กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 254.3 คนหนึ่งส่งกระบี่ คนหนึ่งรอ
สุดท้ายอาจารย์ฉียังแนะนำตำราของนักปราชญ์และอริยะบางส่วนให้แก่นาง บอกว่าการฝึกตนบนภูเขา ฝึกพละกำลังย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ฝึกวิชาคาถาก็ยิ่งฝึกมากยิ่งมีประโยชน์ หากฝึกหลายๆ ด้านจนรวบรวมกลายเป็นแก่นสำคัญได้ในแต่ละด้านก็ยิ่งดี แต่การฝึกจิตใจก็สำคัญมากเหมือนกัน การที่ให้นางอ่านหลักการในหนังสือทั้งหลายเหล่านั้น หาใช่ให้นางไปเป็นอริยะไม่ แต่หากสภาพจิตใจของคนเป็นดั่งผืนนาก็จำเป็นต้องมีต้นกำเนิดของแหล่งน้ำ พืชผลถึงจะอุดมสมบูรณ์ การฝึกบำเพ็ญตนถึงจะถือว่าเป็นการบำเพ็ญตบะเพื่อความเป็นอมตะอย่างแท้จริง…
สุดท้ายตอนออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู ไช่จินเจี่ยนยังคงเป็นไช่จินเจี่ยนที่มีปณิธานยาวไกล แต่ก็ไม่ใช่เทพธิดาของภูเขาเมฆาเรืองที่รู้สึกว่าฝึกตนก็เพื่อเพิ่มตบะให้ตัวเองอย่างเดียวเท่านั้นอีกต่อไป
ก่อนจะจากมา ไช่จินเจี่ยนปลุกความกล้าสอบถามอาจารย์ว่าทำไมถึงต้องช่วยคนแบบตน
อาจารย์ฉีท่านนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยเจ้า ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้ แต่กลับเป็นหลักการของข้าฉีจิ้งชุน”
ไช่จินเจี่ยนถามอีกว่าเหตุใดถึงเต็มใจสอนหลักการของอริยะปราชญ์ให้แก่คนอย่างนาง
อาจารย์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ่ายทอดวิชาความรู้ สามารถไขข้อข้องใจได้ข้อหนึ่งก็คือข้อหนึ่ง หลักการที่ถูกต้องในหนังสือ สามารถอธิบายได้ข้อหนึ่งก็คือข้อหนึ่ง”
ไช่จินเจี่ยนกลับไปที่ภูเขาเมฆาเรือง ต่อให้ปัญหายากๆ และข้อข้องใจในการฝึกตนจะไม่มีอยู่แล้ว แต่กระนั้นนางก็ยังไม่รีบร้อนที่จะทำให้ขอบเขตของตัวเองสูงขึ้น เพียงแค่อ่านหนังสือที่อาจารย์ฉีแนะนำให้ครบหนึ่งรอบ ครุ่นคิดไตร่ตรองตามถ้อยคำของอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า
คนนอกรู้สึกว่านางละทิ้งการฝึกตน ตัวไช่จินเจี่ยนเองกลับไม่คิดเช่นนั้น
ภายหลังอาจารย์ของนางมาเล่าให้ฟังว่าอาจารย์ฉีท่านนั้นตายแล้ว ใช้กำลังของคนคนเดียวต้านทานเซียนบนสวรรค์หลายท่านอยู่เหนืออาณาเขตทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป สุดท้ายแหลกสลายกลายเป็นผุยผง บนโลกนี้ไม่มีฉีจิ้งชุนอีกต่อไป
ไช่จินเจี่ยนไม่ได้รู้สึกรวดร้าวปานจะขาดใจอะไร แค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากนั้นมานางก็เริ่มวางตำราลงและกลับมาฝึกตนอีกครั้ง เพียงไม่นานก็ฝ่าทะลุขอบเขตหนึ่งได้สำเร็จ แต่นางจงใจระงับขอบเขตของตนเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้สร้างความตกตะลึงแก่คนทั้งโลกมากเกินไป ครั้งนี้นางถึงได้มีโอกาสมาเผยตัวที่นครมังกรเฒ่า
โชคลาภและหายนะที่เคียงคู่กันมานี้ ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากการพบปะกันในเส้นทางแคบๆ ของตรอกหนีผิงครั้งนั้นทั้งสิ้น
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วล้วนอยู่ที่ตนซึ่งตอนนั้นหลงเดินทางผิดคิดทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้น
