กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 250.2 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง
กลับเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันกินผลไม้ที่นอกจากจะสดใหม่แล้วก็ไม่มีปราณวิญญาณแฝงอยู่แม้แต่น้อยเข้าไป แล้วจึงเริ่มฝึกวิชาหมัด ระยะทางสองแสนลี้ ใช้เวลาสองเดือน ระหว่างนี้จะหยุดพักที่ท่าเรือของตระกูลเซียนแคว้นต่างๆ เพื่อเติมเสบียงและซ่อมบำรุงเรือ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณสี่ห้าวัน ความเร็วของเรือลำนี้เป็นรองเรือคุนไม่น้อย และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เรือคุนคือเรือข้ามทวีปที่ภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ของอุตรกุรุทวีปสร้างขึ้น อยู่ไกลเกินกว่าที่เรือข้ามฟากลำนี้จะสามารถทัดเทียมได้
เฉินผิงอันลองคำนวณคร่าวๆ หากหนึ่งวันนอกจากกินนอนหรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าจะใช้เวลาสักสองสามชั่วยามแล้ว พยายามฝึกหมัดให้ได้วันละเก้าถึงสิบชั่วยาม บวกกับที่ตอนนี้การออกหมัดเปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว จึงถือว่าได้เปรียบมาก ถ้าอย่างนั้นทุกวันก็จะสามารถฝึกเดินนิ่งหกก้าวได้ประมาณสามพันหกร้อยครั้ง สองเดือนหกสิบวันก็น่าจะฝึกหมัดได้ประมาณสองแสนครั้ง
ฟังแล้วเหมือนหลักการคำนวณง่ายๆ แต่พอปฏิบัติจริงขึ้นมา เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดมาจนคุ้นเคยรู้ดีว่านั่นทำให้คนเป็นบ้าได้เลย ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองมีความเพียรพยายามและอดทนมากพอก็ยังรู้สึกว่ายากลำบาก การฝึกหมัดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไปต้าสุยหรือลงใต้มายังแคว้นซูสุ่ย ถึงอย่างไรตลอดทางก็ยังเจอน้ำเจอภูเขา มีทัศนียภาพหลากหลายรูปแบบให้ชม แต่การนั่งเรือครั้งนี้ต้องอยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่ถูกจำกัด จึงไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้าอยู่แต่กับผนังห้องที่แห้งเหี่ยว
ที่สำคัญที่สุดคือการเดินนิ่งเป็นคนละเรื่องกับความลำบากยากเข็ญที่เผชิญตอนฝึกหมัดกับผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ฝ่ายหลังทดสอบความสามารถในการทนรับความเจ็บปวดแบบ ‘มีดเร็วเจ็บแปบเดียว’ ทางกายและทางจิตวิญญาณ ฝ่ายแรกมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายกว่า ทว่าแต่ละหมัดที่ปล่อยออกไป ยิ่งเป็นในช่วงท้ายก็ยิ่งต้องเจอกับความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคว้านเลาะเนื้ออย่างยาวนาน ก็เหมือนวันหิมะตกหนักที่เดินทางจากทางเลียบหน้าผาแคว้นหวงถิงเข้าสู่ด่านต้าหลีวันนั้นที่การสูดลมหายใจในเฮือกสุดท้ายเหมือนกลืนมีดลงท้อง
มิน่าเล่าผู้เฒ่าถึงได้พูดว่า การหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งต้องแข่งด้านพละกำลังกับสวรรค์ ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานเหมือนร่างกายถูกขุนเขากดทับ แล้วก็ยังต้องแข่งขันด้านจิตใจกับตัวเองด้วย ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ เคี่ยวตุ๋นจนเกิดคำว่ามั่นคง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากปิดประตูระเบียงแล้วก็เริ่มเดินนิ่ง ฝีเท้าแผ่วเบา ออกหมัดว่องไว ปณิธานหมัดไหลเวียนวน
หลังจากนั้นก็เป็นวันเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติเช่นนี้ เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ยอมไปกินอาหารที่ห้องอาหารของเรือ เอาแต่กินอาหารแห้งกับดื่มเหล้าตลอดสามมื้อ
