กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 242.1 ดื่มเหล้าของเซียนกระบี่แล้วก็เอาไปคุยอวดได้
หวังอี้หรานสีหน้าเคร่งเครียด บิดตัวหมุนกลับไป ดีดปลายเท้าขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงโดยไม่สนใจว่าสตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาจะตกใจหรือไม่ ครั้นจึงเหินร่างพุ่งไปยังบ่อน้ำเพื่องมบุตรสาวของตัวเองขึ้นมา
หัวหน้าหมู่บ้านหนุ่มของหมู่บ้านวารีกระบี่สีหน้าเป็นปกติ ฝ่ายบัณฑิตหนุ่มที่โบกพัดจุ๊ปากพูดว่า “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ”
บัณฑิตหุบพัดดังพรึ่บ มองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ค่อยๆ จากไปไกลบนถนนสายเล็ก อีกฝ่ายต้องเป็นปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์อย่างแน่นอน! หรือว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี? เพียงแต่ว่ายุทธภพอันตราย บวกกับที่เทพกระบี่ผู้เป็นอาจารย์เพิ่งตายอยู่ในป่าเขา จึงจำต้องแกล้งปลอมตัวเป็นคนต่างถิ่นที่ท่องเที่ยวในยุทธภพเพียงลำพังเพื่อหลบภัย? หาไม่แล้วเขาก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครที่สามารถสั่งสอนผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ที่อายุน้อยขนาดนี้ให้เลื่อนสู่ขอบเขตปรมาจารย์ได้เร็วกว่าซ่งเฟิ่งซาน
ภรรยาของซ่งเฟิ่งซาน สตรีอายุยังน้อยที่หน้าตางดงามกิริยาสำรวมเรียบร้อยผู้นั้นถามขึ้นมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “จะเกิดเรื่องกับซานหูหรือไม่?”
ซ่งเฟิ่งซานใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูด้ามกระบี่สั้นชื่อว่า ‘วารีสีคราม’ ที่พกไว้ตรงเอวเงียบๆ เพียงยิ้ม แต่ไม่ตอบ
บัณฑิตจึงเป็นคนอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฮูหยินโปรดวางใจ แม่นางหวังไม่ได้เป็นอะไรมาก หมัดนั้นของเด็กหนุ่มต่อยด้วยแรงที่ไม่มาก แค่ใช้แรงภายนอกของพายุหมัดโจมตีให้แม่นางหวังหมดสติไปเท่านั้น เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงร่างกายและจิตวิญญาณของนาง การประลองฝีมือในครั้งนี้ เด็กหนุ่มออมแรงไว้กะทันหัน คงอยากทำเหมือนที่หัวหน้าหมู่บ้านหวังกล่าวไว้ นั่นคือไม่ต้องการให้เส้นทางในยุทธภพของตัวเอง ยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลง”
แล้วก็จริงดังคาด หวังอี้หรานอุ้มบุตรสาวกลับเข้ามาในศาลา และเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากหวังอี้หรานด้วยการจี้ไปตามจุดบนร่างกายไม่กี่ครั้ง หญิงสาวก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ นอกจากที่นางจะมีสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าเปียกปอน มองเห็นความสาวได้วับแวม ต้องอับอายขายหน้าผู้คนครั้งใหญ่แล้ว สีหน้าและท่าทางก็ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม หญิงสาวที่ห้อยดาบกลับด้านดิ้นรนลุกขึ้นยืนกลางศาลา หน้าผากบวมเป่ง นางหันหลังให้กับทุกคน มือหนึ่งยันเสากลางศาลา อีกมือหนึ่งปิดปากของตัวเอง ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่เปียกโชกไปทั้งตัวมีไอน้ำเอ่อคลอ เมื่อเทียบกับความเย็นชาในเวลาปกติแล้ว เวลานี้กลับมีความน่าสงสารเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
เด็กสาวที่กลัวว่าเรื่องราวจะครึกครื้นไม่มากพอยืดคอยาวออกไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังดื่มเหล้าเดินอยู่บนทางสายเล็ก แล้วทอดถอนใจด้วยความทึ่ง “ว้าว สมกับเป็นยอดฝีมือจริงๆ”
บัณฑิตชำเลืองตามองแผ่นหลังอรชรของหญิงสาวแบบเร็วๆ แวบหนึ่ง หญิงสาวที่สภาพเหมือนไก่ตกน้ำเปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างออกมาจนหมดสิ้น มุมปากของบัณฑิตตวัดขึ้นสูง ถอนหายใจให้กับขาที่อวบยาวได้อย่างน่าตะลึงของอีกฝ่าย เกรงว่าเด็กหนุ่มซื่อบื้อคนนั้นคงไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกในมุมนี้ ต้องลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนแบบเขานี่แหละที่รู้ว่าภาพแบบนี้ทำร้ายร่างกายของบุรุษได้ดีที่สุด