และเห็นได้ชัดว่าท่าทางที่อาจารย์ท่านนั้นมีต่อเด็กหนุ่มไม่เหมือนกับท่าทีที่อริยะคนหนึ่งมีต่อชาวบ้านต่ำศักดิ์ซึ่งทุกเรื่องต้องใช้กฎเกณฑ์เป็นบรรทัดฐาน แต่กลับเหมือนผู้ใหญ่ที่ปกป้องผู้น้อยอย่างที่แทบจะไม่สนใจกฎเกณฑ์เลยด้วยซ้ำ
เพราะหากตนตายอยู่ในตรอกเล็ก สถานการณ์ที่วิถีสวรรค์จะย้อนกลับมาโจมตีและผลกรรมของทางศาสนาพุทธอาจจะไปตกอยู่ที่ตัวของเด็กหนุ่มคนนั้น
และการที่อาจารย์ฉีถ่ายทอดความรู้ ไขข้อข้องใจให้นางหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก คงเป็นเพราะเขารู้สึกว่านางยังพอมีทางเยียวยา ดังนั้นอาจารย์ท่านนั้นจึงเต็มใจจะสอน
ไช่จินเจี่ยนคิดเรื่องราวมากมายที่เมื่อก่อนตนไม่เคยคิดตกได้อย่างกระจ่างแจ้ง จิตใจปลอดโปร่ง กำจัดฝุ่นผงสิ่งสกปรกทั้งหมดจนสะอาดเอี่ยม และภูเขาเมฆาเรืองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความคิดมากที่สุด นางจึงฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว
มาอยู่ในจวนหลงซิ่งของว่าที่เจ้านครมังกรเฒ่า ไช่จินเจี่ยนไม่ได้สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป แต่จู่ๆ นางกลับยิ้มอย่างเข้าใจว่า “ฝูหนันหัว การเป็นพันธมิตรครั้งแรกของพวกเรามีจุดจบอเนจอนาถ การเป็นพันธมิตรครั้งที่สองในวันนี้ เจ้าและข้ามาลองเดิมพันกันอีกสักครั้งดีไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้าสามารถสวมชุดคลุมมังกรเฒ่า ข้าสามารถได้ขึ้นเป็นเจ้าภูเขา เป็นไง? ตอนนี้ข้าสามารถรับปากได้ว่า ขอแค่ข้าได้กุมอำนาจใหญ่ของภูเขาเมฆาเรือง จะไม่แบ่งขายหินรากเมฆทั้งหมดให้กับอีกห้าตระกูลของนครมังกรเฒ่าอีก แต่จะขายให้ตระกูลฝูของเจ้าเพียงแห่งเดียว! และก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะแจ้งอาจารย์ให้พยายามเพิ่มปริมาณขายแก่เรือปลาวาฬกลืนสมบัติให้สูงขึ้น”
ฝูหนันหัวรู้สึกทำอะไรไม่ถูก สงสัยว่าจะมีกับดักหรือความลี้ลับอย่างอื่นอีกหรือไม่ จึงไม่มีความมาดมั่นอย่างก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ
แม้ว่าสิ่งที่เผชิญในถ้ำสวรรค์หลีจูจะไม่ได้กลายเป็นอุปสรรคเป็นปมทางใจบนเส้นทางการฝึกตน แต่หากไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้ละเอียดแล้วรีบตัดสินใจว่าจะจัดการกับเด็กหนุ่มบ้านนอกของตรอกหนีผิงผู้นั้นอย่างไร ในใจของฝูหนันหัวก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ไช่จินเจี่ยนลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กับเสามังกรวนต้นหนึ่ง กำลังชื่นชมไข่มุกสีขาวหิมะเม็ดนั้น
สุดท้ายฝูหนันหัวก็ไม่ได้ปฏิเสธไช่จินเจี่ยน เพียงแค่บอกให้นางรอสักสองสามวัน
หลังจากที่ไช่จินเจี่ยนไปจากจวนส่วนตัวแห่งนี้แล้ว ฝูหนันหัวก็ปลดเครื่องประดับหยกที่มีความหมายไม่ธรรมดาต่อนครมังกรเฒ่ามากำไว้ในมือ เดินวนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่สวมชุดคลุมมังกร ลักษณะสุขุมเปี่ยมไปด้วยบารมีปรากฏกายจากความว่างเปล่า มายืนข้างเสามังกรวนในห้องโถงใหญ่ เงยหน้ามองไข่มุกเม็ดใหญ่ยักษ์ที่คาบอยู่ในปากมังกร ราวกับว่าบุรุษจะต้องการมองผ่านสายตาของไช่จินเจี่ยนไปเห็นจุดที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
เขามาอย่างเงียบเชียบ เป็นเหตุให้ฝูหนันหัวไม่ทันรู้สึกตัว รอจนฝูหนันหัวตระหนักได้ บุรุษก็ถอนสายตากลับมามองหลานชายคนนี้แล้ว เอ่ยถามว่า “ทำไมถึงไม่รับปากนาง?”
