กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 245.2 เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่
ฝ่ายหนึ่งมีแค่สองคน แต่อีกฝ่ายคือกองทัพใหญ่หมื่นคน
แต่คนของฝ่ายหลังที่เมื่อเผชิญหน้ากับหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มคู่นี้ แต่ละคนกลับทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เมื่อกลองรบลั่นขึ้น นายทหารหนุ่มบางคนที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพประจำแต่ละพื้นที่ก็ถึงกับกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
เพราะปราณกระบี่ขยับเข้ามาใกล้
รับมือกับชาวยุทธ์ที่บุ่มบ่ามสองคน แค่เผาผลาญพละกำลังของอีกฝ่ายให้หมดลงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องการจัดขบวนค่ายกลอะไรทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรก็คงต้องใช้ทหารม้าบุกเปิดทางไปก่อน จากนั้นค่อยแยกตัวเรียงเป็นเส้นกองหน้าอย่างเหมาะสม ซ้ายขวาขนาบรับมือ พยายามให้ฝนลูกธนูกลบทับเส้นทางการฝ่าขบวนรบของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ให้ทหารเดินเท้าที่อยู่ด้านหลังตั้งขบวนรับ มือโล่พกดาบบังอยู่ด้านหน้า แทงทวนยาวออกไป สร้างผนังเหล็กที่ทับซ้อนกันหลายชั้น
นอกจากธนูของพลเดินเท้าที่กองทัพแคว้นซูสุ่ยเป็นผู้สร้างขึ้นแล้ว ยังมีธนูเทพอีกหลายสิบคันที่เอาออกมาจากคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์ปะปนอยู่ด้วย ธนูเหล่านี้ ช่างของสำนักโม่เป็นผู้สร้างขึ้นอย่างตั้งใจ เป็นอาวุธสำคัญที่แม่ทัพของสำนักการทหารใช้มาโดยตลอด ปลายธนูสลักลายเมฆ ตัวธนูทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดี หางลูกธนูคือขนนกสีทอง ลูกธนูลูกหนึ่งทนทานและหนักมาก เป็นเหตุให้พลธนูทั่วไปไม่สามารถบังคับได้ มีเพียงมัลละในกองทัพที่มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาเท่านั้นถึงจะสามารถง้าวธนูได้สุดสาย พลานุภาพยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด ความเร็ว ระยะการยิงและระดับความแม่นยำล้วนเหนือกว่าธนูแข็งแกร่งทั่วไป
สุดท้ายจึงเป็นผู้ติดตามในยุทธภพเกือบยี่สิบคนที่มารวมตัวกันอยู่รอบกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ยอดฝีมือห้อมล้อมให้การอารักขา ซ่งอวี่เซาคิดจะใช้กำลังของคนคนเดียวฝ่าขบวนรบ สังหารมาจนถึงเบื้องหน้าฉู่หาวนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
แต่ฉู่หาวรู้ดีว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ญาติสายตรงพลทหารม้าใต้บังคับบัญชาสามพันนายที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ต่างก็ไม่กลัวตำแหน่งอริยะกระบี่ของคนผู้หนึ่ง ฉู่หาวอยู่ในสมรภูมิรบมานาน เข้าใจดีว่าการที่กล้าบุกเป็นทัพหน้าไม่ได้หมายความว่านายทหารคนอื่นๆ จะเก่งกล้าไม่กลัวตาย ดังนั้นเขาจึงส่งคนนำความไปบอกแม่ทัพที่ตั้งฐานบัญชาการณ์ประจำท้องที่แห่งต่างๆ ว่า ม้าศึกที่เหยียบย่ำยุทธภพในครั้งนี้ ทุกคนในกองทัพที่ตายไป ทางราชสำนักจะมอบเงินช่วยเหลือด้วยจำนวนที่ทำให้คนอ้าปากค้าง ซึ่งมากถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน คนในตระกูลของทหารที่ตายไปไม่ต้องเขาร่วมกองทัพเป็นเวลาสิบปี!
แต่ใครก็ตามที่กล้าหนีทัพจะถูกสังหารทันที อีกทั้งยังจะถูกลงโทษตามกฎของกองทัพ คนในตระกูลถูกเนรเทศไปไกลพันลี้!
