กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 251.1 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด
เมื่อช่วงเพาะปลูกผ่านไปก็มาถึงช่วยสุดท้ายของการเดินทางในช่องทางเดินมังกรระยะทางสองแสนกว่าลี้ เรือข้ามฟากลำนี้กำลังจะไปถึงปลายทางที่อยู่ทางทิศใต้ของเส้นทางมังกรเดิน
ในเมื่อฝึกเดินนิ่งครบสองแสนรอบแล้ว การฝึกหมัดในลำดับถัดมาของเฉินผิงอันจึงไม่ได้เคร่งเครียด แต่เปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลาย ตามใจตัวเองมากขึ้น หลังจากที่คืนนั้นซื้อเหล้ามาไม่ได้ วันถัดมาเขาก็ไปซื้อมาสามไหตอนกลางวัน บรรจุจนเต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ราคาแพงมาก รสชาติพอใช้ได้ ถึงอย่างไรก็เทียบเหล้าหมักรสดีของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ได้อยู่ดี
จากนั้นเฉินผิงอันก็ดึงยันต์สองแผ่นที่แปะไว้บนผนังออก ล้วนเป็นยันต์สีเขียวธรรมดา แผ่นหนึ่งคือยันต์สงบใจ สามารถช่วยให้เฉินผิงอันมีสมาธิสงบจิตใจ ไม่ต้องถูกโลกภายนอกรบกวนได้ในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่ในอารามใหญ่ของลัทธิเต๋าด้านล่างภูเขาจัดพิธีบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อสักการะบูชาแด่เทพเจ้า ก็มักจะแปะยันต์ประเภทนี้เอาไว้
อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์กำจัดฝุ่นผงคราบสกปรก ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เหล่าขุนนาง ชนชั้นสูงและพวกคนที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์มักจะไปที่อารามเต๋าเพื่อขอยันต์ชนิดนี้มาจากเจินเหริน ยันต์ชนิดนี้ไม่เพียงแต่แผ่ปราณวิญญาณอ่อนๆ ยังสามารถดูดซับไอชั่วร้ายและคราบสกปรกทุกชนิดได้อีกด้วย เป็นเหตุให้ห้องหับสะอาดสะอ้าน
แม้ว่ายันต์ทั้งสองแผ่นต่างก็เป็นยันต์ขั้นพื้นฐานที่สุดใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีระดับขั้นต่ำมาก แต่กลับช่วยเฉินผิงอันได้อย่างมหาศาล หาไม่แล้วคนของเรือข้ามฟากคงต้องสู้กับเฉินผิงอันให้ตายกันไปข้าง การฝึกหมัดทั้งวันทั้งคืนสองเดือนเต็ม เหงื่อของเฉินผิงอันเปียกโชกราวฝนตก หลังจากนี้ยังจะมีใครกล้ามาพักห้องนี้อีก?
ยันต์ทั้งสองแผ่นล้วนเป็นยันต์อักษรแดงที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตอนนี้ปราณวิญญาณเจือจางเต็มที แทบไม่ต่างอะไรจากกระดาษในตำราทั่วไป เฉินผิงอันระมัดระวังตัวมาจนเคยชินแล้ว เขาไม่อยากจะทิ้งเบาะแสใดๆ เอาไว้ จึงไม่ได้โยนมันทิ้งไปในเส้นทางน้ำ ยังคงเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่น ถึงอย่างไรพวกมันก็ถือเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการระหว่างการฝึกหมัดของเขา ข้ามแม่น้ำแล้วจะรื้อสะพานไม่ได้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี
ตอนนี้เฉินผิงอันมั่นใจมากแล้วว่า ยันต์ปึกนั้นที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ตน โดยเฉพาะกระดาษยันต์สีทองและตำราโบราณสองอย่างนี้ที่ต้องมีมูลค่าควรเมือง ต้องรักษาให้ดีแล้วดีอีกถึงจะถูก หลักการนั้นง่ายมาก ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นเดียวก็สามารถสยบขุนนางบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาของเทพอภิบาลเมืองแยนจือที่ถูกธาตุมารเข้าแทรกได้อย่างง่าย หากไม่พูดถึงระดับความสูงต่ำของยันต์ เอาแค่วัสดุของกระดาษยันต์ว่าดีหรือไม่ดี ต่อให้เป็นยันต์คุ้มกันชีวิตก้นกรุจากพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าที่สุดยอดผู้ฝึกลมปราณของแคว้นซูสุ่ย ‘เชิญเทพ’ ออกมาให้เป็นมัลละเกราะทองแผ่นนั้น ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหนือกว่ากระดาษยันต์สีทองที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้
