กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 254.1 คนหนึ่งส่งกระบี่ คนหนึ่งรอ
ร้านยาฮุยเฉินเหมือนเด็กขี้ขลาดที่หลบซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของตรอกเล็ก นอกจากหญิงสาวขายาวและคำพูดชวนอาเจียนจากเถ้าแก่แล้ว อันที่จริงตลอดทั้งวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำมากนัก กิจการซบเซา บางครั้งแม้แต่พวกผู้หญิงก็ยังไม่เข้าใจว่าจะจ่ายเงินจ้างพวกนางมาทำอะไร หากจะบอกว่าเถ้าแก่ที่เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ผู้นั้นมือไม้ไม่อยู่สุขหวังแต๊ะอั๋งพวกนาง ก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่อันที่จริงถึงแม้ชายฉกรรจ์จะปากเปราะ สายตามองคนราวกับจะกลืนกิน แต่ไม่เคยฉวยโอกาสลวนลามพวกนางเลยสักครั้ง นี่จึงทำให้พวกนางค่อนข้างจะสับสน แต่ในเมื่อเงินเดือนของทุกเดือนไม่เคยขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว พวกนางก็เต็มใจที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปในร้านยาแห่งนี้ ถึงอย่างไรการที่ปล่อยให้เถ้าแก่คนนั้นมองทุกวัน เนื้อบนร่างก็ไม่ได้หายไป ทำงานอยู่ที่นี่ได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องเป็นทุกข์กับเรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ของที่บ้านแต่ละคนก็ดีขึ้นมาก พวกหญิงสาวยังกลัดกลุ้มที่ตัวเองน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาสองสามจินด้วยซ้ำ
วันนี้เจิ้งต้าเฟิงได้รับข่าวอีกข่าวหนึ่ง คนที่มาถ่ายทอดข้อความคือเทพหยินที่ออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาพร้อมกับเขา ไม่ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะพยายามพูดแทรกเพื่อให้ขบขัน หรือเรียกอีกฝ่ายเป็นพี่เป็นน้องอย่างไร เทพหยินก็แค่แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ไม่เปิดเผยความลับของตัวเองออกมาแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้จนถึงตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงก็ยังวิเคราะห์ตบะและขอบเขตของเทพหยินไม่ได้
ผู้เฒ่าบอกให้เทพหยินนำความมาบอกเจิ้งต้าเฟิงสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึงของเฉินผิงอันสลายไปแล้ว ไม่ต้องให้เขาเจิ้งต้าเฟิงช่วยลงมือกำจัดให้แล้ว เรื่องที่สองคือผู้ถ่ายทอดมรรคาและผู้ปกป้องมรรคาต่างก็อยู่ในนครมังกรเฒ่า ให้เขาสังเกตดู
เรื่องแรกไม่ได้สำคัญอะไร สำคัญคือเรื่องที่สองต่างหาก ผู้เฒ่ากล่าวอย่างคลุมเครือมาก เจิ้งต้าเฟิงคิดจะซักถามต่อ เทพหยินที่มียันต์อยู่ติดกายก็หายตัวไปแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ จึงนั่งเหม่ออยู่บนธรณีประตูของร้านยา เดิมทีอาจารย์และผู้ถ่ายทอดมรรคาก็เป็นปมในใจของเจิ้งต้าเฟิงอยู่แล้ว ผู้เฒ่ายอมรับว่าตัวเองคืออาจารย์ของเขาและศิษย์พี่หลี่เอ้อร์ แต่ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับพวกเขาสองคน แต่กลับบอกให้หลี่หลิ่วบุตรสาวของหลี่เอ้อร์รับเขาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา ส่วนสถานะของผู้พิทักษ์มรรคา ตอนนี้ถือว่าเจิ้งต้าเฟิงคือผู้พิทักษ์มรรคาของหนุ่มตระกูลฟ่าน ต้องรับประกันว่าเจ้าเด็กนั่นจะสามารถฝ่าคอขวดของขอบเขตสามวิถีวรยุทธ์ไปได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นยังต้องช่วยเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านให้เดินไปสู่ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวด้วย