มีทั้งรางวัลและการลงโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้คนทั้งกองทัพก็มีแค่ทางเลือกเดียวคือรบจนตัวตายเท่านั้น
แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวบังคับม้ายืนตระหง่านรับลมภายใต้ธงทัพที่โบกสะบัดเปี่ยมบารมี สีหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพองใจ
กองทัพใหญ่บุกประชิดพรมแดน ผู้เฒ่าที่บุ่มบ่ามคนนี้ก็ไม่ต่างจากตั๊กแตนที่ขวางหน้ารถ ฮ่องเต้เคยให้คำสัญญากับตนว่า ทรัพย์สินทั้งหมดในหมู่บ้านวารีกระบี่ เขาฉู่หาวสามารถเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองได้ครึ่งหนึ่ง เป็นการให้รางวัลพิเศษแก่ทัพใหญ่สกุลฉู่ที่เคลื่อนทัพในครั้งนี้ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งต้องมอบให้แก่ท้องพระคลังของแคว้น แต่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับกองทัพท้องถิ่น เขาฉู่หาวต้องเป็นผู้แก้ไขเพียงลำพัง ห้ามไปรบกวนกรมโยธาธิการและกรมการคลัง
ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ขอแค่ริบทรัพย์มาจากหมู่บ้านวารีกระบี่จนเกลี้ยงแล้ว ฉู่หาวก็ยังได้กำไรก้อนใหญ่อยู่ดี
ซ่งอวี่เซาไม่ได้ทะยานขึ้นกลางอากาศสูงให้กลายเป็นเป้าสายตาในทันที เขาค้อมเอวลงต่ำ ในมือถือตั้งตระหง่าน ห้อตะบึงไปเบื้องหน้าตลอดทางด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
พุ่งปะทะกองทหารม้าสกุลฉู่ที่แยกตัวเรียงเป็นแถวกองหน้าอย่างเป็นระเบียบโดยตรง
ฝนลูกธนูห่าแรกสาดเทลงมา ท้องฟ้าเห็นเป็นเพียงจุดสีดำแน่นขนัด เมื่อลูกธนูยิงออกมาแล้ว สายง้าวที่ขึงจนตึงก็พลันคลายลงเกิดเป็นเสียงดังอื้ออึง
และนี่ยังเป็นแค่การยิงของพลธนูบนหลังม้าในรอบแรกเท่านั้น
ซ่งอวี่เซากระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งที ร่างที่เดิมทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย กระโจนออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็บิดข้อมือ พลิกตัวหมุน ปราณกระบี่กลิ้งตลบหลุนๆ ในรัศมีรอบด้านหลายสิบจั้ง ปราณกระบี่มหาศาลก่อตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นก็ระเบิดกระจายไปสี่ทิศ
พื้นดินด้านหลังซ่งอวี่เซาถูกลูกธนูที่ตีวงโค้งลงมาจากท้องฟ้าปักเต็มในชั่วพริบตา ดินปริแตก เศษฝุ่นคลุ้งตลบ
ลูกธนูที่เหลือซึ่งเพิ่งจะพุ่งมาถึงก็ถูกปราณกระบี่ที่แผ่ไปสี่ทิศของซ่งอวี่เซาโจมตีเป็นผุยผง
แม้ว่าความเร็วของซ่งอวี่เซาจะเหนือเกินกว่าใครจะคาดการณ์ ปราณกระบี่ที่พลุ่งพล่านก็ยิ่งทำให้เหล่าทหารแห่งสมรภูมิรบได้เปิดโลกกว้าง ทว่าลูกธนูกลุ่มที่สองก็ยังสาดยิงตามมาติดๆ อย่างเป็นระเบียบประหนึ่งฝนที่ตกกระหน่ำ
ในมือของซ่งอวี่เซาถือตั้งตระหง่าน ร่างพลันหมุนคว้างหนึ่งตลบดุจลูกข่าง เห็นเพียงว่ารอบกายของอริยะกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยผู้นี้มีกระบี่ ‘ตั้งตระหง่าน’ อีกนับร้อยนับพันเล่มผุดเพิ่มขึ้นมาในชั่วพริบตา ปลายกระบี่แหลมคมพุ่งไปยังนอกวงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ปราณกระบี่แยกตัวเป็นกระบี่นับร้อยนับพันได้ในรวดเดียว
ในมือของซ่งอวี่เซาไม่ถือกระบี่อีกต่อไป แต่ประกบสองนิ้วเป็นท่ามุทรากระบี่ ชี้ไปที่ท้องฟ้าสูงพลางตวาดเบาๆ “ไป!”
