กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 253.4 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ
ชายฉกรรจ์รู้สึกสงสารอีกฝ่ายเล็กน้อย จึงกดเสียงลงต่ำ พูดอย่างจริงจังว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสู้ผู้ฝึกลมปราณไม่ได้ ฝ่ายหลังชอบที่จะรุดหน้าพันลี้ในวันเดียว พรสวรรค์น่าตกตะลึง หนึ่งวันฝ่าทะลุหนึ่งขอบเขตก็ยังได้ แต่ผู้ฝึกยุทธ์นั้นทำไม่ได้ ต่อให้มีพรสวรรค์ดีแค่ไหนก็ยังต้องก้าวเดินไปอย่างมั่นคง เดินขึ้นเขาไปทีละก้าว ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งรู้ดีว่าสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว แต่ก็ต้องพยายามระงับมันไว้อย่างสุดกำลัง ต้องค่อยๆ สาวดึงเอาสิ่งสกปรกในร่างกายและจิตวิญญาณออกไป ค่อยๆ ชดเชยกลับมาทีละนิดจนสมบูรณ์แบบ ตอนนี้สิ่งที่เจ้ากำลังทำ การที่ข้าต้องการให้บิดาของเจ้าช่วยต้มตัวยาให้เจ้า รวมไปถึงสร้างบ่อน้ำพุร้อนแห่งนั้นขึ้นมาล้วนคือการฝึกตนทั้งสิ้น และตอนนี้สิ่งที่จำเป็นสำหรับเจ้ามากที่สุดก็คือการฝึกตน ไม่ใช่รีบร้อนอยากเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณ”
สุดท้ายชายฉกรรจ์กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอทีเถอะ อะไรคือบิดาเจ้าให้มาถาม เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเจ้าร้อนใจเองแท้ๆ”
เด็กหนุ่มที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุขอยู่ในนครมังกรเฒ่ากระดากอายที่ถูกจับได้
การเลื่อนจากขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่ของผู้ฝึกยุทธ์เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ
ดังนั้นถึงได้เรียกว่าพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ ต้องดูที่พรสวรรค์ของตัวเองแทบทั้งหมด ต่อให้เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดก็ยังไม่สามารถชี้แนะได้ ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปดเดินทางไกลพอจะถ่ายทอดเส้นทางลัดให้ได้บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตแปดนั้นหาได้ง่าย แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ในแจกันสมบัติทวีปที่กว้างใหญ่มีอยู่แค่กี่คนกัน? น้อยจนนับนิ้วได้! แถมเกือบทุกคนล้วนถูกราชวงศ์ใหญ่พยายามสุดชีวิตที่จะซื้อใจดึงตัวให้ไปเป็นชนชั้นสูง ว่ากันว่านี่ยังเกี่ยวพันกับชะตาแห่งบู๊ของแคว้นที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้ด้วย ไหนเลยจะตกมาอยู่ที่นครมังกรเฒ่าได้? ถอยไปพูดอีกหมื่นก้าว ต่อให้มี ตระกูลฝูและตระกูลซุนมีเงินมากกว่าตระกูลของเขา ย่อมตกมาไม่ถึงตระกูลฟ่านแน่นอน
ชายฉกรรจ์ตบอกพูดรับรอง “เจ้าเด็กฟ่าน เจ้ารออีกหน่อย ขอแค่เจ้าไปถึงคอขวดของขอบเขตสามได้อย่างแท้จริงแล้ว ข้าย่อมลงมือเอง ไม่มีทางให้ตระกูลฟ่านของพวกเจ้าต้องเสียเงินเปล่า ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าไม่อยากฝ่าทะลุขอบเขตก็ยังทำได้ยาก”
เด็กหนุ่มมาที่ร้านด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่ออกไปจากตรอกด้วยสีหน้าสดชื่น
มีบุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองคอยติดตามเฝ้าคุ้มครองเขาอย่างลับๆ ไปตลอดทาง
ต้องรู้ว่าในวันที่เด็กหนุ่มถือกำเนิด เรือข้ามฟากนกกุ้ยฮวาลำหนึ่งก็ถูกยกให้เป็นชื่อของเขาแล้ว รอแค่วันที่เขาทำพิธีสวมกวาน (พิธีที่แสดงว่าเด็กชายเข้าสู่วัยหนุ่ม เหมือนพิธีปักปิ่นของเด็กสาว) ก็จะสามารถใช้ทรัพย์สมบัติอันมากไพศาลที่เพิ่มพูนขึ้นทุกปีเหล่านั้นได้แล้ว
พอเด็กหนุ่มจากไป พวกผู้หญิงในร้านก็หันมาพูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้ว ถามถึงชาติกำเนิดของเด็กหนุ่มคนนั้น ชายฉกรรจ์ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่งแล้วทำท่าขยุ้ม สายตามองผ่านหน้าอกของพวกนาง พูดด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ว่า “กฎเดิมของร้านยา พวกเจ้าคนใดยอมตัดใจลงทุนได้ ข้าผู้เป็นเถ้าแก่ก็จะบอกชื่อและฐานะของเด็กหนุ่มกับคนผู้นั้น ยังจะบอกด้วยว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน ชอบคนหุ่นอวบอั๋นหรือชอบแบบตัวเล็กบางกันแน่…”
พวกผู้หญิงไม่มีใครติดกับเขา
ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ลงทุนกับคนที่ตัวเองหมายตาไม่ได้งั้นหรือ ข้าล่ะเสียดายแทนพวกเจ้าจริงๆ”
พวกหญิงสาวแยกย้ายกันไปจับกลุ่มซุบซิบพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มนานแล้ว
ชายฉกรรจ์นอนแผ่อยู่บนเก้าอี้อย่างสบายตัว พูดกับตัวเองว่า “วาสนาเรื่องผู้หญิงของข้าเจิ้งต้าเฟิงแย่พอๆ กับความโชคดีของเจ้าเด็กแซ่เฉินในอดีตเลย พี่ลำบากน้องทุกข์ยาก พี่ลำบากน้องทุกข์ยากจริงๆ …”
เถ้าแก่ร้านยาที่ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิงคนนี้มาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยรับผิดชอบเฝ้าประตู คอยเก็บเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงจากคนที่มาเยือน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน อาจารย์ฝากคนให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้เขา บอกให้เขาเตรียมตัวช่วยเฉินผิงอันสลาย ‘ยันต์ลมปราณแท้จริงแปดตำลึง’ สี่แผ่นนั้น
แต่ช่วงท้ายของจดหมายก็บอกว่าหากเฉินผิงอันสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้เอง ก็ให้เขาเจิ้งต้าเฟิงช่วยรับรองว่าตอนที่เด็กหนุ่มอยู่ในนครมังกรเฒ่าจะพบเจอแต่ความราบรื่นปลอดภัย
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองตรอกเล็กนอกร้านแล้วพึมพำว่า “คนที่มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ในสายตาของคนทั้งโลกอย่างเจ้าเด็กตระกูลฟ่าน อย่างมากสุดก็คงแปะยันต์ปราณแท้จริงแค่ครึ่งตำลึงกระมัง? หาไม่แล้วร่างกายจะทนรับไม่ไหว เจ้าเด็กซื่อบื้อแซ่เฉินคนนั้นเพิ่งไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน กลับเปลี่ยนมาเป็นแกร่งกร้าวขนาดนี้แล้วรึ? ต่อให้เรื่องการฝึกหมัดนี้เริ่มนับจากตอนที่เขาเฉินผิงอันหัดเรียนวิชาการกำหนดลมหายใจ นี่มันก็แค่เพิ่งกี่ปีเอง?”