และท่าทีที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันก็ยิ่งทำให้คนเดาทางไม่ถูก แต่มีข้อหนึ่งที่เจิ้งต้าเฟิงมั่นใจได้ นั่นคือเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงเป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมายมากมายที่อาจารย์ของตนเดิมพันไว้เท่านั้น น้ำหนักเทียบกับหม่าขู่เสวียนที่ได้รับการดูแลจากสวรรค์และหลี่หลิ่วที่เกิดมาก็ตระหนักรู้เข้าใจหลักการไม่ติด วิธีการกำหนดลมหายใจที่ผู้เฒ่าเคยถ่ายทอดให้เฉินผิงอัน อันที่จริงเป็นวิธีการที่เรียบง่ายผิวเผินมาก ไม่ถือเป็นวิชาชั้นเยี่ยมของวิถีวรยุทธ์อะไร เจิ้งต้าเฟิงเดาเอาว่าบางทีอาจเป็นเพราะหลายปีมานี้เฉินผิงอันรุดหน้าไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์อย่างน่าตกตะลึง ตอนนี้เปลี่ยนจากขอบเขตหลอมเรือนกายมาเป็นหลอมลมปราณ ดังนั้นผู้เฒ่าจึงเริ่มวางเดิมพันลงข้างเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เจิ้งต้าเฟิงขมวดคิ้วคิดหนัก “หรือว่าจะให้ข้าเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา หรือไม่ก็เป็นผู้พิทักษ์มรรคาให้กับเฉินผิงอัน? ในอดีตท่านผู้เฒ่าเคยให้ใครทำเรื่องแบบนี้บ้าง แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นให้ใคร เป็นกี่ปี เป้าหมายที่ต้องรับผิดชอบเป็นผู้พิทักษ์มรรคาต้องมีขอบเขตเท่าไหร่ถึงจะสิ้นสุด ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่เคยปิดบังอำพรางแบบนี้มาก่อน”
เจิ้งต้าเฟิงยกสองมือกุมหัว ถอนหายใจอย่างจนใจ “อีกอย่างดวงของข้ากับเฉินผิงอันก็ไม่สมพงศ์กัน เด็กหนุ่มนิสัยคร่ำครึที่ไม่เข้าใจอารมณ์รักใคร่แบบนั้น ข้าชอบไม่ลงจริงๆ เห็นได้ชัดว่าให้หลี่เอ้อร์เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเฉินผิงอันถึงจะเหมาะสมที่สุด อาจารย์ ท่านผู้อาวุโสคิดอะไรอยู่กันแน่ ช่วยพูดให้มันชัดเจนไปเลยได้หรือไม่? บอกว่าให้เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเขาปีครึ่งปีก็ยังดี เพราะทนๆ เอาหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่หากจะให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา นั่นไม่เท่ากับจะเอาชีวิตของข้าหรอกหรือ”
เด็กสาวนิสัยร่าเริงคนหนึ่งที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างธรณีประตูเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่ มีเรื่องกลุ้มใจหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปชำเลืองมองทิวทัศน์ตรงหน้าอกของนางที่ค่อนข้างแบนราบ แล้วกล่าวเสียงหนักใจว่า “เสี่ยวเหอเอ๋ย ต้องตามให้ทันนะ จะขายาวอย่างเดียวไม่มีเนื้อไม่ได้”
เดิมทีเด็กสาวก็เป็นคนใจกล้าอยู่แล้ว อีกทั้งอยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้ คำพูดสกปรกลามกได้ยินมาจนหูแทบแฉะแล้ว นางจึงแทะเมล็ดแตงต่อแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “คิดจะให้ข้ามีเนื้อเพิ่มขึ้น ก็ต้องกินให้มากขึ้น แต่เงินเดือนทุกเดือนของร้านยามีน้อยนิดแค่นั้น ข้าเองก็อยากให้ตรงนั้นเด่นชัดสักหน่อย แต่เงินในกระเป๋าไม่เป็นใจ ข้าจะทำยังไงได้? เถ้าแก่ แอบขึ้นเงินเดือนให้ข้าสิ? ข้ารับรองว่าจะไม่บอกพวกนาง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ปากช่างจ้อของเจ้าเก็บความลับอะไรไม่ได้หรอก หากข้าเพิ่มเงินเดือนให้เจ้า วันต่อมาทุกคนต้องมาขอเพิ่มเงินเป็นแน่ เจ้าคิดว่าเงินของข้าหล่นลงมาจากฟ้าหรืออย่างไร ต้องเลี้ยงพวกเจ้าทั้งสาวน้อยสาวใหญ่หลายคนขนาดนี้ มันลำบากมากรู้หรือไม่?”
