กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 244.2 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 244.2 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ
ทางฝั่งของตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวา ขอแค่บ้านใดมีงานมงคล เพื่อนบ้านก็ล้วนยินดีให้ความช่วยเหลือ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่เหล่าบรรพบุรุษตั้งไว้เหมือนกฎการเติมดินให้กับหลุมศพผู้ตาย ซึ่งไม่ต้องใช้หลักการเหตุผลอะไรให้มากความ วันนี้ที่ตรอกซิ่งฮวามีคนแต่งงาน สู่ขอหญิงสาวร่ำรวยคนหนึ่งจากตรอกเถาเย่ คนตระกูลนี้ของตรอกซิ่งฮวามีชื่อเสียงที่ดีงามมาก ในอดีตแม้แต่แม่เฒ่าหม่าที่มีชื่อเสียงเลวร้ายก็ยังสนิทกับคนตระกูลนี้ ดังนั้นลำพังเพียงแค่โต๊ะอาหารรับรองแขกก็มีเกือบยี่สิบโต๊ะ ขอแค่มอบอั่งเปาที่ไม่ว่าจะเศษเงินก้อนหรือเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญก็ล้วนสามารถมานั่งร่วมโต๊ะทานอาหาร รับกลิ่นอายมงคลได้
บนโต๊ะจัดเลี้ยงมีคนแปลกหน้านั่งอยู่หลายคน แต่คนที่เป็นผู้นำยังพอจะถือว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง เขาคือผู้เฒ่าจากบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งของตรอกหนีผิง มักจะแต่งกายด้วยชุดหรูหราร่ำรวยเดินเล่นอยู่ในเมืองเล็กเป็นประจำ นานวันเข้าผู้คนจึงจดจำใบหน้าได้ แซ่เฉา พวกเพื่อนบ้านชอบเรียกเขาว่าเหล่าเฉา ไม่ว่ากับใครเหล่าเฉาก็มีท่าทางปรองดอง ใบหน้าแต้มรอยยิ้มตลอดเวลา ไม่มีมาดหยิ่งยโสของคนมีเงินแม้แต่น้อย สามารถพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับชาวบ้านร้านตลาดได้เป็นครึ่งๆ วัน มักจะมาคุยเล่นกับผู้เฒ่าหานของตระกูลบ้านงานในวันนี้เป็นประจำ ดังนั้นวันนี้มาดื่มสุรามงคลจึงเอาอั่งเปาซองใหญ่มาให้ นับว่าให้หน้าเจ้าภาพอย่างเต็มที่ ผู้เฒ่าหานที่สวมชุดใหม่เอี่ยมยังตั้งใจเรียกบุตรชายและลูกสะใภ้มาดื่มสุราคารวะเขาโดยเฉพาะ
เหล่าเฉาพาคนมาด้วยสามคน ต่างก็แซ่เฉา เฉาจวิ้นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็อาศัยอยู่ในบ้านเก่าตระกูลเฉาตรอกหนีผิงเช่นกัน และยังมีปู่หลานอีกคู่หนึ่งที่มาจากต่างถิ่น ว่ากันว่าล้วนเป็นญาติของเหล่าเฉาที่อยู่ในเมืองหลวง ดูท่าทางแล้วน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เลว ลักษณะเหมือนบัณฑิต อีกทั้งยังเหมือนจะเป็นขุนนางด้วย แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่คนในเมืองหลวงจะเป็นอย่างนี้กันหมด
เหล่าเฉาเป็นคนชอบความครึกครื้นสนุกสนานจึงคอยถือจอกเหล้าเดินไปดื่มคารวะคนนู้นทีคนนี้ที ส่วนปู่หลานสกุลเฉาที่มาจากเมืองหลวงคู่นั้นเห็นได้ชัดว่าปรับตัวเข้ากับความคึกคักอึกทึกแบบนี้ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จึงไม่ได้ทำตัวตามสบายนัก พวกเขานั่งอยู่ที่เดิม มีบางครั้งที่คีบอาหารหรือจิบเหล้าต้มราคาระดับปานกลางของเมืองเล็ก กลับเป็นเฉาจวิ้นที่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ยกเท้าวางเหยียบบนม้านั่งยาว กินดื่มอยู่กับตัวเอง สายตาคอยชำเลืองมองเหล่าเฉาที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับผู้เฒ่าบางคนแล้วคลี่ยิ้มมีเลศนัย
ตระกูลจากตรอกเถาเย่ที่แต่งด้วยนั้น แม้ว่าตระกูลจะตกต่ำ แต่เมื่อเทียบกับตรอกซิ่งฮวาแล้ว ฐานะทางบ้านก็ถือว่ามั่นคงกว่ามาก ดังนั้นจึงค่อนข้างจะวาดมาดหยิ่งยโสอยู่บ้าง แต่เพื่อนบ้านในตรอกซิ่งฮวาและตรอกหนีผิงกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ ต่อให้ตระกูลที่ตั้งอยู่บนฝูลวี่และตรอกเถาเย่จะไม่รุ่งโรจน์เหมือนดังแต่ก่อน ตระกูลธรรมดาก็อย่าหวังว่าจะปีนป่ายได้ถึง หากไม่เป็นเพราะบุตรชายของผู้เฒ่าหานได้ดิบได้ดี ตอนนี้ทำงานอยู่ในที่ว่าการเขตการปกครองหลงเฉวียน ไหนเลยจะมีโชควาสนาได้แต่งงานกับคุณหนูจาตรอกเถาเย่แบบนี้?