ชายฉกรรจ์เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “อาจารย์ท่านไม่ได้มองคนผิดจริงๆ ยังคงเป็นศิษย์พี่ที่รู้แจ้งได้มากกว่า ตอนนั้นข้าไม่เคยเห็นดีในตัวเฉินผิงอันเลย”
จู่ๆ เด็กสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าเกรี้ยวกราดก็หันมากรีดร้องเสียงแหลมใส่ชายฉกรรจ์ “เถ้าแก่เจิ้ง! หนังสือเล่มนั้นของข้าล่ะ คืนมาให้ข้า!”
เจิ้งต้าเฟิงกระแอมหนึ่งที ก่อนจะควักหนังสือออกมาจากสาบเสื้อ วางลงบนโต๊ะคิดเงิน
ใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำ “ยังมีอีก!”
เจิ้งต้าเฟิงจึงควักเอี๊ยมตัวในซึ่งเป็นของติดตัวของหญิงสาวออกมาจากหน้าอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เสื้อตัวในชิ้นนั้นถูกขยำเป็นก้อนอยู่ในมือเขา เขาวางลงด้านข้างหนังสือเบาๆ อธิบายอย่างวัวสันหลังหวะว่า “ห่อผ้าของเจ้าวางไว้อย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้น แถมยังมีมุมหนึ่งของหนังสือโผล่ออกมา ข้าเลยยิ่งอยากรู้ พอหยิบหนังสือมาแล้วก็เห็นว่าเสื้อเอี๊ยมค่อนข้างจะสกปรก เพราะความหวังดีเลยคิดจะช่วยเจ้าซักให้สะอาด…”
เด็กสาวที่สองแก้มแดงแปร๊ดเก็บเสื้อเอี๊ยมมาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบหนังสือตบลงไปบนหน้าของชายฉกรรจ์ พูดอย่างโมโหโทโส “คนลามก! อันธพาลโสมม!”
ชายฉกรรจ์หยิบหนังสือขึ้นมา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้าไม่ใช่สุภาพชนที่แท้จริง ต่อให้ข้าถูกหมิ่นเกียรติ แต่ก็เพราะว่าเจ้าหน้าตาดี ข้าจึงสามารถอภัยให้เจ้าได้ แต่เสื้อเอี๊ยมสกปรกแล้ว ความหวังดีที่ข้าคิดจะช่วยซักให้ เจ้าก็ไม่ควรมองข้ามนี่นา…”
ในร้านยามีเสียงหัวเราะดังครืนสอดแทรกมาด้วยเสียงสบถด่าของพวกสตรีแต่งงานแล้ว และเสียงบ่นอย่างไม่พอใจของพวกเด็กสาว
เจิ้งต้าเฟิงสอดมือสองข้างไว้ที่ท้ายทอย หัวเราะตาหยี
……
บริเวณใกล้เคียงกับสะพานไม้ใกล้หมู่บ้านแดนสวรรค์ที่ตระกูลซุนให้การปกป้องซึ่งอยู่นอกนครมังกรเฒ่า
เทพเซียนบนภูเขาทั้งสี่ท่านสลายค่ายกลแม่น้ำและภูเขาไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรให้มาดูเด็กหนุ่มต่างถิ่นโต้เถียงกับกลุ่มเด็กๆ ในหมู่บ้านก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ส่วนข้อที่ว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกกระบี่ที่อำพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหลอมร่างกายกันแน่ คนทั้งสี่ก็ยังเถียงกันไม่ได้ข้อสรุปที่ทำให้ทุกคนคล้อยตามได้ แต่ถึงอย่างไรทั้งสี่ท่านก็คือผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีความรู้กว้างขวาง นครมังกรเฒ่าคือสถานที่ที่ปลาและมังกรปะปนกันมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป เหล่าผู้มีความสามารถมากมายของสามทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกล้วนจำเป็นต้องผ่านที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนยินดีให้หน้าไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลฝูและห้าสกุลใหญ่ รับความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเอาไว้ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณทั้งสี่ท่านที่มีตบะสูงมากจึงไม่ได้มองเด็กหนุ่มเป็นผู้สูงส่งเทียมฟ้าสักเท่าไหร่
