับใจไม่ดื่มเหล้าให้มากเกินไป คำพูดหยาบคายเวลาเมามายก็ยิ่งไม่เอ่ยจากปาก ดังนั้นครั้งนี้พอเฉินผิงอันบอกว่าจะมาชมน้ำตก คนทั้งสองที่แท้จริงแล้วต่างก็สนใจกลับพากันพูดว่าไม่อยากออกไปไหนอย่างคนที่ความรู้สึกไว เพราะทั้งสองคนต่างก็อยากให้เฉินผิงอันได้ออกมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เพียงลำพัง
หญิงสาวก้าวยาวๆ มายังบันไดขั้นบนสุด หัวเราะหยัน “ดีสิ รอคำนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ!”
แต่ประโยคถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้ทุกคนที่อยู่ทั้งในและนอกศาลาต้องหันมามองเขาเสียใหม่ ในใจบังเกิดความพรั่นพรึง “สัญญาเป็นตายปากเปล่า นับได้หรือไม่?”
หวังอี้หรานปรมาจารย์วิชาดาบที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นซูสุ่ยเอ่ยเสียงหนัก “น้องชาย ประลองฝีมือกันน่ะได้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก แต่ข้าหวังว่าจะไม่ต้องต่อสู้กันถึงเป็นถึงตาย เมื่อพอสมควรก็หยุด ตกลงไหม?”
เด็กสาวพกดาบเตรียมจะอ้าปากพูด หวังอี้หรานกลับถลึงตามองนางด้วยสายตาดุดัน เด็กสาวที่แทบไม่เคยเห็นสีหน้าเข้มงวดแบบนี้ของบิดามาก่อนตกใจจึงเงียบกริบเป็นจั๊กจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าพูดจาดุร้ายใส่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่สมควรตายผู้นั้นอีก
หวังอี้หรานจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “หากจะต้องลงนามสัญญาเป็นตายถึงจะยอมต่อสู้กันในครั้งนี้ ข้าไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด แต่หากเป็นแค่การประลองฝีมือ ต่อให้จะลงมือหนักไปสักหน่อย ข้าก็เต็มใจจะให้บุตรสาวเผชิญกับความยากลำบากนี้ หวังว่าทางที่ดีที่สุดนางจะอาศัยโอกาสนี้มาเรียนรู้ความตื้นลึกของน้ำในยุทธภพ ไม่ทำตัวอวดดีไม่เห็นหัวใครอีก ไม่ใช่ว่าเรียนรู้วรยุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ แล้วจะนึกว่าตัวเองไร้เทียมทานอยู่ในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว!”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย ชายฉกรรจ์หันไปมองบุตรสาว อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมายถึงเพียงนี้ คำพูดเหล่านี้ของเขานับว่าแรงมาก
สั่งสอนบุตรต่อหน้า สั่งสอนภรรยาลับหลัง
นี่น่าจะเป็นกฎเกณฑ์เก่าแก่ในยุทธภพกระมัง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ประลองฝีมือ!”
หวังอี้หรานที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวกดเสียงพูดเบาๆ “ซานหู จำไว้ว่าตอนลงมือต้องรู้จักหนักเบา เป็นคนต้องรู้จักเหลือพื้นที่ว่างให้แก่กัน อย่าทำให้เส้นทางในยุทธภพของตัวเองยิ่งเดินก็ยิ่งคับแคบลง”
เห็นได้ชัดว่า หวังอี้หรานยังคงเห็นดีในตัวบุตรสาวของตัวเองมากกว่า เพียงแต่ว่าในฐานะบิดา หลักการสำคัญที่ควรพูดก็ยังต้องพูด
หญิงสาวพกดาบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนทางเล็กนอกศาลาแล้วกระตุกมุมปาก “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
มือของนางกดด้ามดาบ ยิ้มบางๆ สะกิดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นสูงกระโจนเข้าหามือกระบี่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ดาบในมือของนางออกจากฝักในเสี้ยววินาที
บนทางเส้นเล็กเกิดแรงสั่นสะเทือนดังอื้ออึง เงาร่างที่ทุกคนเห็นผ่านหางตาหายวับไปทันใด นาทีถัดมาเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังก็รับหน้าหญิงสาวถือดาบด้วยหมัดที่กระแทกเข้าใส่หน้าผากของนาง เฉินผิงอันอาศัยแรงดีดสะท้อนลอยตัวกลับไปยืนอยู่ที่เดิม เก็บหมัดลง ยืนนิ่งอย่างสง่างาม ส่วนหญิงสาวคนนั้นร่างทั้งร่างคล้ายว่าวที่สายป่านขาด ถูกต่อยจนลอยลิ่วไปกลางอากาศ ลอยข้ามผ่านยอดศาลาไปโดยตรง สุดท้ายหล่นกระแทกลงในบ่อน้ำเบื้องล่างน้ำตก ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
สองฝ่ายที่ประลองฝีมือกัน
ฝ่ายหนึ่งมีเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่น แต่สายฝนกลับบางเบาจนกระทั่ง…ไม่มีเลย
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งรวดเร็วฉับไวไร้เสียงฟ้าคำรณ ทว่าเมื่อลงมือกลับเป็นดั่งพายุฝนโหมกระหน่ำที่กระแทกแสกหน้า
เฉินผิงอันหมุนกายเดินจากไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชูขึ้นสูง กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังให้ทุกคนได้เหลียวมอง
ที่แท้พระโพธิสัตว์ดินเผาก็มีไฟโทสะได้เหมือนกัน
—–