เด็กสาววางก้นนั่งทับธรณีประตู จงใจเหยียดขายาวทั้งสองข้างออกไปนอกประตู เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่ ถนนข้างๆ ไม่ใช่ว่ามีพี่สาวคนหนึ่งหลงรักท่านหรอกหรือ นางอวบอิ่มขนาดนั้น ไม่ใช่แบบที่ท่านชอบที่สุดหรือไง ทำไมไม่รับปากนางไปเล่า? ตรงนี้ของนาง…มีแต่เนื้อเน้นๆ พวกเราที่อยู่ในร้าน ไม่มีใครสู้นางได้สักคน”
เด็กสาวโยนเมล็ดแตงแล้วใช้สองมือมารองดันตรงหน้าอก
เจิ้งต้าเฟิงแยกเขี้ยว โบกมือไล่คน “เป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องน่าอายให้มันน้อยๆ หน่อย ระวังวันหน้าจะขายไม่ออก รีบกลับเข้าร้านไปกวาดพื้นซะ!”
เด็กสาวไม่ยอมขยับ กล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ร้านของพวกเราชื่อว่าร้านยาฮุยเฉิน (ฝุ่นผง) ถ้ากวาดจนสะอาดเอี่ยมคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงเถียงเอาชนะเด็กสาวไม่ได้ จึงขยับขานั่งไขว่ห้าง สอดสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้า
คนอื่นมองทะเลเมฆผืนนั้นไม่ออก เขาที่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดกลับมองออก
เหนือสมบัติอาคมขึ้นไปคืออาวุธเซียน
แต่สำนักที่ในชื่อมีคำว่าสำนักของแจกันสมบัติทวีป เดิมทีก็น้อยเหมือนขนหงส์เขากิเลนอยู่แล้ว อาวุธเซียนก็ยิ่งหาได้ยาก ยากแค่ไหน? ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด สำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำระบบเต๋าของหนึ่งทวีป เพราะฉีเจินเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวินถึงได้รับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาจากสำนักต้นกำเนิดที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ดังนั้นอาวุธกึ่งเซียนที่อยู่ห่างจากอาวุธเซียนอีกระดับใหญ่ แต่กลับเหนือกว่าสมบัติอาคมระดับหนึ่งจึงกลายมาเป็นสิ่งของที่เหล่าผู้ฝึกลมปราณปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
ตอนนี้นครมังกรเฒ่ามีอยู่สี่ชิ้น สองชิ้นบรรพบุรุษของตระกูลฝูได้ครอบครอง ล้วนเป็นสมบัติสำคัญที่ใช้ในการโจมตี ชิ้นที่ซื้อมาใหม่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคือสมบัติสำคัญที่ใช้ในการป้องกันพิทักษ์นครเสียมากกว่า มีเพียงทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครผืนนั้นที่นครมังกรเฒ่าป่าวประกาศแก่คนนอกว่าตระกูลฝูเป็นผู้ครอบครอง ทว่าแท้จริงเป็นอย่างไร จะใช่ไม้ตายของตระกูลฝูจริงๆ หรือไม่ ก็บอกได้ยาก ส่วนศึกระหว่างธรรมะและอธรรมเมื่อแปดร้อยปีก่อนที่บอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งมานอนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ พอนางตื่นขึ้นมาก็บังคับอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นให้สังหารฝ่ายมาร หลอกผีไปเถอะ หากจะให้มีพลานุภาพค้ำฟ้าอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องมีครบถ้วนทั้งสองอย่าง หนึ่งคือทะเลเมฆเหนือนครต้องไม่ใช่แค่อาวุธกึ่งเซียน สองคือคนที่ใช้มันต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน
เด็กสาวมองใบหน้าด้านข้างของชายฉกรรจ์ แล้วถามด้วยความใคร่รู้ “เถ้าแก่ ท่านมองอะไรน่ะ?”