แต่ทุกคนล้วนคิดเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้นว่า แขกที่ซุนเจียซู่พามาที่บ้านบรรพบุรุษคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ต้องเป็นเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่มาเยือนที่แห่งนี้ เด็กหนุ่มอาจกลายเป็นวัยกลางคน ขอบเขตโอสถทอง เป็นคนรุ่นเดียวกับพวกเขาแล้วก็ได้ หรือไม่ก็อาจเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด มีหวังว่าจะสามารถใช้เรือนกายที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ต้านทานวิถีสวรรค์ สามารถทะยานลมเดินทางไกล เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายมาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่พวกเขาทั้งสี่คนต้องไปรับรองด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นแค่สหายของซุนเจียซู่อย่างเดียวเท่านั้น
ริมแม่น้ำ กลุ่มเด็กที่มีมือกระบี่น้อยสองคนเป็นผู้นำเริ่มยั่วยุให้เฉินผิงอันแสดงวิชากระบี่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือมือกระบี่ที่เดินทางอยู่ในยุทธภพ ไม่ใช่แค่นักต้มตุ๋นในยุทธภพที่ผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าแสร้งเป็นวีรบุรุษเท่านั้น
ตอนแรกเฉินผิงอันแค่นึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองเป็นเด็ก จึงหยอกล้อเล่นสนุกกับพวกเด็กๆ กลุ่มนี้
ภายหลังพบว่าแม้พวกเด็กๆ จะอายุยังน้อย บริสุทธิ์ไร้เดียงสา อีกทั้งยังไม่เคยรู้จักนครมังกรเฒ่าอย่างแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยุทธภพหรือมือกระบี่อะไรทั้งนั้น
แต่ความรู้สึกบางอย่างของพวกเขากลับเป็นของจริง ยกตัวอย่างเช่นเด็กชายที่ถือกระบี่ไม้ไผ่คนนั้น แม้ปากจะพูดเสียดสี แต่จุดลึกในดวงตาที่มองเฉินผิงอันกลับแฝงความหวังไว้เสี้ยวหนึ่ง หวังว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเหมือนหนังสือภาพคนตัวจิ๋วที่อาศัยเวทกระบี่เอาชนะคนชั่วร้าย
ส่วนเด็กชายที่ถือกระบี่ไม้กลับคาดหวังอย่างยิ่งว่าตัวเองจะได้กราบไหว้ยอดฝีมือเป็นอาจารย์ เขาถึงขั้นคิดจะโขกหัวจุดธูปเรียบร้อยแล้วด้วย รอแค่ ‘ใต้เท้า’ สะพายกระบี่ในสายตาของเขาผู้นี้ชักกระบี่ออกจากฝักเท่านั้น
เด็กคนอื่นๆ ที่เหลือก็เบิกตากว้างมองมา รอให้เฉินผิงอันสำแดงฝีมือ ตอนกลับบ้านไปกินข้าวจะได้โม้ให้พ่อแม่ฟัง
เฉินผิงอันเกาหัว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองแสดงให้ดูสักครั้ง?”
เด็กทุกคนพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกข้าวสารอย่างพร้อมเพรียงกัน เด็กชายที่ถือกระบี่ไม้ไผ่ยังไม่ลืมบ่นเพื่อกระตุ้นเขาว่า “ชักช้าอืดอาด ไม่รวดเร็วฉับไวเอาเสียเลย แค่มองข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นนักต้มตุ๋น กลัวว่าจะเผยพิรุธสินะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เตรียมจะยื่นมือไปปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตามจิตใต้สำนึก แต่คิดดูแล้วก็ดึงมือกลับมา ไม่ดื่มเหล้าแล้ว
เขาหันหน้าไปมองฝั่งตรงข้าม พื้นผิวน้ำกว้างสี่จั้ง
เฉินผิงอันหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับแม่น้ำสายนั้น “พวกเจ้าดูให้ดีล่ะ”
กลุ่มเด็กมองตาไม่กะพริบ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่จะทำอะไรกันแน่
เฉินผิงอันกระโดดลอยตัวอยู่ตรงจุดเดิมอยู่สองครั้ง สะบัดขาเตรียมความพร้อม
ขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ถูกเรียกว่าพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ
ตอนนี้เฉินผิงอันลืมคำกล่าวข้อนี้ไปแล้ว
เฉินผิงอันค่อยๆ ยกมือขึ้น เอ่ยเตือนอีกครั้ง “ดูให้ดีนะ?”