ก่อนจะลงจากเรือ เฉินผิงอันก็เก็บห้องจนสะอาดเรียบร้อย สะพายห่อสัมภาระ คืนแผ่นป้ายไม้ของห้องให้กับทางเรือ ทยอยลงเรือไปพร้อมกับทุกคน ห่างออกไปไม่ไกลทางด้านหน้ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพูดคุยกัน เสียงของผู้หญิงคุ้นหูมาก เฉินผิงอันแค่กวาดตามองไปแวบหนึ่งก็เห็นว่านางเป็นสตรียังสาวที่มีใฝตรงมุมปาก เฉินผิงอันเห็นนางแล้วก็ให้รู้สึกเห็นใจ นางก็คือฮูหยินที่พักอยู่เหนือห้องของตน ช่วงที่ผ่านมานี้นางลำบากไม่น้อยเลยจริงๆ เฉินผิงอันเดาเอาว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ต้องรักสามีของนางอย่างจริงใจแน่นอน หาไม่แล้วก็ไม่คงไม่ยอมทนรับความทรมานขนาดนี้
ระหว่างที่เดินลงเรือ เฉินผิงอันได้ฟังเรื่องราวไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นคราวก่อนที่แวะบ่อไท่เย่มีคนจับเซียงฉ่าวเหนียงที่หายากได้คู่หนึ่ง แค่ภูตดอกไม้ตัวเดียวก็มีมูลค่าหลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่หากจับได้เป็นคู่ ถ้าคนซื้อไม่ยอมควักเงินเกล็ดหิมะห้าสิบหกสิบเหรียญก็อย่าหวังว่าจะได้เก็บพวกมันเข้ากระเป๋า
ตลอดเวลาสองเดือนที่เดินทางบนเส้นทางมังกรเดิน สุดท้ายพวกคนที่ตกปลาก็ตกมังกรแม่น้ำสองนิ้วได้แค่ไม่กี่ตัว ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น
เรือข้ามฟากลำนี้เดี๋ยวจอดเดี๋ยวเดินทาง ผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่มีเงินหนา สุดท้ายพอลงจากเรือก็น่าสงสารพวกข้ารับใช้ของพวกเขาที่ต้องแบกสัมภาระใหญ่น้อย เวลาเดินยังต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกชนจนข้าวของเสียหาย ของพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีราคาแพง ในบรรดานั้นมีของฟุ่มเฟือยหรูหราอยู่ไม่น้อย คาดว่าคงไม่ได้ราคาถูกไปกว่าชีวิตของคนเลย
ตรงท่าเรือมีพื้นที่กว้างขวาง ยังคงเต็มไปด้วยร้านรวงคึกคัก เพียงแต่ว่าของที่พวกพ่อค้าแม่ค้าเรียกขายกลายมาเป็นของพิเศษในท้องถิ่นจากบริเวณใกล้เคียง เฉินผิงอันไม่มีอะไรให้ทำจึงเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ แล้วเขาก็ได้เห็นภูตประหลาดมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูตพืชหญ้าที่น่ารักมีชีวิตชีวา สูงไม่เกินหนึ่งนิ้ว บ้างก็ถูกขังอยู่ในกรงไม้ไผ่สีเขียว บ้างก็ยืนอยู่บนแท่นฝนหมึก และยังมีแม่นางน้อยนักทอผ้าที่มีปีกกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ด้านหลังไนปั่นด้าย หลากหลายรูปแบบน่าสนใจไปซะหมด
เฉินผิงอันได้ยินเสียงต่อรองราคาจากลูกค้าบางคนกับเถ้าแก่ร้านจึงรู้ว่าเจ้าตัวน้อยภูตประหลาดเหล่านี้คล้ายคลึงกับเด็กชายชุดเขียวที่อยู่บนกระถางบอนไซของท่านหงหอชิงฝูซึ่งพูดพร้อมกันว่า ‘ขอให้ท่านร่ำรวย’ กำหนดราคาจากระดับความหายาก ถูกหน่อยก็หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แพงหน่อยก็สูงถึงสามสิบสี่เหรียญ
สุดท้ายเฉินผิงอันได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ยิ่งขยับไปทางใต้ ภูตประเภทนี้ก็ยิ่งหาง่าย
เฉินผิงอันเดินเข้านอกออกในร้านเล็กใหญ่จนทั่ว แต่กลับไม่ได้ซื้อของ คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเฉินผิงขี้เหนียว แต่เพราะเขาคิดว่าหลังจากส่งมอบกระบี่เสร็จแล้ว ระหว่างที่เดินทางกลับจากภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปยังต้าหลีค่อยซื้อก็ยังไม่สาย