พอเข้าหน้าร้อน ต่อให้อากาศของเส้นทางใต้ดินจะค่อนข้างเย็นสบาย แต่เฉินผิงอันก็ยังเหงื่อแตกเต็มตัว เดินจากประตูห้องไปหยุดอยู่ตรงประตูไม้ของระเบียงก็เท่ากับฝึกหมัดครบหนึ่งรอบพอดี จากนั้นก็หมุนตัวกลับเดินซ้ำอีกรอบ นานวันเข้าพื้นห้องก็เต็มไปด้วยคราบเหงื่อ ทุกครั้งที่ฝึกวิชาหมัดจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรงก็จะหยุดพักครู่สั้นๆ เมื่ออยู่ในห้องเล็กแคบแห่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องต่างๆ นานาที่อาจพบเจอเหมือนตอนเดินทางไกลก่อนหน้านี้ แค่สงบใจฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเป็นพอ สิบสองชั่วยามของหนึ่งวัน ไม่นับเวลานอนสองชั่วยามและการพักระหว่างฝึก เวลาที่เหลือล้วนเป็นการออกหมัดเก้าชั่วยามเต็มๆ ลืมตัวลืมตน ราวกับว่าฟ้าดินนี้มีเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านี้ ไม่มีภูเขาแม่น้ำใหญ่ ไม่มีลมภูเขาพัดโชยและพายุหิมะกรีดผิวเนื้อ ราวกับว่าสี่ฤดูกาลและการเกิดแก่เจ็บตายล้วนอยู่แค่ในพื้นที่แคบๆ แห่งนี้
ผ่านไปอีกยี่สิบวัน ประตูไม้ของระเบียงไม่เคยเปิดออกเลยสักครั้งเดียว
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันนอนหงายอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปียกโชก พื้นเปียกซึม หอบหายใจแฮ่กๆ เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกคนกระชากขึ้นฝั่ง
เฉินผิงอันแสยะปาก อยากยิ้มแต่กลับยิ้มไม่ออก หากเจ้าหอหม่ายตู๋ที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารมาลอบฆ่าตนในเวลานี้ จะทำอย่างไร?
เขาหลุบสายตาลงต่ำ มองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้น คงต้องพึ่งบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้แล้วกระมัง
สิบวันต่อมา เฉินผิงอันจำต้องปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวลง แม้แต่รองเท้าแตะก็ถอดออกด้วย ม้วนแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น เปลือยเท้าฝึกหมัดเดินนิ่งอยู่ในห้อง
ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ที่เปลี่ยนจากหลอมเรือนกายไปหลอมลมปราณ ดูเหมือนว่าขาดอีกแค่เฮือกเดียวก็จะสามารถก้าวข้ามส่วนที่เหลือไปได้ ทว่าก้าวเดียวนั้นกลับเหมือนจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ให้ตายอย่างไรเฉินผิงอันก็ดึงมันขึ้นมาไม่ได้ ฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม การพัฒนาก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ได้แค่ดึงเท้านั้นออกมาจากโคลนเพียงเล็กน้อย
ระหว่างที่เขาฝึกหมัดก็ใช่ว่าฟ้าดินด้านนอกจะไม่มีความเคลื่อนไหวเสียเลย หลังจากที่ผู้โดยสารของสองห้องที่อยู่ขนาบข้างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเรือแล้วก็ไม่สำรวมกิริยากันอีกต่อไป ห้องทางฝั่งซ้ายมือดูเหมือนจะเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพกันทั้งห้อง ทุกวันจะต้องกินเนื้อคำโตดื่มเหล้าคำใหญ่ พูดคุยเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ เพียงแต่ว่าภาษาที่พูดคือภาษาทางการของแคว้นอื่นเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะหลุดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปออกมาสองสามประโยค ทุกวันเมื่อเฉินผิงอันฝึกหมัดได้จนถึงขีดสูงสุดจะต้องหลุดออกมาจากขอบเขต ‘ลืมตน’ ที่ลี้ลับได้เอง และความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพอได้ยินคนพวกนั้นคุยกันเสียงดัง เฉินผิงอันจึงค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด
ส่วนพวคนที่พักอยู่ทางฝั่งขวามือคล้ายจะเป็นเซียนซือจากสำนักเล็กๆ ที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ จึงอยู่อย่างสงบเงียบ เพียงแต่ว่าทุกวันตอนเช้าและตอนเย็นจะต้องท่องตำราเสียงดังกังวาน กระดานไม้เก็บเสียงได้ไม่ดี อีกทั้งพวกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างยังใช้วิชากำหนดลมหายใจที่เป็นวิชาเฉพาะตัว ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจเช่นกัน
หากจะบอกว่าเรื่องพวกนี้ยังพอทนรับได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นทุกๆ สามวันห้าวันก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ชั้นสามที่อยู่ด้านบนล้วนมีแต่คนมีเงินอยู่อาศัย ห้องที่อยู่เหนือห้องของเฉินผิงอันคงจะเป็นเทพเซียนคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่ง พวกเขาแสดงความรักต่อกันมิเว้นวาง มักจะมีเสียงเตียงสั่นกึกๆ กักๆ ดังลอดแผ่นไม้มาถึงชั้นล่าง นี่ยังพอทำเนา ผู้ฝึกลมปราณหญิงคนนั้นคงจะควบคุมตัวเองไม่ไหวจริงๆ ถึงได้ส่ง ‘เสียงร้องไห้’ อือๆ อาๆ แผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าถูกฝ่ายชายรังแกอย่างหนักหน่วง เฉินผิงอันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ในเมื่อหญิงสาวทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ ทำไมถึงได้ตามใจฝ่ายชายไปซะทุกครั้ง ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน ทำไมถึงไม่เปิดอกพูดคุยกันด้วยเหตุผลให้เข้าใจ?
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันจนใจอย่างมาก ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องพวกเขาแล้วพูดกับฝ่ายชายว่า วันหน้าเจ้าต้องสงสารคนรักของตัวเองให้มากหน่อย อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก เรื่องในบ้านคนอื่นแบบนี้ เฉินผิงอันเป็นเพียงคนนอก ไหนเลยจะเปิดปากได้ อีกทั้งยังเป็นการไม่เห็นใจคนอื่น จะกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายไร้เหตุผล เพียงแต่เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ชอบเสียงรบกวนจากด้านบน ทว่าพวกชาวยุทธ์ที่อยู่ห้องฝั่งซ้ายกลับชื่นชอบยิ่งนัก พอมีเสียงเตียงและเสียงหญิงสาวร้องดังมาถึงข้างล่าง พวกเขาจะหยุดบทสนทนาที่กำลังคุยกันแล้วหัวเราะหึหึทันที เฉินผิงอันรู้ความจริงจากประโยคภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่พวกเขาพูดกันน้อยครั้งว่า พวกเขาคล้ายคนที่กำลังชมสุดยอดศึกใหญ่ของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ จึงพูดคุยกันอย่างตั้งใจมาก
ส่วนเซียนซือบนภูเขาที่อยู่ในห้องฝั่งขวามือก็เหมือนจะใจตรงกัน พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พวกเขาจะพร้อมใจกันหยุดเงียบ แต่เห็นได้ชัดว่าลมหายใจวุ่นวายกว่าปกติหลายส่วน
ดูท่าคงจะโมโหไม่น้อย น่าจะหงุดหงิดใจพอๆ กับเขา
ยังดีที่เฉินผิงอันเริ่มปรับตัวจนคุ้นเคยกับเรื่องน่าหงุดหงิดที่ส่งผลรบกวนต่อสภาพจิตใจเหล่านี้ได้แล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งกลางวันแสกๆ เตียงด้านบนโยกสั่นราวกับแผ่นดินไหว ผู้หญิงก็ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้า กินอาหารแห้งเงียบๆ หวังเพียงว่าเพดานไม้จะไม่ถล่มพาเตียงทั้งเตียงลงมากระแทกหัวของตน
ระหว่างทางมีจอดพักที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นอยู่หลายครั้ง เพราะว่าเฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเปิดประตู จึงไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพและขนบธรรมเนียมประเพณีของทางใต้