มรสุมแรกยังไม่สงบ มรสุมใหม่ก็บังเกิดขึ้น
ยุทธภพให้ความสำคัญกับคำว่านายได้รับความอัปยศบ่าวสมควรตายมากที่สุด ในบรรดาผู้ติดตามของแต่ละฝ่ายที่ยืนอยู่นอกศาลา บุรุษคนที่สะพายธนูเขาวัวคันใหญ่ไว้ด้านหลังคล้ายมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันอันคลุมเครือจากผู้ติดตามคนอื่น เมื่อโทสะบังเกิดความกล้าจึงตามมา เขาตวาดกร้าวเสียงดัง ปลดธนูแข็งล้ำค่าที่ช่างใช้เวลาสิบปีกว่าจะสร้างเสร็จลงมา ดึงลูกธนูในถุงซึ่งมีลูกธนูขนนกสีขาวเบียดเสียดกันเต็มแน่นออกมาหนึ่งดอก ง้าวสายจนธนูวาดโค้งเป็นทรงพระจันทร์เต็มดวง “เจ้าคนชั่วบังอาจทำร้ายคุณหนูของข้า กินลูกธนูของข้าซะ!”
เหตุการณ์น่าตกใจเกิดขึ้นติดต่อกัน มาจนถึงตอนนี้หวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตามีชื่อเสียงด้านความสุขุมหนักแน่น อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ด้านวิชากระบี่ที่วิชากระบี่มี ‘กลิ่นอายแห่งขุนเขา’ ก็เริ่มเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว เขาแผดเสียงตะคอกเดือดดาล “หม่าลู่! ห้ามใช้อาวุธลับทำร้ายคนอื่น!”
เฉินผิงอันที่เดินห่างออกไปได้ร้อยก้าวกำลังจะหันตัวมาอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย เพราะหางตาเหลือบไปเห็นว่าบนกิ่งไม้สูงยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีคนยืนเอาสองมือไพล่หลัง เมื่อลมภูเขาพัดโชย ร่างของผู้เฒ่าชุดดำก็แกว่งไกวตามกิ่งไม้คล้ายคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเบาๆ เกิดเป็นภาพชวนมอง เพียงไม่นานสายตาของคนทั้งสองก็สบประสานกัน ผู้เฒ่าผงกศีรษะให้ เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ เพียงหมุนตัวกลับ หันหน้าเข้าหาศาลาริมน้ำอีกครั้ง
ร่างของผู้เฒ่าพกกระบี่สะบัดวูบหนึ่งครั้งก็หายวับไป นาทีถัดมาจึงมาปรากฏตัวอยู่บนทางเส้นเล็ก พุ่งสวนไหล่ของเฉินผิงอันไปดุจควันสีดำหนึ่งกลุ่ม เขายกมือ ตั้งนิ้วข้างหนึ่งขึ้นตรงแล้วยื่นไปด้านหน้า
ลูกธนูขนนกที่แหวกอากาศเข้ามาถูกผู้เฒ่าชุดดำสกัดไว้ด้วยนิ้วเดียว ลูกธนูที่พกพาพละกำลังอันหนักอึ้งปริแตกทีละชุ่นอยู่กลางอากาศ ส่วนนิ้วของผู้เฒ่ากลับยังปกติดังเดิม ไม่มีความเสียหายแม้แต่นิดเดียว
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วออกมาอีกหนึ่งนิ้ว คว้าลูกธนูที่เป็นม้าตีนปลายซึ่งเหลือเพียงปลายลูกศรแหลมคมไว้แล้วขว้างกลับไปส่งๆ ลูกศรแหลมพุ่งกลับไปแทงทะลุฝ่ามือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ที่ถือคันธนู ชายฉกรรจ์เองก็มีความหาญกล้าเต็มเปี่ยม เขายังคงไม่ปล่อยธนูเขาวัวทิ้ง แขนข้างที่ฝ่ามือโชกไปด้วยเลือดถูกปล่อยลงข้างกาย ถือธนูด้วยมือข้างเดียว ถลึงตากว้างจ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นอย่างดุดัน
ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าเฉยชา “ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง! ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนสอนหลักการข้อนี้ให้พวกเจ้าหรือ? อยู่ในยุทธภพแห่งอื่นของแคว้นซูสุ่ย ไม่ต้องทำตามกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น เอาแค่ที่พวกเจ้าสบายใจก็พอ แต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ของข้า จะทำอย่างนั้นไม่ได้”
สตรียังสาวลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะอย่างดงาม เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม “ท่านบรรพบุรุษ”
หวังอี้หรานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบกุมหมัดคารวะ ก้มหน้าลงนิดๆ “หวังอี้หรานผู้นำหมู่บ้านเหิงเตา คารวะอริยะกระบี่ซ่ง!”
