กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 249.1 เทพเซียนซื้อขาย วันหน้าพบกันใหม่
มาถึงระยะทางเจ็ดร้อยลี้ก่อนหน้าจะถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ เนื่องด้วยเฉินผิงอันมีเรื่องให้คิดหนัก คนทั้งสามจึงเดินทางกันอย่างเซื่องซึม การเดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่ชายแดนในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งราวฟ้ากับเหว นั่นเพราะคนทั้งสามพูดคุยกันอย่างเปิดอกมากขึ้น ทุกคนต่างก็เปิดเผยความลับมากมายของตัวเอง ความสัมพันธ์จึงยิ่งแน่นแฟ้น ต่อให้เป็นโศกนาฎกรรมที่สหายตายเกลี้ยง คืนหนึ่งที่นอนพักค้างแรมบนยอดเขา สวีหย่วนเสียก็เล่ามาบางส่วน ส่วนจางซานเฟิงเองก็เล่าถึงตระกูลและสำนักของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เขารับน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เฉินผิงอันมอบให้มาแล้วดื่มเหล้าอึกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงฮั่วหลงเจินเหรินอาจารย์ของเขาที่เอ่ยถึงแต่เรื่องร้ายๆ ของอีกฝ่าย สบถด่าไม่หยุด เพียงแต่ว่าแม้ปากจะไม่ไว้ไมตรี แต่บนใบหน้าของนักพรตหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความคิดถึง วางกระบี่ไม้ท้อพาดขวางไว้บนหัวเข่า ตอนที่พูดถึงเรื่องที่ซาบซึ้งใจก็ได้แต่ดื่มเหล้าปกปิดน้ำตาที่เอ่อคลอ
ระหว่างนี้นักพรตหนุ่มยังจามอยู่หลายครั้ง ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเย้าว่า ทำไม อาจารย์เจ้าอยู่ไกลถึงหนึ่งทวีปกางกั้น ยังจะได้ยินคำบ่นของเจ้าด้วยหรือ? หรือว่าเป็นเทียนซือฝ่ายนอกคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์? จางซานเฟิงตอบอย่างขุ่นเคืองว่า เทียนซืออะไรกัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตาแก่นั่นไม่เคยไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเลยสักครั้ง วันๆ เอาแต่พร่ำพูดว่าจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนัก แต่ถ้าวันนี้ไม่ปวดเอว พรุ่งนี้ก็ปวดขา ไม่ก็นอนกรนครอกๆ ทุกครั้งที่นอนก็นอนได้นานถึงสิบวันครึ่งเดือน ครั้งที่ยาวที่สุดคือด้านล่างภูเขามีหิมะตกหนักติดต่อกันถึงสองเดือน ตาแก่นั่นก็ยืนอยู่ริมหน้าผาท่ามกลางลมหิมะหลับไปนานถึงสองเดือนเต็ม รอจนหิมะละลายจนสิ้นแล้วถึงได้ตื่นขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเดิมทีพวกลูกศิษย์ได้เตรียมตัวกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะติดตามอาจารย์เดินทางไกลไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ตามหมายกำหนดการ ผลกลับกลายเป็นว่าทุกอย่างที่เตรียมการไปล้วนเสียเวลาเปล่า สรุปก็คือผู้เฒ่าไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงบ่นด้วยความไม่พอใจของเหล่าลูกศิษย์กระหึ่มไปทั่ว พวกเขาพยายามจะพูดถึงเรื่องนี้อ้อมๆ อยู่หลายครั้ง แต่ตาเฒ่ากลับทำเป็นหูทวนลม ประมาณว่าพวกเจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ก็แค่ลมโชยพัดผ่านขุนเขา
เฉินผิงอันเองก็เป็นฝ่ายเล่าถึงฉีจิ้งชุน เพราะถึงอย่างไรคืนนั้นฉีจิ้งชุนได้ปรากฎตัวในวัดร้างของแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่าได้พบหน้าสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงแล้ว
แต่พอพูดถึงถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน เขากลับเล่าแค่ว่าตนเกิดและโตมาที่นั่น บอกว่าฉีจิ้งชุนสอนหนังสือมากมายที่โรงเรียน