ฝูหนันหัวตอบ “แค่รู้สึกว่าจิตใจไม่อาจสงบได้”
บุรุษสวมชุดคลุมมังกรซึ่งก็คือฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ง่ายมาก หากไม่สังหารเฉินผิงอันเพื่อระงับริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจ ใช้พลังของเวทคาถาพยายามสะบั้นอิทธิพลทั้งหมดที่อริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมีต่อเจ้า ไม่ก็คล้อยไปตามสถานการณ์ หากอยู่ที่อื่นแล้วมีปมในใจที่ยากจะกำจัดทิ้ง ยิ่งเดินไปที่สูงก็ยิ่งอาจขยายจุดบกพร่องให้ใหญ่มากขึ้น แต่เมื่ออยู่ในตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า เดิมทีก็ถือเป็นหนึ่งในเวทลับที่จะขมวดรวมให้กลายเป็นไข่มุกในทะเลสาบหัวใจอยู่แล้ว”
บุรุษหัวเราะเยาะเย้ย “ปัญหายุ่งยากเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าก็จำเป็นต้องคิดไม่ตกขนาดนี้ด้วยหรือ? ดูท่าเจ้าคงไม่คิดจะสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าบนร่างข้าตัวนี้ไปตลอดชีวิตแล้วสินะ?”
ฝูหนันหัวเหงื่อแตกพลั่ก
บุรุษส่ายหน้า “คนหนึ่งก็ตายไปแล้ว อีกคนเป็นแค่เด็กหนุ่ม กลับทำให้เจ้าอึดอัดใจได้ถึงเพียงนี้ ข้าฝูฉีให้กำเนิดบุตรชายที่ดีจริงๆ”
ฝูหนันหัวหน้าซีดขาว
บุรุษกระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ปีนั้นข้าได้สวมชุดคลุมมังกรนี้แล้ว แต่เพื่อสองคำว่าตระกูลฝู ก็ยังยอมนั่งคุกเข่าบนพื้นขอร้องอ้อนวอนคนอื่น ต้องโขกศีรษะจนกระดูกหน้าผากโผล่ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีปมในใจทิ้งไว้?”
หัวสมองของฝูหนันหัวว่างเปล่า หลั่งน้ำตาเงียบๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
บุรุษหลุดหัวเราะพรืดแล้วหายตัวไป
……
หากมีคนสามารถข้ามผ่านตราผนึกที่มหัศจรรย์ของภูเขาห้อยหัวเข้าไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างสองฟ้าดินได้สำเร็จ ล้วนต้องสะทกสะท้อนใจไปกับความมหัศจรรย์ของโลก
กำแพงแถบหนึ่งสูงเสียดชั้นเมฆ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินมาตั้งแต่บรรพกาลโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ทางทิศใต้ของกำแพงสูงก็คือเจ้าของที่แท้จริงของใต้หล้าแห่งนี้
ทางทิศเหนือของกำแพงก็คือนครไร้กำแพงแห่งหนึ่ง
เซียนกระบี่กลุ่มแรกสุดที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่เคยกล่าวว่า หากเผ่าปีศาจข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ใต้หล้านี้จะยังมีคำเรียกขานว่ากำแพงเมืองอีกได้อย่างไร?