เหล่าเฉาไปนั่งกินดื่มกับคนโต๊ะอื่น เฉาจวิ้นดื่มเหล้าร้อนแรงหนึ่งอึกแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก รีบคีบขาหมูหนึ่งชิ้น ก่อนหันหน้าไปมองปู่หลานคู่นั้น ถามยิ้มๆ ด้วยภาษาทางการของต้าหลี “ทำไม อาหารไม่คุ้นปาก? ไม่อย่างนั้นพวกเราเปลี่ยนไปกินกันที่ภัตตาคารกันดีหรือไม่?”
ผู้เฒ่าที่สวมชุดสะอาดสะอ้านส่ายหน้ายิ้ม “ไม่ต้องมากเรื่องขนาดนั้น ข้าก็แค่กินอาหารเจในเมืองหลวงมาจนชิน ไม่คุ้นเคยกับอาหารคาวที่มีแต่เนื้อในงานเลี้ยงฉลองเท่านั้น หาใช่ดูแคลนขนบธรรมเนียมของสถานที่แห่งนี้ไม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีอำเภอไหวหวงเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นมาตุภูมิของสกุลเฉาเรา พวกเราที่เป็นลูกหลานจะลืมกำพืดของตัวเองได้อย่างไร”
เฉาจวิ้นผู้มีหน้าตาหล่อเหลาพยักหน้ารับ ยิ้มตาหยีพูดว่า “มาเจอกับบรรพบุรุษที่พึ่งพาไม่ได้แบบนี้ ถือเป็นความโชคร้ายของพวกเราอย่างแท้จริง”
ผู้เฒ่าไม่กล้าต่อคำเขาเด็ดขาด
ปากมากวิจารณ์บรรพบุรุษในตระกูลที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง ต่อให้ผู้เฒ่าจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงขุนนางสำคัญผู้เป็นเสาหลักของราชสำนักต้าหลี ก็ยังไม่มีความกล้าหาญนี้
คนหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ บุคลิกแตกต่างกับเฉาจวิ้นอย่างสิ้นเชิงผู้นั้นมีนามว่าเฉาเม่า เขาก็คือผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ของเขตการปกครองหลงเฉวียน เป็นขุนนางที่ขึ้นตรงกับกรมพิธีการ สง่างามผึ่งผาย ได้รับสมญานามอันงดงามจากวงการขุนนางว่าเป็นต้นไม้หยกแห่งตระกูลเฉา ตอนนั้นที่ไปต้อนรับราชครูต้าหลีที่จุดพักม้าไหวจ่ายก็เป็นเฉาเม่าที่ขี่ม้ามาเพียงลำพัง ทั่วกายอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา ลงจากม้าเดินโซเซเข้าไปในจุดพักม้า มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขากับคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงคนอื่นๆ
เฉาซีกลับมานั่งที่โต๊ะ ต่อให้เป็นเฉาเม่าก็ยังยืดตัวขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว ผู้เฒ่าชุดเขียวก็ยิ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม วางตะเกียบลง หยิบกาเหล้าขึ้นมารินเหล้าให้กับเฉาซีผู้เป็นบรรพบุรุษซึ่งอายุห่างจากเขาหลายรุ่นจนนับไม่ถ้วนด้วยตัวเอง
เฉาซีดื่มรวดเดียวหมด วางจอกเหล้าลง มองแขกเหรื่อที่เดินเข้าประตูมาร่วมงานอย่างไม่ขาดสายแล้วลุกขึ้นยืน “อย่ามัวนั่งแช่ในส้วมแล้วไม่ขี้ ยกที่นั่งให้คนที่เพิ่งมาทีหลังบ้าง ไปเถอะ”
คนทั้งสี่เดินออกจากลานบ้านจึงเห็นว่าลานบ้านของบ้านหลังอื่นที่อยู่ติดกันต่างก็มีโต๊ะจัดเลี้ยงวางไว้เต็มลาน เฉาซีพาคนทั้งสามเดินเข้าไปในตรอกหนีผิง เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฮ่องเต้ของพวกเจ้ากลับเมืองหลวงไปแล้วรึ?”