เฉินผิงอันลองคำนวณเวลา ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเพาะปลูก (หนึ่งในช่วง 24 ฤดูกาลของประเทศจีน อยู่ในช่วงวันที่ 5-7 มิถุนายน) แล้ว หากเป็นที่บ้านเกิดของตน เวลานี้จะเป็นช่วงที่ผู้คนยุ่งอยู่กับการทำนา มีคำกล่าวที่ว่า ช่วงเพาะปลูกรีบปลูกข้าวฟ่างและธัญพืช ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ที่ทำงานในเตาเผามังกรก็ยังได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปช่วยงาน ปีนั้นผู้เฒ่าเหยาในเตาเผามังกรที่ตนทำงานอยู่ แม้จะเป็นคนขี้โมโหชอบด่าคนอื่น ทว่าเรื่องแบบนี้เขากลับใจกว้างมาก เตาเผาแห่งอื่นให้หยุดได้แค่สามวัน ผู้เฒ่าเหยากลับให้หยุดได้ถึงสี่ห้าวัน เพียงแต่ว่าต้องลำบากหลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอันที่ไม่มีที่นาของบรรพบุรุษ เนื่องด้วยเตาเผาขาดคน ไฟในเตาเผามังกรไม่เคยสนใจว่าเจ้าจะมีคนน้อยหรือไม่ ดังนั้นในอดีตช่วงเวลานี้เฉินผิงอันจะต้องเหนื่อยยิ่งกว่าคนที่ลงแรงทำนาเสียอีก
เฉินผิงอันฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็เดินนิ่งไปได้ครบหนึ่งแสนรอบแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ อยากรู้ว่าพวกคนที่ตกปลาบนดาดฟ้าเรือ มีใครตกมังกรแม่น้ำยาวสองนิ้วมือที่หายากได้แล้วหรือยัง
มีวันหนึ่งขณะที่ฝึกหมัดมาจนถึงช่วงเที่ยง เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าเหล้าในน้ำเต้ายังเหลืออีกมาก แต่อาหารแห้งกลับไม่พอให้กินสามมื้อแล้ว จึงต้องรัดสายน้ำเต้า สะพายกล่องกระบี่ไม้ สวมรองเท้าแตะ เปิดประตูออกเป็นครั้งแรก เตรียมจะไปยังห้องอาหารที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเพื่อซื้ออาหารที่เก็บง่ายมาตุนไว้ แล้วก็เป็นเพราะถึงช่วงเวลากินอาหาร พวกผู้โดยสารจึงมักจะออกจากห้องพักเวลานี้ ตอนที่เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในห้องทางฝั่งซ้ายมือก็ออกมาหาของกินเหมือนกัน เฉินผิงอันจึงชะลอฝีเท้า ทิ้งระยะห่างประมาณห้าหกก้าว ติดตามไปด้านหลังคนห้าคน มีบางคนในกลุ่มนั้นหันกลับมามองประเมินเพื่อนบ้านประหลาดที่เพิ่งได้เห็นหน้ากันอย่างอดไม่อยู่ แต่ไม่นานก็มีคนกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ห้ามไม่ให้เขาก่อเรื่องให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน
คนผู้นั้นจึงถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว มือกระบี่เด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลัง เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง อายุยังน้อยแต่กลับมีบุคลิกสุขุมหนักแน่น ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปมีเรื่องด้วย หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หาได้ยากจริงๆ ต่อให้กลุ่มของพวกตนจะมีชาติกำเนิดที่ไม่เลว ถือว่าเป็นสำนักใหญ่ในยุทธภพล่างภูเขา ก็ไม่ควรไปล่วงเกินอีกฝ่ายอยู่ดี
บนภูเขาล่างภูเขา ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหมื่นหนึ่ง (เปรียบเปรยว่าไม่กลัวสิ่งที่ได้คาดคะเนไว้ กลัวก็แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน) โดยสารอยู่บนเรือข้ามฝากของตระกูลเซียนแบบนี้ เรื่องไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว
โชคไม่ดี ดื่มน้ำเย็นยังปวดฟัน แต่หากดวงซวยไปเจอกับคนที่เป็นหมื่นหนึ่งนั้น จะทำอย่างไร? จะพร่ำพูดเหตุผลกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาได้หรือ?
—–