บัณฑิตรีบลุกขึ้นตามมาติดๆ หันไปตบศีรษะของเด็กสาวเบาๆ เพื่อให้นางลุกขึ้นต้อนรับอีกฝ่าย จากนั้นบัณฑิตก็วางมือทับซ้อนกันทำท่าคารวะของลัทธิขงจื๊อ เอ่ยเสียงดังกังวาน “หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉงคารวะอดีตท่านผู้นำหมู่บ้าน”
เด็กสาวมีนิสัยร่าเริง ไม่เคยหวั่นกลัวเรื่องใด นางทำท่าคารวะเลียนแบบพี่ชาย แม้จะสอดมือประสาน แต่กลับไม่ก้มหัว เอาแต่จ้องเป๋งไปยังเทพเซียนผู้เฒ่าที่ชื่อเสียงระบือก้องไปทั่วยุทธภพผู้นั้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “หานหยวนเสวียลูกหลานสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉง คารวะอดีตท่านผู้นำหมู่บ้าน”
ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าปรากฏกาย ในฐานะหลานชายคนโตของผู้เฒ่า ซ่งเฟิ่งซานกลับเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืน เขาเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ไร้คลื่นอารมณ์ “ท่านปู่ออกจากบ้านคราวนี้กลับมาค่อนข้างเร็ว เดิมทีหลานนึกว่าต้องรอให้เรื่องของทางหมู่บ้านเงียบสงบลง ไม่มีแขกเหลืออยู่แล้ว ท่านปู่ถึงจะยอมกลับมา”
ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน ทิ้งประโยคที่มีความหมายลึกล้ำไว้ว่า “บรรยากาศเลวร้าย” แล้วหมุนกายเดินจากไปพร้อมกับเฉินผิงอัน จะสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉงเสาเอกของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยหรือหมู่บ้านเหิงเตาอะไร เขาล้วนไม่สนใจ ราวกับว่าไม่มีใครเข้าตาเขาได้สักคน เป็นเหตุให้อดีตผู้นำหมู่บ้านไม่แม้แต่จะชายตามามอง
ซ่งอวี๋เซาเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน พอหันหลังให้ทุกคนแล้ว สีหน้าของเขาถึงได้แสดงความหงอยเหงาออกมาเล็กน้อย หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “หลักคุณธรรมในครอบครัวบิดเบี้ยวไม่เป็นท่า ยังสู้น้ำตกสายหนึ่งไม่ได้ ขายหน้าเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะรับคำต่ออย่างไร จึงได้แต่เอ่ยคำพูดตามมารยาทที่ไม่สร้างความระคายใจให้อีกฝ่าย “อันที่จริงคนในหมู่บ้านก็ดีมาก ไม่ได้เกินทนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสพูด”
ทุกครอบครัวล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก ต่อให้ผู้เฒ่าจะเป็นคนใจกว้างตรงไปตรงมาแค่ไหนก็ไม่ยินดีเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศแก่คนนอก จึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่นแทนว่า “หมัดที่ปล่อยไปนอกศาลาริมน้ำ เหตุใดถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ใช้พลังแค่สามสี่ส่วนจากในสิบส่วน? ว่าที่ผู้นำหมู่บ้านเหิงเตาคนนั้นหัวแข็งถือทิฐิ ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน วันนี้เจ้าออมมือให้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะรับน้ำใจ และก็เป็นไปได้ว่าจะกวนใจเจ้าไม่เลิกรา พวกหนุ่มสาวในยุทธภพสมัยนี้มักจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองเสมอ ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบอย่างยิ่ง แต่คนอย่างเจ้าที่ไม่ลงมือให้สาแก่ใจ ข้าผู้อาวุโสก็ชื่นชมไม่ลงเหมือนกัน”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า ใช้หลังมือเช็ดปาก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เพียงแค่ตัวเองไม่สบอารมณ์ก็จะต่อยให้คนอื่นตายด้วยหมัดเดียว แบบนั้นก็เผด็จการเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกไม่นานข้าก็จะไปจากแคว้นซูสุ่ยแล้ว หมู่บ้านเหิงเตาคิดจะหาเรื่องข้าย่อมไม่ง่าย อย่างมากสุดก็แค่ถูกผู้หญิงคนนั้นด่าลับหลังเท่านั้น ข้าไม่ได้ยินด้วยซ้ำ”