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เต็มใจที่จะเล่า เพียงแค่ไม่กล้าพูดมาก เพราะหากให้เล่าแบบหมดเปลือกจริงๆ และยิ่งมีสุราให้ดื่มแบบนี้ เขาคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ฉีให้สหายทั้งสองฟังได้ทั้งคืน
ระยะทางสั้นๆ ระหว่างที่เดินทางกับเด็กหนุ่มชุยฉาน ลูกศิษย์หน้าหนาผู้นั้นค่อนแคะที่เฉินผิงอันเงียบขรึมไม่ชอบพูดชอบคุย จึงมักจะแกล้งมาบ่นให้เขาฟังต่อหน้า พูดเรื่องมากมายเกี่ยวกับบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นแผนการ ‘น่าสนใจ’ ที่เหล่าอริยะของเมธีร้อยสำนักวางไว้ในแต่ละทวีปใหญ่ ต่อให้ทุกครั้งเด็กหนุ่มชุยฉานจะพูดแค่ครึ่งๆ กลางๆ พูดทีละเล็กทีละน้อย จงใจไม่พูดอย่างชัดเจน เป็นเหตุให้เรื่องวงในที่แท้จริงเหล่านั้นเป็นดั่งมังกรที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ แต่เฉินผิงอันกลับรู้ถึงความหนักเบาและความจริงจังของเรื่องเหล่านี้แล้ว
เฉินผิงอันยังเล่าเรื่องที่ตัวเองต่อยน้ำตกและขอบเขตเพิ่มสูงขึ้นด้วย
สวีหย่วนเสียเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์จึงตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะพอคาดการณ์ได้มาก่อนแล้ว แต่ก็ยังยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน บอกว่าอนาคตยาวไกล ตำแหน่งปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณย่อมหนีไปไหนไม่พ้นแน่นอน
เห็นสีหน้ามึนงงของจางซานเฟิงแล้ว สวีหย่วนเสียก็ยกตัวอย่างให้ฟัง บอกว่าด้วยขอบเขตของเฉินผิงอันในเวลานี้ หากเอาไปไว้บนภูเขา นั่นก็เท่ากับว่าใกล้จะฝ่าคอขวดของห้าขอบเขตล่างไปได้แล้ว เพียงแค่ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวก็อาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตขอบเขตที่หกได้ทุกเมื่อ จางซานเฟิงถึงเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง จากนั้นนักพรตหนุ่มก็เริ่มโอดครวญ บอกว่าตนมุมานะฝึกตนทุกวัน แต่ความสำเร็จถูกสุนัขคาบไปกินหมดเลยหรือไง?
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ ร่วมด้วยช่วยกันกับชายฉกรรจ์เคราดกถากถางจางซานเฟิง
เพราะจางซานเฟิงไม่จำเป็นต้องให้ใครปลอบใจ อันที่จริงไอ้หมอนี่มีจิตใจแข็งแกร่งไม่ต่างจากเฉินผิงอัน ไม่เคยกลัวฟ้าไม่เคยเกรงดิน กลัวแค่เรื่องเดียวคือ ในกระเป๋าไม่มีเงิน กินไม่อิ่มท้อง
หากจะให้เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ของนักพรตหนุ่ม หลายครั้งที่กำจัดปีศาจปราบมารล้วนทำได้ไม่ดีพอ มโนธรรมในใจเขาจึงยากที่จะสงบลงได้
หลังจากนั้นมาคลื่นลมก็สงบไปตลอดทาง เมื่อผ่านมรสุมเรื่องประหลาดที่เมืองแยนจือมาได้แล้วยังได้ไปชมความครึกครื้นที่หมู่บ้านวารีกระบี่ เวลาเดินทางจึงกลับกลายเป็นว่าคนทั้งสามรู้สึกเหงาเล็กน้อย ยังดีที่ไม่นานก็มาถึงด่านริมชายแดนแห่งนั้น อีกอย่างคนทั้งสามก็มีเอกสารผ่านแดนที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แม้ว่าจะยังมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ก็ยังสามารถเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปยังจวนแม่ทัพภาคได้อย่างราบรื่น
ในห่อผ้าที่ซ่งอวี่เซามอบให้ นอกจากเงินหิมะน้อยเกือบสองพันเหรียญแล้ว ยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับที่ผู้เฒ่าเขียนเองกับมือ ขอแค่เฉินผิงอันมอบให้กับจวนแม่ทัพภาคของแคว้นซูสุ่ยที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนก็จะได้รับการอนุญาตจากทางราชสำนักให้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามเอง
พอมาถึงหน้าประตูจวนที่ปิดสนิท เฉินผิงอันก็เดินไปพูดคุยกับคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู คิดไม่ถึงว่าพวกทหารชายแดนเหล่านี้จะฟังภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปไม่รู้เรื่อง ส่วนเฉินผิงอันก็พูดภาษาทางการของแคว้นซูสุ่ยไม่เป็น จึงเหมือนไก่กับเป็ดที่คุยกันคนละภาษา สถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ยังดีที่ทหารหน้าประตูบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ แล้วให้คนเข้าไปรายงานด้านใน เพียงไม่นานผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราคนหนึ่งก็เดินออกมา ผู้เฒ่าเชี่ยวชาญภาษาทางการของทวีป เฉินผิงอันส่งมอบจดหมาย ‘สำหรับแม่ทัพภาคใหญ่’ ลงท้ายด้วยชื่อของซ่งอวี่เซาแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ไปให้ผู้เฒ่า
กุนซือเฒ่ารับจดหมายฉบับนั้นมาด้วยสองมือ แล้วรีบพาคนทั้งสามไปนั่งที่ห้องรับรองแขกอย่างไม่กล้าเพิกเฉย หลังจากยกน้ำชามาวางแล้วถึงได้รีบวิ่งเร็วๆ ไปยังห้องทำงานที่แม่ทัพภาคใช้จัดการงานในกองทัพ ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็มีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมา เขาทั้งไม่ได้สวมเสื้อเกราะ แล้วก็ไม่ได้สวมชุดขุนนางฝ่ายบู๊ สีหน้าเฉยเมย ในมือกำตราประทับทองสัมฤทธิ์สามชิ้น มาถึงก็มอบมันให้กับเฉินผิงอันแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ตอนที่คนทั้งสามออกมาจากจวนแม่ทัพภาคมณฑล เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงยังมึนงงอยู่เล็กน้อย แม่ทัพภาคแคว้นซูสุ่ยที่หน้าตาไม่โดดเด่นคนนั้นทำอะไรรวดเร็วฉับไวเกินไปแล้ว
ชายฉกรรจ์เคราดกที่ตรงเอวพกทั้งดาบสั้นและดาบยาวเอ่ยอธิบายว่า “แม่ทัพในสนามรบที่ไต่จากระดับล่างสุดไปยังตำแหน่งสูงได้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีนิสัยชอบคุยโวโอ้อวด”
จากนั้นเขาก็หัวเราะ “หากเป็นในวงการขุนนาง นี่เรียกว่าพวกผู้ดีพูดจาเนิบช้า” (พวกผู้ดีเวลาจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดเสียก่อน กว่าจะพูดได้จึงช้ามาก)
จางซานเฟิงพูดเสียงขุ่น “เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว เนิบช้าอะไรกัน”
เฉินผิงอันเคยเล่าเรื่องมรสุมในหมู่บ้านวารีกระบี่มาก่อน พวกเขาจึงรู้ท่าทีที่ราชสำนักมีต่อหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้สวีหย่วนเสียจึงอดทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังไม่ได้ “ในช่วงเวลาแบบนี้ยังยอมพบหน้าพวกเรา แถมยังยอมมอบตราประทับผ่านด่านมาให้สามชิ้น ก็ถือว่าแม่ทัพภาคผู้นี้มีคุณธรรมมากแล้ว และแสดงว่าต้องสนิทสนมกับอริยะกระบี่ซ่งมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย “คนที่เป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสซ่งได้ ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายแน่นอน”
สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน ฝ่ายหลังจุ๊ปากพูดว่า “เฉินผิงอัน ประโยคนี้ของเจ้าเข้าใจพูดนักนะ รู้จักพูดชมตัวเองอ้อมๆ แล้ว?”
เฉินผิงอันจึงพูดอีกว่า “คนที่เป็นเพื่อนกับเพื่อนของผู้อาวุโสซ่งได้ก็ไม่น่าจะแย่”
สวีหย่วนเสียชูนิ้วโป้ง “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีคุณธรรม น่าเชื่อถือ!”
จางซานเฟิงโอบไหล่เฉินผิงอัน กล่าวชื่นชมว่า “พลิกแพลงได้ดังใจปรารถนา ไม่มีช่องว่างให้โจมตี!”