ผู้เฒ่าตอบอย่างนอบน้อม “ตอบท่านบรรพบุรุษ พระพลานามัยของฝ่าบาทไม่ใคร่จะดีนัก จึงใช้ทางเดินม้าของเขตการปกครองหลงเฉวียนเสด็จกลับเมืองหลวงทางเหนือไปแล้ว”
ตอนที่เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลกู้ เฉาซีหันไปมองบ้านที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยซึ่งภาพเทพทวารบาลฉีกขาด กลอนคู่ปีใหม่เก่าซีดแล้วหยุดเดิน “ได้ยินมาว่าสองแม่ลูกบ้านนี้ถูกสกัดคงคาเจินจวินพาตัวไปอยู่ที่เกาะชิงเสียทะเลสาบเจี่ยนซูแล้ว ก่อนจะออกจากเมืองเล็ก เจ้าเด็กน้อยที่ชื่อกู้ช่านผู้นั้นได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า สามารถควบคุมเจียวน้ำที่มีตบะทัดเทียมกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบได้? อีกทั้งเจียวน้ำตัวนั้นยังเลื่อนขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว มีความเป็นไปได้มากว่าในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่สิบปีจะสามารถฝ่าคอขวดของขอบเขตสิบไปได้?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ภายใต้การจัดการของท่านราชครูแห่งราชสำนักต้าหลี ได้สร้างองค์กรสืบข่าวแห่งใหม่ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบหน้าที่บันทึกประวัติการเจริญเติบโตของเด็กๆ ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้โดยเฉพาะ นอกจากกู้ช่าน ยังมีหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลวี่ เซี่ยหลิงชี่เด็กหนุ่มคิ้วยาวของตระกูลเซี่ย รวมทั้งหมดสิบหกคน ซึ่งส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ แต่ก็มีผู้ฝึกลมปราณจากต่างถิ่นที่ได้รับโชควาสนาไปจากที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นเกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุย”
เฉาซีเดินไปข้างหน้าเนิบช้า แต่แล้วก็หยุดเดินอีกครั้ง “แล้วคนจากสองตระกูลนี้ล่ะ?”
เจ้าของบ้านสองหลังที่อยู่ติดกัน คนหนึ่งกลายเป็นซ่งมู่ที่ได้รับการบันทึกชื่อลงในลำดับวงศ์ตระกูลของสกุลซ่งต้าหลี เพิ่งจะติดตามฮ่องเต้กลับเมืองหลวงไป อีกคนหนึ่งชื่อเฉินผิงอัน ได้ออกเดินทางลงใต้ไปแล้ว แต่ยังมีร้านค้าอยู่ในเมืองสองร้าน และมีภูเขาอีกห้าลูกทางทิศตะวันตก
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ในสิบหกคนนี้น่าจะไม่รวมองค์ชายกับเฉินผิงอัน”
เฉาซีร้องอ้อรับหนึ่งที “แล้วหลี่ซีเซิ่งล่ะ?”
ผู้เฒ่าชุดเขียวที่เป็นพลเอกเสาหลักแคว้นต้าหลีส่ายหน้า “ไม่มีเหมือนกัน”
เฉาซีหันหน้าไปมองเฉาจวิ้นที่ตรงเอวพกทั้งกระบี่สั้นและกระบี่ยาว “เจ้าเคยประมือกับหลี่ซีเซิ่ง เขาใช้ตบะขอบเขตหกทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าอย่างเจ้าได้แต่กลับมามือเปล่า รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เฉาจวิ้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังจะรู้สึกอะไรได้อีก? เขาร้ายกาจ ส่วนข้ามันเศษสวะ”
เฉาซีหัวเราะหึหึ “อีกเดี๋ยวเศษสวะอย่างเจ้าก็ต้องไปสมัครเข้าร่วมกับกองทัพชายแดนแล้ว หากโชคดีก็คงได้อยู่ข้างกายซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ติดตามทหารม้าเหล็กต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ไม่แน่ว่าอาจต้องบุกสังหารไปจนถึงตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปถึงจะได้หยุดพัก ทีนี้รู้สึกอย่างไร?”