ซ่งอวี่เซาหันมามองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าจริงใจ ทั้งรู้สึกแปลกใจ แล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลไปในคราวเดียวกัน จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คำพูดแบบนี้ หากคนแก่อายุเท่าข้าผู้อาวุโสเป็นคนพูดยังพอเข้าใจได้ เพราะตอนนี้ก็ถือว่าร่างของข้าลงไปอยู่ในดินครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เคยผ่านมาหมด ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? แต่เด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกอย่างเจ้า พูดจาเป็นคนแก่แบบนี้ไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไร พอได้ปล่อยไปหนึ่งหมัด อารมณ์อึมครึมที่ล้อมวนอยู่ในใจก็ลดไปได้มาก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนเสียงเบา “หมัวมัวในวัดร้างที่บอกว่าตัวเองคือสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยเข้ามาในหมู่บ้านของพวกท่านพร้อมกับชายร่างกำยำคนหนึ่ง ท่านผู้อาวุโสต้องระวังตัวไว้บ้าง”
ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่จะนับเป็นอะไรได้ หากรวมคุณชายสกุลหานในศาลาผู้นั้นเข้าไปด้วย สี่พิฆาตที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องลือไปทั้งแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่ามารวมตัวกันครบแล้ว”
เฉินผิงอันสงสัย “แล้วมารอีกคนคือใคร?”
ซ่งอวี่เซาส่ายหน้ายิ้มขื่น “อย่าพูดถึงเลย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าพลางครุ่นคิดไปด้วย
ผู้เฒ่ารู้ว่าเฉินผิงอันคิดอะไร จึงพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมา “เชิญพวกเจ้ามาเป็นแขกในครั้งนี้ ไม่ได้มีแผนการใดๆ เพียงแค่หวังว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ได้มีแต่พวกคนระยำต่ำช้าที่ร่างเป็นคนใจเป็นสุนัข ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็เป็นคนสร้างหมู่บ้านวารีกระบี่แห่งนี้ขึ้นมากับมือตัวเอง ไม่อยากเห็นขี้หมากองอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ตรงนี้หนึ่งกอง ตรงนั้นอีกกอง จนแม้แต่ข้าผู้อาวุโสที่เดินอยู่ในบ้านตัวเองยังรู้สึกขยะแขยง มีพวกเจ้ามาเป็นแขกที่บ้าน ข้าผู้อาวุโสเห็นแล้วก็สบายตาขึ้นมาก”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผู้อาวุโสคนนี้พูดจาเหมือนขวานผ่าซากเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันไม่รู้ว่า ซ่งอวี่เซาที่อยู่ในยุทธภพ นอกจากตำแหน่งอริยะกระบี่ที่ยิ่งนานก็ยิ่งโด่งดังแล้ว เขายังได้รับฉายาว่า ‘ก้อนเหล็ก’ จากคนวัยเดียวกันด้วย ที่เรียกเขาอย่างนี้ก็เพราะซ่งอวี่เซาไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยกับใคร อยู่ในบ้านเป็นเช่นนี้ อยู่ในยุทธภพนอกบ้านก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าซ่งเฟิ่งซานนิสัยไม่เหมือนซ่งอวี่เซาเลยสักนิดก็คงไม่ยุติธรรมกับเซียนกระบี่น้อยเท่าใดนัก เพียงเพราะว่าบนร่างของซ่งอวี่เซามีกลิ่นอายของคนในยุทธภพรุ่นเก่า คร่ำครึตายตัวเกินไป ทำอะไรได้ไม่เต็มที่เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ซ่งเฟิ่งซานที่แสวงหาจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่จึงดูแคลนที่จะปฏิบัติตามเขาก็เท่านั้น
ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีอย่างซ่งอวี่เซาเห็นความชั่วร้ายของจิตใจคนและมรสุมในยุทธภพมามากมาย เขาจึงยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือเหตุผลพูดให้กับคนที่มีเหตุผลฟังได้เท่านั้น หาไม่แล้วกระบี่เหล็กโบราณสนิมเขรอะที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็จะกลายมาเป็นเหตุผลของเขาซ่งอวี่เซา ซ่งอวี่เซาชอบพกกระบี่ท่องไปในยุทธภพเพียงลำพัง หลายปีมานี้ได้พบเจอคนรุ่นหลังที่มีความสามารถและฉายประกายเฉียบคมมามากมาย พรสวรรค์ของพวกเขาเหล่านั้นดีมากจริงๆ แต่คุณธรรมกลับไม่ได้เรื่อง ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองดี คนในยุทธภพที่ชื่นชมพวกเขามีมากประดุจปลาที่แหวกว่ายในแม่น้ำ ซ่งอวี่เซาไม่ค่อยเข้าใจนัก หากอีกสามสิบปีหรือห้าสิบปีให้หลังต้องมอบยุทธภพให้กับมือของคนเหล่านี้ จะยังเหลืออะไรให้คาดหวังได้อีก?