จากนั้นก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ซึ่งตั้งแถวเป็นค่ายกลกระบี่ครึ่งวงเบื้องหน้าเขาสาดโปรยไปยังทหารม้าถือหอกที่ควบตะบึงดาหน้ากันเข้ามา ครู่ขณะเดียวก็ตัดขาม้าไปหลายสิบตัว ทั้งยังแทงทะลุลำคอของทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้าถึงยี่สิบนาย บนเส้นทางที่ทหารม้ากองหน้าพุ่งทะยานมาพลันเกิดภาพคนผงะกลิ้งม้าพลิกหงาย
กระบี่ตั้งตระหง่านเล่มหนึ่งบินโผนสู่ฟากฟ้า ภายใต้การชักนำจากคาถากระบี่ของซ่งอวี่เซา ปราณกระบี่จากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันเป็นเหมือนร่มคันใหญ่บังเม็ดฝน เมื่อลูกธนูทั้งหลายตกกระทบลงบนร่มคันนี้ก็แตกย่อยยับไม่ต่างจากเอาไข่ไปกระทบหิน
ทหารม้าที่เรียงเป็นปีกสองข้างควบตะลุยมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วพากันยิงธนูเข้าใส่ซ่งอวี่เซาจากทางด้านข้าง ปราณกระบี่ครึ่งวงที่เหลืออยู่ด้านหลังผู้เฒ่าเข้ามาชดเชยค่ายกลกระบี่ครึ่งวงก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะสาดยิงออกไปอีกครั้ง ในกลุ่มทหารม้าที่อยู่สองปีกข้างจึงมีม้าศึกตายคาที่ไปอีกหลายสิบตัว พลทหารพลัดตกลงมาจากหลังม้า เพียงแต่ว่าความสามารถในการฝึกทหารของฉู่หาวก็ได้ปรากฎให้เห็นในนาทีนี้ ในบรรดาทหารม้าเหล่านั้น นอกจากคนจำนวนน้อยนิดที่หมดสติไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนพลิ้วกายลงบนพื้น บ้างก็กลิ้งตัวแล้วลุกขึ้นยืน ดึงดาบที่อยู่ตรงเอวออกมา กระโจนเข้าสังหารซ่งอวี่เซาโดยตรง
ตำแหน่งอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพเพียงคนเดียวไม่สามารถทำให้ทหารกล้าห้าวหาญที่เคยแช่อยู่ในเลือด นอนอยู่ในกองกระดูกเหล่านี้หวาดกลัวได้
พื้นที่ตอนกลางรวมไปถึงแถบตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป สิบกว่าแคว้นรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อี แคว้นไฉ่อีถือเป็นแคว้นที่มีทหารและม้ามากที่สุด มองภายนอกคือแคว้นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะจำนวนทหารม้าที่มีมากเหนือกว่าทุกแคว้น เพียงแต่ว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นแคว้นกู่อวี๋ที่มีพลเดินเท้าเกราะหนักจำนวนมาก หรือแคว้นซงซีที่เชี่ยวชาญการยิงธนูบนหลังม้า คุ้นชินกับการใช้ม้าสู้รบ หรือแม้แต่แคว้นซูสุ่ยที่มีขนบธรรมเนียมดุดัน ทั้งพลทหารเดินเท้าและพลทหารม้าต่างก็เป็นยอดฝีมือ ก็ล้วนมีคุณสมบัติที่จะหัวเราะเยาะว่ากองทัพชายแดนแคว้นไฉ่อีเป็นเพียงหมอนปักลายดอกไม้ กว่าจะมีแม่ทัพฝีมือร้ายกาจอย่างแม่ทัพแซ่หม่าโผล่ขึ้นมาสักคนก็ดันถูกพวกตำแหน่งสูงที่ชายแดนขับไสไล่ส่งให้ไปพักรักษาตัวอยู่ในเมืองแยนจือ เนื้อติดมันชิ้นโตขนาดนี้ มากพอจะทำให้สามแคว้นที่มีชายแดนติดกับแคว้นไฉ่อีร่วมมือกันจนกินอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ
คราวนี้ฉู่หาวยกทัพนำทหารมาสยบยุทธภพด้วยตัวเอง นอกจากจะเพราะความแค้นส่วนตัวของภรรยาแล้ว อันที่จริงยังเป็นเพราะเขาต้องการจะช่วงชิงสถานะผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่ยกทัพไปขยี้แคว้นไฉ่อีด้วย ด้วยหวังให้ตัวเองมีชื่อเสียงที่ดีในราชสำนักมากขึ้น หาไม่แล้วต่อให้ตัวเลือกในพระทัยของฮ่องเต้จะเอนเอียงมาทางฉู่หาว แต่ก็คงหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากผู้เฒ่าผู้มีคุณูปการต่อแคว้น หรือไม่ก็จากเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ไม่ได้
หัวของอริยะกระบี่ที่พาตัวมาส่งด้วยตัวเองนี้ มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าหมู่บ้านวารีกระบี่เลย
ฉู่หาวที่ถูกกองทัพใหญ่ปกป้องไว้อย่างแน่นหนาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “สวรรค์ช่วยข้าแท้ๆ ซ่งอวี่เซา ฆ่า ฆ่าให้เต็มที่ รอจนเจ้ากลายเป็นม้าตีนปลาย ดูสิว่าเจ้าจะยังเหลืออำนาจบารมีอะไรอีกไหม อีกไม่นานข้าฉู่หาวก็จะได้กุมกองทัพชายแดนหลายแสนคนไว้ในมือ บัญชาทัพขึ้นเหนือ รอจนข้าได้คุณความชอบอันดับหนึ่งมาจากการโค่นล้มแคว้นไฉ่อีเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าคำวิจารณ์อันสูงส่งที่มีต่อแม่ทัพฝ่ายบู๊ทุกๆ สิบปีจากสำนักศึกษากวานหูก็อาจมีที่ว่างให้สำหรับข้าฉู่หาว! ซ่งจ่างจิ้งของต้าหลีที่อยู่ทางเหนือก็แค่อาศัยว่าตัวเองเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น หากว่ากันด้วยความสามารถที่แท้จริงในการยกทัพจับศึกแล้วล่ะก็ แค่คนเถื่อนชาวเหนือที่ไม่มีอารยธรรมคนหนึ่ง จะนับเป็นตัวอะไรได้!”
ฉู่หาวกำดาบตัดกระดาษพระราชทานเล่มนั้นไว้แน่น รอยยิ้มยิ่งกดลึก พูดประโยคเดิมซ้ำอีกรอบอย่างอดไม่ได้ “สวรรค์ช่วยข้าโดยแท้!”
บนถนน หลังจากสกัดกั้นห่าธนูสองชุดไปได้สำเร็จ ซ่งอวี่เซาที่รับมือกับทหารม้าทั้งกองทัพเพียงลำพังก็ทิ้งระยะห่างจากทหารม้ากองหน้าอีกไม่ถึงห้าสิบก้าว ด้วยความเร็วในการเคลื่อนหน้าของเขา ทหารม้าล้มเลิกความคิดที่จะยิงธนูใส่เขาแล้ว เปลี่ยนมาใช้ท่าบุกโจมตีทะลวงขบวนรบที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดพุ่งเข้าใส่ผู้เฒ่าชุดดำอย่างป่าเถื่อนแทน
จิตของซ่งอวี่เซากระตุกเล็กน้อย ระหว่างที่วิ่งไปข้างหน้าก็ขยับเบี่ยงไปด้านข้างหลายก้าว หลบธนูลูกหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วได้อย่างหวุดหวิด ธนูลูกนี้มีพลังอำนาจเหนือกว่าลูกธนูจำนวนมากที่ถูกระดมยิงก่อนหน้านี้ไปไกล หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็สลับตำแหน่งสามครั้ง ล้วนสามารถหลบเลี่ยงธนูพิเศษมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ สองนิ้วที่ประกบเป็นท่ามุทรากระบี่ตวัดหนึ่งที บังคับให้กระบี่ยาวที่อยู่กลางอากาศเล่มนั้นลดลงต่ำและพุ่งไปข้างหน้า พลางหัวเราะเสียงดัง “ฟันม้าแหวกขบวน!”