เดินออกจากถ้ำ เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนในที่สุดก็ได้พบเจอกับแสงตะวันอีกครั้ง เขาค้นพบว่าตรงปากถ้ำยังคงมีตัวอักษรที่สลักจากฝีมือของผู้มีชื่อเสียงอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ปลายทางของทิศเหนือแล้วยังแน่นขนัดมากกว่าด้วยซ้ำ ราวกับว่าพยายามแย่งพื้นที่กันเพื่อให้ได้สลักลงไป และต้องการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไรอย่างนั้น ตัวอักษรบางตัวเหมือนโมโหคนที่เขียนอยู่ข้างๆ ด้วย เฉินผิงอันที่อยู่ตรงปากถ้ำกวาดตามองไปทีละตัว ตัวอักษรแน่นอนว่างดงาม มีท่วงทำนองไม่ซ้ำกัน แต่ลึกๆ ในใจเขากลับรู้สึกว่ายังสู้ตัวอักษรลายมือเด็กหนุ่มชุยฉานไม่ได้
ด้านนอกท่าเรือคือหุบเขาแห่งหนึ่ง ถนนราบเรียบกว้างขวาง ร้านรวงที่อยู่สองข้างทางดูหรูหรามีระดับกว่าร้านที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือ บนถนนมีคนเดินสวนกันขวักไขว่ เสียงดังจอแจแสดงถึงความรุ่งเรือง บ้านเมืองสงบสุขไร้สงคราม ต่อให้เป็นสุนัขที่นอนหมอบอยู่ข้างทางก็ยังแผ่กลิ่นอายของความสบายใจ
สิ่งแรกที่ปรากฎสู่คลองจักษุก่อนก็คือหอสามชั้นขนาดเล็กที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ชายคาสูงตวัดงอน แขวนป้ายตัวอักษรสีทองเขียนคำว่า ‘ท่าเรืออี้หนวี่’ ตอนนี้เฉินผิงอันคล่องมากแล้ว รู้ว่านี่คือสถานที่ที่ต้องควักเงินเพื่อโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า พอเข้าไป สอบถามพูดคุยกับคนที่โต๊ะคิดเงินอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าเรือข้ามฟากไปยังนครมังกรเฒ่ารอบที่เร็วที่สุดจะมาถึงตอนเที่ยงของวันนี้ ราคาของเรือระดับสูงคือยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ระดับกลางคือสิบเหรียญ เฉินผิงอันสอบถามราคาของเรือระดับล่าง บุรุษผู้นั้นอธิบายด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มแต่ใจไม่ยิ้มว่า เรือข้ามฟากของหยางจือถังที่เดินทางไปนครมังกรเฒ่า ราคาที่ถูกที่สุดคือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะซึ่งจะได้ห้องระดับกลาง ไม่มีระดับล่าง
ผู้คนรอบด้านที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็มีสายตาและรอยยิ้มดูแคลน เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขายหน้า เขาควักเงินเกล็ดหิมะออกมายี่สิบเหรียญเพื่อซื้อหยกประดับในการขึ้นเรือที่ด้านหน้าด้านหลังสลักคำว่า ‘หยางจือถัง’ ‘ห้องระดับสูงสืออี’ เฉินผิงอันเห็นคำว่าสืออีก็นึกถึงตราประทับที่ทิ้งไว้ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว รู้สึกว่าเป็นลางดี เป็นมงคลอย่างมาก เฉินผิงอันจึงหัวเราะเดินออกจากประตู ลองคำนวณเวลาดูแล้วก็เริ่มเดินเล่น คิดจะซื้อเสื้อผ้าสองชุด รองเท้าไม่ต้อง หลายปีมานี้สวมรองเท้าสานจนชินแล้ว อีกอย่างในวัตถุฟางชุ่นก็ยังมีรองเท้าใหม่เอี่ยมอยู่อีกสองคู่
แม้ว่าร้านบนถนนจะดูโอ่อ่ากว่ามาก แต่ของที่ขายไม่ได้แตกต่างจากร้านที่อยู่ตรงท่าเรือทางมังกรเดินสักเท่าไหร่ นั่นก็คือมีพวกภูตต้นไม้ดอกไม้อยู่เหมือนกัน แต่ราคาจะถูกกว่า ให้มองร้อยรอบเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกเบื่อเจ้าตัวน้อยที่ชวนให้ผู้คนชื่นชอบพวกนี้
เพียงแต่ว่าการที่เขาดูอย่างเดียวไม่ยอมซื้อกลับไม่ชวนให้ผู้คนชื่นชอบแล้ว เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ เข้านอกออกในร้านโน้นร้านนี้ จากนั้นเขาก็เจอร้านหนึ่งที่มีพวกผู้สูงศักดิ์อยู่กันเต็มห้องโถง เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูด้วยอาการอึ้งงันเล็กน้อย ที่แท้ตรงหน้าประตูใหญ่ก็วางฉากบังลมสูงเท่าตัวคนไว้อันหนึ่ง ด้านบนเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าสีม่วงทอง นางยืนอยู่บนริมหน้าผาทอดสายตามองทะเลเมฆไกลสุดลูกหูลูกตา ชายกระโปรงโบกสะบัด ล่องลอยสูงส่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งมวล