เจิ้งต้าเฟิงพยายามเบิกตากว้างแหงนหน้ามองไปพลางตอบคำถามของเด็กสาวเสียงเบาว่า “ดูว่าจะมีเซียนสาวรูปร่างหน้าตางดงาม สวมเสื้อผ้าบางๆ ทะยานลมบินผ่านมาหรือไม่”
เด็กสาวมองค้อน “มองๆๆ ระวังเซียนสาวจะฉี่ใส่หัวเข้าให้ล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “นั่นก็ไม่เท่ากับเป็นฝนรสหวานหลังจากแห้งแล้งมานานหรอกหรือ”
เด็กสาวลุกขึ้นยืน “น่าขยะแขยง!”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เด็กสาวเพิ่งจะข้ามธรณีประตูมาก็พลันหันหน้าไปถาม “เถ้าแก่ ช่วยร้องบทเพลงของบ้านเกิดที่ท่านขับร้องเมื่อคราวก่อนอีกครั้งได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้าอย่างแรง “นั่นมันความสามารถก้นกุรที่ข้าเอาไว้ใช้ชนะใจสาวๆ จะเอามาแสดงกันง่ายๆ ได้อย่างไร ไปๆๆ ไปทำงานของเจ้านู่น”
เด็กสาวเอ่ยเบาๆ “ร้องสักหน่อยสิ ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะเป็นภรรยาของท่านนะ?”
ดวงตาเจิ้งต้าเฟิงเป็นประกาย เตรียมจะลุกขึ้นยืน เด็กสาวก็นั่งกลับลงไปที่ธรณีประตูแล้ว นางหันหน้ามามองชายฉกรรจ์ด้วยสีหน้าเสียดาย “เถ้าแก่ เรื่องนี้ท่านก็เชื่อด้วยหรือ วันหน้าคงยากจะแต่งเมียเป็นแน่”
เจิ้งต้าเฟิงนั่งแปะกลับลงไปที่เดิม เงียบไปครู่หนึ่งก็เริ่มผิวปาก ทำนองยังคงเป็นทำนองของบทเพลงบ้านเกิด เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่มีเนื้อร้อง
เด็กสาวค้อมตัวลง ยกสองมือเท้าคาง ตั้งใจฟังเสียงผิวปาก ถึงอย่างไรบทเพลงที่เถ้าแก่ร้องก่อนหน้านี้ก็เป็นภาษาของบ้านเกิดเขา นางเองก็ฟังไม่เข้าใจ
ดวงจันทร์วันที่หนึ่งเป็นเสี้ยวโค้งงอ ดวงจันทร์วันที่สิบห้ากลมเต็มดวง ฟังยายเล่าว่า กินขนมเปี๊ยะ โบกมือให้กับดวงจันทร์ก็จะไม่เหลือความทุกข์ร้อนใจ
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย ลมฤดูใบไม้ร่วงส่ายไหว ฟังยายเล่าว่า มะเขือเทศสีแดงสดปลั่งห้อยย้อยเต็มกิ่งไม้ สะดุดล้มจนเจ็บก็ไม่ต้องกังวล มะเขือเทศบรรจุอยู่เต็มตะกร้า
ก้อนเมฆสีดำมา ก้อนเมฆสีดำไป ฟังยายเล่าว่า หลังฝนตกจะมีสายรุ้งพาดผ่านขอบฟ้า คือหอสูงที่เทพเซียนสร้างขึ้นมาบนสวรรค์…
……
นครมังกรเฒ่ากำลังจะมีงานเลี้ยงฉลองที่น่ายินดีเกิดขึ้น นายน้อยฝูหนันหัวกำลังจะแต่งงานกับหลานสาวสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน
สกุลเจียงอวิ๋นหลินคือหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์ที่มีประวัติยาวนานที่สุดของแจกันสมบัติทวีป เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาล ลัทธิขงจื๊อเพิ่งจะได้เป็นระบบหลักของใต้หล้าไพศาล อยู่ในช่วงรอการฟื้นตัวจากความเสียหาย เป็นช่วงแรกเริ่มสุดที่หลี่เซิ่งกำหนดกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อ สกุลเจียงเคยมีคนได้เป็นขุนนางตำแหน่งต้าจู้ (ขุนนางที่ทำหน้าที่หลักในการเซ่นไหว้บวงสรวง) หลายคน จากที่บันทึกไว้ใน ‘ต้าหลี่ชุนกวาน’ พวกเขาถือเป็นหนึ่งในหกขุนนางสวรรค์ใหญ่ทัดเทียมตำแหน่งต้าสื่อ (เอกอัครราชทูต) และต้าจ่าย (อัครเสนาบดี) ทำหน้าที่รับผิดชอบเขียนบทอวยพรต่างๆ