เฉาจวิ้นตอบอย่างตรงไปตรงมา “กินข้าวฟรีรอวันตายน่ะสิ”
เฉาเม่าบุตรหลานตระกูลอันดับต้นๆ ของต้าหลีอดรู้สึกนับถือพี่ชายอย่างเฉาจวิ้นผู้นี้ไม่ได้ แม้ว่ามองดูเหมือนตนจะอายุใกล้เคียงกับผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ แต่อันที่จริงกลับห่างกันถึงหกสิบปี ช่วงที่ผ่านมาพวกเขามักจะไปกินดื่มด้วยกันเป็นประจำ รู้ดีว่าเฉาจวิ้นเป็นคนไม่แยแสโลก ไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ ซึ่งเป็นนิสัยที่ออกมาจากแก่นแท้ ไม่ใช่แค่พูดแต่ปากอย่างเดียวเท่านั้น
เฉาซีกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด “ภายในสิบปีนี้ หากเจ้าสังหารตะพาบเฒ่าขอบเขตสิบ-สองคนไม่ได้ ถึงเวลานั้นข้าผู้อาวุโสจะสังหารเจ้าเองกับมือ!”
เฉาจวิ้นสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เอ่ยยิ้มๆ กับเฉาเม่าว่า “หลังจากข้าตายไป จำไว้ว่าช่วยเก็บศพให้ข้าด้วย เอาไปฝังไว้ที่สุสานเทพเซียน ข้ารู้สึกว่าฮวงจุ้ยตรงนั้นไม่เลวเลย อยู่ร่วมกับพระโพธิสัตว์ดินเผาของศาสนาพุทธ เป็นเพื่อนบ้านกับเทพสวรรค์ลัทธิเต๋า อยู่ที่นั่นต้องอารมณ์ดีแน่นอน เพราะไม่ต้องฟังคนบ่น หูก็จะสะอาด แล้วก็ไม่มีใครมารบกวนความฝันอันงดงามด้วย”
ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเสียใจกับความโชคร้ายของอีกฝ่าย แต่โมโหที่อีกฝ่ายไม่ฮึดสู้นั้นมีแน่นอน เฉาซีจึงตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “เจ้าตะพาบน้อยระยำ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อซ่อมแซมบ่อดอกบัวปราณกระบี่ที่มีมาตั้งแต่เกิดในทะเลสาบหัวใจของเจ้า ข้าผู้อาวุโสต้องจ่ายค่าตอบแทนไปด้วยอะไร?!”
เวลาที่เฉาจวิ้นยิ้ม ดวงตาของเขาจะหยีลงเป็นเส้นคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง “ข้าจะรู้ได้ยังไง ไหนท่านลองเล่ามาสิ?”
เฉาซีหัวเราะหยัน “มีลูกหลานอย่างเจ้าก็ถือเป็นความโชคร้ายของตระกูลเหมือนกัน ต่อให้ควันเขียวจะผุดเหนือหลุมศพมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ห่าอะไรเลย! ไสหัวไปซะ รีบไปหาซ่งจ่างจิ้งที่เมืองหลวง จากนั้นก็ไปที่ชายแดนใต้ สิบปีต่อจากนี้ข้าผู้อาวุโสไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก”
เฉาจวิ้นคิดจะไปก็ไป เขากระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ หัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน ทะยานลมมุ่งหน้าไปทางเหนือ
เฉาเม่าขุนนางผู้ตรวจการที่รู้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้เป็นอย่างดีกำลังจะออกปากเตือน แต่กลับไม่ทันแล้ว
ริมลำคลองหลงซวีทางทิศใต้ของเมืองเล็ก อริยะสำนักการทหารในร้านตีกระบี่หัวเราะเสียงเย็น “ไอ้พวกไม่รู้จักจำ”
มุมหนึ่งของท้องฟ้าสีครามเหนือเขตการปกครองหลงเฉวียนปรากฏเป็นภาพน้ำพุสายหนึ่งผุดพุ่ง ก่อนที่กระบี่ยาวเล่มหนึ่งจะลอยขึ้นไปช้าๆ
“หร่วนฉง แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้เจ้าก็ยังไม่ยอมให้หน้ากันรึ?”