น่าจะคล้ายคลึงกับม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำบนเรือคุนที่ใช้เวทลับบนภูเขาคัดลอกออกมา
มีหลายคนที่กำลังยืนชี้ไม้ชี้มืออยู่ตรงหน้าฉากบังลม คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยการสมน้ำหน้า พูดถึงบุญคุณความแค้นหลายร้อยปีระหว่างสวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง พูดถึงเทพธิดาใหญ่ซูท่านนี้ที่ในอดีตเคยโดดเด่นเลิศล้ำ สูงส่งเหนือผู้ใด ครั้งเดียวในชีวิตที่นางยอมแหกกฎสวมอาภรณ์ซึ่งไม่ใช่ชุดของสำนักก็คือครั้งที่กำจัดปีศาจปราบมารต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรพบุรุษของร้านนี้โดยที่นางไม่รับค่าตอบแทนใดๆ และเมื่อสิบกว่าปีก่อนรูปแบบชุดกระโปรงที่นางยอมแหวกกฎสวมนี้ก็กลายมาเป็นที่นิยมทั่วทั้งเหนือและใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนหญิงหรือคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ คนนับร้อยนับพันต่างก็พากันสวมใส่ นั่นเป็นปรากฎการณ์ที่ต้องเรียกว่าคนตามกระแสเหมือนฝูงห่านที่วิ่งตามกันเป็นพรวน
มีหญิงสาวคนหนึ่งหัวเราะพรืด “ร้านนี้ยังไม่ยอมปลดฉากบังลมอันนี้ออก ก็คือเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่รู้ว่าหากซูเจี้ยมาเห็นด้วยตัวเองจะอับอายจนต้องขุดหลุมดำดินหนีไปเลยหรือไม่”
มีผู้ฝึกลมปราณหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าดำคร่ำเครียดเพราะอดทนอดกลั้นมานาน ในที่สุดก็เปิดปากด้วยความเดือดดาล ช่วยทวงความยุติธรรมให้กับเทพธิดาที่ตนเองเลื่อมใสมาเนิ่นนาน “ต่อให้ตบะของเทพธิดาซูจะถดถอยแค่ไหนก็ยังคงเป็นเทพเซียนแท้จริงที่บริสุทธิ์ไร้มลทินแปดเปื้อน พวกเจ้าหยุดพูดสาเสียดสีนางเสียที หากเทพธิดาซูมายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ แม้แต่ผายลม พวกเจ้าก็คงไม่กล้าปล่อย!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหัวเราะตาหยีพูดว่า “ก่อนหน้าที่ซูเจี้ยจะถูกหวงเหอลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าโจมตีจนสภาพจิตใจแหลกสลายอย่างสิ้นเชิง จะให้ข้าเลียพื้นรองเท้าเทพธิดาคนนี้ก็ยังได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ ต่อให้เทพธิดาซูเจี้ยมายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ ข้าก็ยังกล้ายื่นมือไปหยิกแก้มนาง ลูบเอวบางๆ ของนาง! จุ๊ๆ ไม่รู้ว่าจะให้สัมผัสเช่นไร…”
นักพรตหนุ่มหน้าแดงก่ำ โมโหจนสั่นไปทั้งตัว “ทำไมถึงมีคนชั่วร้ายเลวระยำแบบเจ้าได้!”
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ “ทำไมถึงมีได้? คำตอบง่ายมาก ลองไปถามพ่อกับแม่เจ้าดูสิ”
นักพรตหนุ่มกำมือสองข้างเป็นหมัดแน่น ดวงตาพ่นไฟจ้องเจ้าคนสารเลวผู้นั้นเขม็ง
บุรุษจุ๊ปากพูด “ทำไม? จะฆ่าข้าให้ตายงั้นรึ? มาสิ ฆ่าคนตายที่นี่ ฆาตกรไม่เพียงแต่ต้องติดคุก ยังถูกเอาเรื่องไปถึงสำนักด้วย มาๆๆ หากวันนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ตาย ก็จะไม่ถือว่าเจ้าชื่นชอบซูเจี้ยจริงๆ! หากเจ้าไม่ฆ่าข้าให้ตาย อีกเดี๋ยวข้าจะไปลูบภาพของเทพธิดาซูเจี้ยที่ฉากบังลมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย”
ชายวัยกลางคนเถียงคอเป็นเอ็น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยาบโลน
นักพรตหนุ่มหมุนตัวจากไปอย่างห่อเหี่ยว
—–