สกุลเจียงอวิ๋นหลินตั้งอยู่ที่ชายหาดมหาสมุทรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ประตูจวนที่หันหน้าเข้าหาทะเลมีถนนสายหนึ่งที่กว้างใหญ่มาก ระยะทางยาวถึงสามร้อยกว่าลี้ ตรงเข้าไปถึงมหาสมุทร สุดท้ายใช้โขดหินขนาดใหญ่ตามธรรมชาติมาทำเป็นประตู มีความหมายให้รวมกับทะเลบูรพา เปี่ยมไปด้วยพลังของความมีชีวิตชีวา
ท่ามกลางระยะเวลาอันยาวนานหลังย้ายจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาสู่แจกันสมบัติทวีป สกุลเจียงเริ่มเปลี่ยนจากอาชีพขุนนางฝ่ายบุ๋นมาเป็นพ่อค้า ท่ามกลางมรสุมที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในตระกูล พวกเขาก็ยังสามารถหยัดยืนตระหง่านไม่ล้มลง กลายเป็นตระกูลร่ำรวยที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับแคว้นได้อย่างสมชื่อ ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อสองตระกูลเลือกที่จะแต่งงานเกี่ยวดองกัน จึงกลายมาเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป มีคนอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้สินสอดของตระกูลฝูคืออะไร แล้วก็มีคนสงสัยว่าสินเจ้าสาวของตระกูลเจียงคืออะไร จะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรือไม่ รวมไปถึงพวกตระกูลเซียนบนภูเขาที่สนิทกับตระกูลฝูมาหลายรุ่นหลายสมัยจะเอาของมีค่าอะไรมาเป็นของขวัญอวยพร ดังนั้นสองเดือนมานี้จึงมีผู้ฝึกตนบนภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยากร่วมความครึกครื้นหลั่งไหลมาที่นครมังกรเฒ่า บวกกับที่มีข่าวลือว่าสตรีสกุลเจียงคนนั้นหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ก็ยิ่งชวนให้คนจินตนาการไปไกล
ฝูหนันหัวที่แต่ไหนแต่ไรมามีชื่อเสียงว่าคบหาผู้คนหลากหลายกว้างขวางมากที่สุดของนครมังกรเฒ่า หลังกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่ทางเหนือก็เปลี่ยนมาเป็นคนเก็บตัวสันโดษ แม้จะไม่ถึงขั้นปิดประตูไม่ต้อนรับแขก แต่นอกจากเพื่อนเก่าแก่อย่างพวกซุนเจียซู่ที่สามารถมาพบหน้าเขาที่บ้านเป็นบางครั้งได้แล้ว ฝูหนันหัวกลับไม่ได้คบหาสหายคนใหม่อีก เขาอยู่ในตระกูลฝูตลอดเวลา สถานที่หาความสำราญหลายแห่งด้านนอกที่มีชื่อเสียงดังไปครึ่งทวีป นายน้อยท่านนี้ก็ไม่เคยไปปรากฏตัวมาก่อน
แต่วันนี้ฝูหนันหัวกลับออกจากที่พักเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของนครฝูเพียงลำพัง บนศีรษะสวมกวานสูง สวมชุดคลุมยาวสีหยกขาว ตรงเอวห้อยหยกประดับรูปมังกรสีเขียวปลั่งราวกับจะสามารถเค้นน้ำให้หยดได้ นอกจากสีหน้าหนักแน่นแล้ว นายน้อยคนนี้ยังมีความหงอยเหงาเศร้าซึมอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยปณิธานอย่างตอนที่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ช่วงนี้มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือนนครฝูไม่ขาดสาย ต่อให้ในด้านการรับรองแขก ตระกูลฝูอาจจะมีประสบการณ์มากว่าราชสำนักของหนึ่งแคว้น แต่เนื่องด้วยผู้คนมีล้นหลามก็คงเกินว่าจะรับมือไหว
—–