พวกเด็กๆ พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงกัน
เฉินผิงอันเอื้อมมืออ้อมผ่านไหล่ คว้าจับกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ในกล่องไม้
ชักกระบี่ออกมาในชั่วพริบตาแล้วโยนไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโดยใช้การกะน้ำหนักของผู้ฝึกยุทธ์ หลังจากที่กระบี่ไม้ไหวหมุนตัวกลางอากาศก็กลายเป็นปลายกระบี่ชี้ไปทางฝั่งตรงข้าม ตัวกระบี่แล่นตรงไปข้างหน้า แต่ความเร็วไม่มากนัก
“ไปล่ะนะ!”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ร่างก็พุ่งออกไป เท้าทั้งสองข้างทยอยกันเหยียบลงบนตัวของกระบี่ไม้
ตอนแรกยังส่ายโอนเอนอยู่บ้าง พอยืนมั่นคงแล้ว เด็กหนุ่มก็เหยียบกระบี่ทะยานลมข้ามแม่น้ำไป
ว้าว!
คือเทพเซียนมือกระบี่ ไม่ใช่นักต้มตุ๋นจริงๆ ด้วย!
เด็กแต่ละคนมองกันตาค้างอ้าปากกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส
สุดท้ายเฉินผิงอันที่เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำขยับเท้าออกไปด้านข้าง บังคับกระบี่ให้พุ่งไปเหนือคันดินขนาดเล็กบนฝั่งตรงข้ามก่อน จากนั้นค่อยลดระดับกระบี่ไม้ไหวลง
เขายืนอยู่ท่ามกลางดอกน้ำมันสีเหลืองอร่าม บริเวณใกล้เคียงกับเท้าทั้งสองข้างมีลมปราณแท้จริงที่มองไม่เห็นหลายกลุ่มแตกสลายและหายวับไป
ในใจเฉินผิงอันสั่นสะท้านไม่หยุด เขาเองก็ตกตะลึงไม่ต่างจากพวกเด็กๆ เหมือนกัน แต่จากนั้นเขาก็หันหน้าไปยกนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองให้พวกเด็กๆ ดู พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าชื่อเฉินผิงอัน คือมือกระบี่คนหนึ่ง!”
เฉินผิงอันโยนกระบี่ไปทางบ้านบรรพบุรุษสกุลซุนด้วยพละกำลังมหาศาล เป็นเหตุให้กระบี่ไม้ทะยานไปอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันกระโดดตัวไล่ตามไปอีกครั้ง เหยียบกระบี่ทะยานลมในครั้งนี้เขาทำได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย
ในที่สุดก็มีลักษณะของเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่แท้จริงนิดๆ แล้ว
หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ข้ามผ่านแม่น้ำไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันเหยียบบนกระบี่ ยกมือสองข้างกอดอก หลับตาลง เชิดหน้าขึ้นสูง รับสัมผัสกับความมหัศจรรย์บางอย่างระหว่างฟ้าดินที่ไหลวนไปทั่วร่างเงียบๆ
รับลมเย็นที่โชยมาปะทะใบหน้า เฉินผิงอันรู้สึกสบายไปทั้งร่าง เดิมทีก็เป็นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นขอบเขตสี่แล้ว
—–