สีหน้าเฉาซีมืดคล้ำ สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เดิมทีเป็นเหมือนเชือกสีเขียวมรกตเส้นหนึ่ง หรือก็คือที่พึ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เซียนกระบี่เฉาจวิ้นวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในทักษินาตยทวีปได้ อาวุธกึ่งเซียนที่เกิดจากเทพบรรพกาลหล่อหลอมแม่น้ำใหญ่ยาวหมื่นลี้มาไว้เป็นภาชนะบรรจุกระบี่ เมื่อจิตของเฉาซีขยับเคลื่อน เชือกเล็กสีเขียวมรกตบนข้อมือไม่ได้เผยร่างจริง แต่ขยับไหวเล็กน้อย แผ่ไอน้ำสีเขียวเป็นเส้นๆ ออกมา แล้วพุ่งไปยังท้องฟ้าสูงที่ร่างของเฉาจวิ้นหายวับไป
กระบี่ที่พุ่งออกมาจากน้ำพุของหร่วนฉง หมายตัดหัวเฉาจวิ้นที่ทำผิดกฎนั้นมีความเร็วเหนือกว่าการทะยานลมของเฉาจวิ้นมากนัก หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เฉาจวิ้นไม่ทันพ้นออกไปจากขอบเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูก็ต้องถูกกระบี่นั้นตัดคอขาด
โชคดีที่ระหว่างกระบี่ของหร่วนฉงและร่างของเฉาจวิ้นมีแม่น้ำสีเขียวมรกตสายใหญ่โผล่ขึ้นมากั้นขวางกลางอากาศ สกัดทางไปของกระบี่หร่วนฉง
กระบี่แทงทะลุน้ำของแม่น้ำที่ยาวแค่ไม่กี่ลี้ไปตลอดทาง ทว่าแม่น้ำสีมรกตที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนกลับทบเข้าด้วยกัน แล้วกดทับลงบนกระบี่บินที่ยังคงทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดัน แม่น้ำใหญ่ซัดใส่กระบี่ พยายามขัดขวางไม่ให้กระบี่บินที่เป็นดั่งเรือลำน้อยเคลื่อนไปข้างหน้า ต่อให้น้ำในแม่น้ำจะมากมายไร้ที่สิ้นสุด กระบี่บินที่อริยะสำนักการทหารศาลลมหิมะเป็นผู้ควบคุมก็ยังคงผ่าสายน้ำ บุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
เฉาจวิ้นไม่หยุดชะงัก แต่หันหน้ากลับมา กระบี่ยาวที่อยู่ข้างเอวพุ่งออกจากฝัก ปะทะกับปลายกระบี่ของหร่วนฉงพอดี กระบี่ยาวของเฉาจวิ้นเด้งกระเด็นปลิวไปไกล เขากระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ แต่ร่างกลับถอยกรูดไปด้านหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
แม่น้ำยาวร้อยลี้เส้นหนึ่งที่กลิ้งหลุนๆ รวมตัวกันกลายเป็นก้อนห่อหุ้มกระบี่เล่มนั้นของหร่วนฉงไว้อย่างแน่นหนา ท่ามกลางก้อนน้ำยักษ์สีเขียวมรกตมีปราณกระบี่สาดยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสุดท้ายน้ำแม่น้ำแตกกระจาย กลายเป็นหยาดฝนพร่างพรมเต็มฟ้า เพียงแต่ว่าไม่ทันรอให้หยดฝนร่วงลงพื้นก็กลับมารวมตัวกันกลายเป็นปราณกระบี่สีเขียวที่ลอยกลับตรอกหนีผิงของเมืองเล็กอย่างเนิบช้า
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไร้ความเสียหายของหร่วนฉงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หยุดชะงักเล็กน้อย ด้านล่างกระบี่เล่มยาวก็มีบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งปรากฏขึ้น กระบี่บินลดตัวลงเบื้องล่าง จมลงไปในบ่อน้ำ หายไปจากกลางอากาศ
เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปที่ก่อนหน้านี้เคยกินหมัดหร่วนฉงไปหนึ่งครั้งอาศัยโอกาสนี้หนีไปจากสนามต่อสู้ หัวเราะร่าเสียงดัง “อาศัยพละกำลังของสายลม ส่งข้าขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า! ขอบพระคุณอริยะหร่วนและท่านบรรพบุรุษที่ร่วมกันมาส่งข้าเดินทาง!”
—–