พลทหารถือดาบที่พลัดตกลงม้าจากหลังม้าเตรียมใจพร้อมสู้ตายแล้ว แต่ดาบของทุกคนกลับฟันลงไปในความว่างเปล่า รู้สึกเพียงว่ามีควันดำกลุ่มหนึ่งที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้พุ่งผ่านไหล่ของตัวเองไป แล้วข้างหน้าก็ไม่มีร่างของผู้เฒ่าชุดดำเหลืออยู่อีก
ตั้งตระหง่านเป็นดั่งกระบี่บินที่พุ่งไปข้างหน้า ดุจดั่งมังกรที่แหวกว่ายอยู่ในธารา ม้าศึกจำนวนมากถูกตัดขาในเสี้ยววินาที กระบี่ยาวสนแต่จะเปิดทางให้เจ้านายที่อยู่ด้านหลังได้บุกขึ้นหน้ามาอย่างสะดวกเท่านั้น บ้างก็แทงทะลุหลังม้าศึก บ้างก็กรีดร่องเลือดลึกใหญ่ตรงสีข้างของม้า บ้างก็กรีดท้องม้าพาให้ตับไต้ไส้พุงของมันทะลักออกมา ทุกที่ที่ผ่าน ม้าศึกล้มคว่ำ หทารร่วงระนาว จากนั้นก็ตามมาด้วยเงาร่างที่เป็นดั่งควันบางๆ เส้นหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างสง่างาม
พลทหารม้าทัพหน้าที่ฝีมือการต่อสู้เลิศล้ำถูกอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยแหวกทะลวงไปทั้งอย่างนี้
หลังจากเจาะขบวนทัพกลุ่มแรกมาได้สำเร็จ ด้านหน้าซ่งอวี่เซากลับเป็นโล่เหล็กที่เรียงแถวยาวดุจภูเขา ตรงช่องว่างมีแสงดาบวาววับ และยังมีทวนยาวตั้งเอียงๆ สูงเท่ากับหนึ่งคนครึ่งจำนวนมากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ปลายหอกที่ตั้งอย่างเป็นระเบียบนั้นก็ส่องประกายแวววาว ปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่ากริ่งเกรงที่มีเฉพาะในสนามรบออกมา
หากกระโดดขึ้นสูง โฉบเข้าหาธงใหญ่อันเป็นที่บอกตำแหน่งของแม่ทัพหลักผ่านกลางอากาศ สิ่งที่กองทัพใหญ่สกุลฉู่จะใช้ต้อนรับแขกย่อมต้องเป็นพลธนูเดินเท้าที่อยู่ด้านหลังขบวนทวนซึ่งจะระดมยิงขึ้นฟ้าอย่างเต็มกำลัง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากซ่งอวี่เซาทำลายขบวนรบเร็วเกินไป พลธนูเดินเท้าจึงไม่ทันได้ลงสนาม แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีพลังสยบอันน่าครั่นคร้าม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธนูเทพสำนักโม่ซึ่งทางราชสำนักเก็บรักษาเป็นอย่างดีที่ปะปนอยู่ในธนูเหล่านี้ด้วย
ซ่งอวี่เซาฝืนเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ ลมปราณในร่างไหลเวียนดุจน้ำป่าไหลกราก และเวลานี้เอง ด้านหลังขบวนรบของพลเดินเท้าที่สายตาซ่งอวี่เซามองไปไม่เห็น ยอดฝีมือในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยที่พึ่งพิงราชสำนักหลายคนที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วก็พากันเหยียบศีรษะและไหล่ของทหารที่อยู่เบื้องหน้า จับมือกันพุ่งเข้ามาสังหาร พวกเขาคำนวณช่วงเวลาการเปลี่ยนลมปราณของซ่งอวี่เซาไว้ก่อนแล้ว แต่ละคนที่พกพาอาวุธไว้กับตัวจึงกระโดดสูงข้ามกำแพงทวนออกมา พุ่งเข้าแสกหน้าซ่งอวี่เซาอย่างพอดิบพอดี
ซ่งอวี่เซาดีดปลายเท้าเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่ถอยกลับรุกขึ้นหน้า มือข้างหนึ่งกำกระบี่ยาวตั้งตระหง่าน ปาดกระบี่ไปในแนวขวาง ปล่อยปราณกระบี่ผ่าไปกลางอากาศ
แม้จะคำนวณได้ว่าซ่งอวี่เซาต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่ขอบเขตวิถีวรยุทธ์มีความต่าง ปรมาจารย์แห่งยุทธภพในสายตาคนทั้งโลกผู้นี้เหมือนไม่รู้จักคำว่าช่องว่างการหมุนเวียนลมปราณของชาวบู๊ขอบเขตหกเลยแม้แต่น้อย!
ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ที่พกอาวุธแตกต่างกันสามคนถูกปราณกระบี่ครึ่งวงกลมนั้นผ่าครึ่งร่างตายคาที่
เกิดในยุทธภพ ตายในสนามรบ
ไม่รู้ว่าคนทั้งสามจะตายตาหลับหรือไม่
ซ่งอวี่เซาตวัดกระบี่ไปในแนวตรงดิ่งอีกครั้ง ทหารเดินเท้าห้าหกคนที่สวมเกราะหนักยืนเรียงเป็นขบวน รวมไปถึงคนอีกหลายคนด้านหลังพวกเขาถูกปราณกระบี่ที่แหวกตรงมากลางอากาศเส้นนี้ฟาดฟันจนทั้งตัวคนที่สวมเสื้อเกราะและอาวุธที่พกพาแหลกสลาย ทหารที่ยืนอยู่รอบๆ ซึ่งแม้จะสวมเกราะเหล็กก็แขนขาขาดเลือดไหลนอง ยังดีที่ทหารเดินเท้าเกราะหนักมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งมั่นคงมาโดยตลอด หลังจากที่ขบวนรบถูกปราณกระบี่ฟันจนแหวกออกเป็นทางหนึ่งเส้น ทหารที่อยู่ด้านหลังก็กรูกันขึ้นมาปิด อุดรูรั่วนั่นอย่างทันท่วงที ทหารที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็ขยับเข้ามาใกล้ตรงกลางตามจิตใต้สำนึก
การเข่นฆ่าในสนามรบ คนที่ไม่กลัวตาย ไม่แน่เสมอไปว่าจะรอดชีวิต แต่พวกคนที่กลัวตาย ย่อมต้องตายอย่างแน่นอน
ซ่งอวี่เซาอาศัยช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตาที่ขบวนทัพแหวกออกเป็นเส้นแล้วประกบปิดเข้าด้วยกันนี้มองไปเห็นระดับความหนาของขบวนรบคร่าวๆ แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ เตะปลายเท้าเล็กน้อย มือถือตั้งตระหง่าน ยังคงกระโดดขึ้นสูง สาดปราณกระบี่ออกไปอย่างกำเริบเสิบสาน สะบั้นกำแพงทวนหลายแถวเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็พลันกำด้ามกระบี่ยาวไว้แน่น ปณิธานกระบี่เอ่อล้นท่วมร่าง ปราณกระบี่สยบสี่ทิศ ชั่วเวลานั้นซ่งอวี่เซาเหมือนถือพระจันทร์เต็มดวงไว้ในมือดวงหนึ่ง แสงของมันราวกับจะสามารถประชันกับแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะได้!
ซ่งอวี่เซาตวาดกร้าวหนึ่งครั้ง ร่างทะยานขึ้นสูงหนึ่งจั้งกว่า ปณิธานกระบี่และปราณกระบี่เพิ่มพรวดในเวลาเดียวกัน ดวงจันทร์เต็มดวงที่เดิมทีใหญ่เท่าถาดหยกก็เปลี่ยนมาใหญ่มหึมาเกินจะเปรียบ ปกคลุมร่างของซ่งอวี่เซาไว้ภายใน ปล่อยให้ลูกธนูที่เป็นดั่งห่าฝนสาดยิงเข้าใส่ ยังคงใช้กฎเกณฑ์เดิมคือพุ่งไปข้างหน้า กลิ้งเป็นเส้นตรงไปกลางอากาศ มุ่งหน้าเข้าหาธงทัพ ส่วนลูกธนูที่พอยิงมาโดนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ปลายลูกธนูก็ถูกทำลาย ตัวลูกธนูปริแตก
ขณะที่ผู้เฒ่าชุดดำทลายขบวนรบด่านที่สอง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขาเองก็เริ่มวิ่งห้อไปด้านหน้า ว่องไวดุจกระต่ายที่หนีออกจากกรง คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างถึงที่สุด
กองทัพม้าสายตรงของสกุลฉู่ไม่มีความจำเป็นต้องหันหัวม้ากลับ เพราะมีแต่จะไปรบกวนพลเดินเท้า ทำให้เสียรูปขบวนเปล่าๆ ดังนั้นผู้ที่รองรับไฟโทสะซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มอกพวกเขาย่อมต้องเป็นเด็กหนุ่ม
—–