เพียงแต่ว่าต่อให้วิชากระบี่ของซ่งอวี่เซาจะสูงส่งแค่ไหน เขาก็มีแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น คนวัยเดียวกันพากันล้มหายตายจาก แล้วก็พากฎเกณฑ์เก่าๆ คำพูดเก่าๆ ที่เด็กรุ่นหลังไม่ชอบฟังฝังกลบลงดินตามไปด้วย ตอนนี้ขนาดเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งศัตรู และยิ่งเป็นผู้อาวุโสก็ยังตายไปแล้ว ซ่งอวี่เซาจึงแทบไม่เหลือความสนใจให้กับเรื่องใดอีก
เขารู้สึกว่ายุทธภพในทุกวันนี้ เหมือนน้ำที่จืดชืด ไม่มีรสชาติของสุราเหลืออีกต่อไป
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มเดินเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ แล้วจู่ๆ ซ่งอวี่เซาก็เอ่ยขึ้นว่า “คนกลุ่มนั้นที่อยู่ในศาลาริมน้ำตกสายตาต่ำ มองไม่ออกถึงความสูงต่ำของปณิธานหมัดเจ้า แต่ข้าผู้อาวุโสกลับเห็นอย่างชัดเจน ดังนั้นก็ขอปากมากพูดสักประโยค ตอนนี้สภาพจิตใจของเจ้ามีปัญหา ขอบเขตสามฝ่าทะลุสู่ขอบเขตสี่คือธรณีประตูใหญ่แห่งแรกของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเราๆ เจ้าปูรากฐานมาแน่นหนามากเท่าไหร่ ยิ่งพาปมในใจพยายามฝ่าขอบเขตก็ยิ่งเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เสียงที่ภูเขาหิมะถล่มลงมาย่อมดังกว่า น่ากลัวว่าหินและดินโคลนที่กลิ้งลงมาจากภูเขาลูกเล็กนับร้อยนับพันเท่า ไอ้หนู เจ้าต้องระวังให้มาก!”
เฉินผิงอันพลันตื่นรู้ เขายื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เงียบคิดไปครู่หนึ่งก็หันหน้ามาเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เอ่ยเตือน”
ซ่งอวี่เซาครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก็พูดไปอีกเรื่อง “การเก็บหมัดก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเจ้ามีคุณธรรมก็จริง แต่กลับไม่ดีต่อการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในยุทธภพ หากเจ้าปล่อยหมัดนั้นออกไปอย่างเต็มกำลัง ต่อยให้เด็กสาวคนนั้นบาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นตายไป หลังจากนั้นชักนำให้เกิดความเดือดดาลจากฝูงชน นำมาซึ่งศึกใหญ่ตัดสินเป็นตาย ไม่แน่ว่านั่นจะเป็นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโชควาสนาของเทพเซียนบนภูเขา”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลัง ยังคงเอ่ยด้วยประโยคที่เหมือนกับคนแก่อีกครั้ง “ไม่เป็นไร อะไรที่ควรเป็นของข้าย่อมหนีไม่พ้น อะไรที่ไม่ควรเป็นของข้า คว้าไว้ก็คว้าไม่อยู่”
อันที่จริงซ่งอวี่เซาคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นปกติ ดวงตาใสกระจ่าง ผู้เฒ่าก็แอบพยักหน้ากับตัวเอง
—-