คนทั้งสามหัวเราะเสียงดังเดินออกจากด่านผ่านทางประตูทิศใต้ มุ่งหน้าลงใต้ต่ออีกครั้ง ตรงเอวของคนทั้งสามต่างก็ห้อยตราประทับชิ้นนั้น
หลังจากเดินทางไปได้อีกร้อยกว่าลี้ก็จะเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันเป็นอาณาเขตของท่าเรือตระกูลเซียน
มาถึงบนภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่งหลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง คนทั้งสามก็หยุดพัก เฉินผิงอันก่อไฟทำอาหาร ระหว่างนี้มีคนแอบมองพวกเขาอยู่ไกลๆ แต่คงเป็นเพราะเห็นตราประทับตรงเอว จึงจากไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่กล้ามีความคิดชั่วร้ายแอบแฝงอีก
คนทั้งสามกินข้าว แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า กำลังจะเข้าสู่ท่าเรือที่มีผู้ฝึกลมปราณมากมายมารวมตัวกัน ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า
สวีหย่วนเสียเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อมาส่งเฉินผิงอันกับจางซานเฟิงเสียมากกว่า แต่หากมีเรือข้ามฟากไปยังแคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปย่อมดีที่สุด ส่วนเรื่องร้านขายสมบัติอาคมที่ท่าเรือ สวีหย่วนเสียคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ยังมีอาวุธเทพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น เขาจึงไม่รู้สึกสนใจอีกต่อไปแล้ว
ส่วนจางซานเฟิงที่นอกจากจะซื้อกระบี่ที่สามารถทั้งรุกและรับได้แล้ว ยังต้องการซื้อยันต์หายากประเภทเดียวกับยันต์เทพเดินทางอีกส่วนหนึ่ง รวมไปถึงหาคนตั้งราคาตะเกียบไม้ไผ่เสินเซียวจากภูเขาชิงเสินคู่นั้น ส่วนถ้วยขาวที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณให้เป็นน้ำค้างหวาน รวมไปถึงเม็ดเสื้อเกราะแคว้นกู่อวี๋ที่เฉินผิงอันกึ่งขายกึ่งยกให้ชิ้นนั้น นักพรตหนุ่มไม่มีทางขายอย่างแน่นอน สมบัติสองชิ้นนี้เขาไม่คิดจะหยิบออกมาด้วยซ้ำ คนอื่นจะได้ไม่เกิดใจละโมบคิดอยากครอบครอง แทนที่จะเป็นเรื่องดีอาจกลายเป็นสร้างหายนะให้กับตัวเอง
ส่วนทางฝ่ายของเฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีทางแตะต้องของที่เอามาจากภูเขาลั่วพั่วแม้แต่ชิ้นเดียว
หินดีงูชั้นดีที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพนำไปคืนให้บนเรือคุนย่อมต้องเก็บไว้ หลังจากถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นลงสู่พื้นดิน ในลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูต่างก็ไม่เหลือหินดีงูให้เห็นแม้แต่ก้อนเดียว ล้วนกลายเป็นหินธรรมดาไปทั้งหมด ได้ยินว่าหินดีงูมีเฉพาะในถ้ำสวรรค์หลีจู นี่หมายความว่าทุกครั้งที่ใช้หมดไปหนึ่งก้อนก็เท่ากับว่าลดน้อยลงไปหนึ่งก้อน ตอนนี้เฉินผิงอันรู้จักหลักการกักตุนของไว้เก็งกำไรแล้ว ยิ่งเอาออกขายช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น
หัวใจแห่งบุ๋นร่างทองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองเมืองแยนจือมอบให้ยิ่งต้องเก็บไว้ให้ดี เศษชิ้นส่วนร่างทองสีเงินและสีทองที่ทยอยได้มาสองครั้งก็ห้ามเอาออกมาให้ใครเห็นเช่นกัน
ตราเทียนซือที่ด้านบนสลักคำว่า ‘ตราประทับเสี่ยวโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ เสิ่นเวินให้ความสำคัญมากที่สุด ถึงขนาดเอ่ยคำว่า ‘มีเพียงผู้มีคุณธรรมถึงจะได้ครอบครองอาวุธเทพ’ ว่ากันว่าตราประทับนี้ต้องใช้พร้อมกับเวทห้าอสนีถึงจะสามารถสำแดงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ อันที่จริงตอนแรกเฉินผิงอันนึกถึงจางซานเฟิงนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ รวมไปถึงหลินโส่วอีที่ตอนนี้ไปขอศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยา แต่ก็ฝึกตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ไปพร้อมกันด้วย แต่พอเฉินผิงอันลองใคร่ครวญดูแล้ว ใช่ว่าเขาจะตัดใจมอบให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แค่รู้สึกว่าไม่เหมาะ เขาคิดว่าต่อให้จะมอบให้ใครก็ควรต้องไว้ว่ากันภายหลัง คงต้องรอให้เฉินผิงอันเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ ‘ผู้มีคุณธรรม’ แล้วค่อยดูว่าเมื่อถึงเวลานั้น ระหว่างจางซานเฟิงกับหลินโส่วอี ใครที่คู่ควรกับสามคำนี้มากกว่ากัน
หากเป็นเมื่อก่อน เฉินผิงอันคงยกให้ทันทีโดยไม่คิดอะไรให้ยุ่งยาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
—–