หลังจากนั้นเป็นต้นมา รอบนอกของนครก็ไม่มีการตั้งกำแพง แม้แต่อิฐสักก้อนก็ยังไม่มี
ผู้ฝึกกระบี่หลายแสนคนตัดขาดจากโลกภายนอก อาศัยอยู่ที่นี่มาทุกยุคทุกสมัย นอกจากคนจำนวนน้อยที่จะไปยังภูเขาห้อยหัวแล้ว คนแทบทั้งหมดล้วนเคารพกฎบรรพชน นั่นคือไม่ไปเยือนใต้หล้าไพศาลตลอดชีวิต
เกิดที่นี่ ตายที่นี่ รบตายนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่คือเกียรติยศ แก่ตายในกำแพงเมืองปราณกระบี่คือความอัปยศ
เรื่องบางเรื่อง ที่นี่จะแตกต่างไปจากใต้หล้าไพศาลที่อยู่ข้างนอก แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นในนครใหญ่ที่ไร้กำแพงและไร้นามก็มีตระกูลใหญ่บางส่วนที่หยั่งรากลึกอยู่เช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับตระกูลใหญ่ที่อยู่ข้างนอกซึ่งคอยพร่ำพูดกับลูกหลานว่าให้นึกเผื่อถึงความยากลำบากและอันตรายในช่วงระยะเวลายามสงบ อยู่ที่นี่ คำพูดเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย เพราะต่อให้เป็นตระกูลที่ใหญ่แค่ไหน ต่อให้เป็นลูกหลานสายตรงคนโต หรือแม้แต่ลูกคนเดียวของตระกูล พออายุครบสิบสองปีก็จำเป็นต้องรับหน้าที่ ‘ส่งกระบี่’ สายสุดคืออายุสิบหกปีที่ต้องชักกระบี่ต่อสู้ทางกำแพงเมืองทิศใต้ อายุสามสิบต้องออกจากกำแพงเมือง ไปสังหารเผ่าปีศาจทางใต้เป็นอย่างช้า
เมื่ออยู่ที่นี่ ผู้หญิงแทบทุกคนล้วนปรารถนาอยากแต่งงานกับบุรุษที่มีวิชากระบี่สูงกว่าตน หากบุรุษรบตาย นางก็จะตายตามหลัง จากนั้นก็เป็นบุตรชายหญิงของนาง
บทเพลงชายแดนเพลงใดก็ตามในโลกที่ได้รับความนิยม ล้วนเทียบเคียงกับการสู้รบของสถานที่แห่งนี้ไม่ได้
ถึงขั้นที่ว่าหากมีคนนอกเผยความเศร้าสร้อยเห็นอกเห็นใจในโศกนาฎกรรมของชายแดนทั้งหลาย พวกเขาจะพ่นเสียงออกจมูกอย่างดูแคลน เรื่องแบบนี้ร้ายกาจตรงไหนกัน?
มหาศึกครั้งที่สองปิดฉากลงชั่วขณะ นครทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้จึงกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
ในเมืองก็มีสะพานเล็กๆ มีลำธารไหลริน มีบ้านเรือนหลังใหญ่ มีสิงโตหินนั่งเฝ้าหน้าจวนประตูสูง มีหอสูง มีร้านกระบี่ตั้งเรียงราย และยังมีกระท่อมเล็กๆ เรียบง่ายที่คนทั้งบ้านอยู่รวมกัน
ร้านเหล้าข้างทางแห่งหนึ่งมีคนหกคนนั่งล้อมรอบโต๊ะหนึ่งตัว เด็กสาวท่าทางองอาจคิ้วดุจดาบแคบนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวตัวเดียวกับเด็กสาวแขนเดียวหน้าตาเฉยชา ฝ่ายหลังตัวเตี้ยเล็กบาง แต่กลับแบกกระบี่ใหญ่ที่ทำให้คนเห็นจุ๊ปากเดาะลิ้น
บุรุษอายุยี่สิบปีซึ่งอายุมากที่สุดในกลุ่มมีหน้าตาหล่อเหลา ปราณกระบี่ทั่วร่างของเขารวมตัวกันเหมือนของจริง กระบี่ที่พกอยู่ตรงเอวแผ่กลิ่นอายของความเที่ยงตรงให้เห็นได้รางๆ
เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มตาหยีจิบเหล้าคำเล็ก นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว ก้นของเขาใหญ่มาก แต่ม้านั่งคับแคบ ดังนั้นเขาจึงนั่งได้ไม่สบายเท่าไหร่ ต้องคอยขยับก้นอยู่ตลอดเวลา กระบี่ที่วางไว้บนขาสองข้าง แม้จะอยู่ในฝัก แต่กลับมีสายฟ้าสีม่วงล้อมวน ส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ บางครั้งสายฟ้าก็ไประเบิดอยู่ตรงพุงเขา เด็กหนุ่มตัวอ้วนจะสะดุ้งโหยง สูดปากหอบหายใจคำใหญ่
ข้างกายเขาคือเด็กหนุ่มผิวดำเกรียม หน้าตาอัปลักษณ์เต็มไปด้วยรอยบาก ทว่ากระบี่ที่เขาพกกลับมีชื่อที่งดงามอ่อนหวานมาก ชื่อว่าหงจวง (สาวงามสะคราญโฉม)
ตรงข้ามกับเด็กหนุ่มอัปลักษณ์คือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เอวซ้ายขวาของเขาพกกระบี่ข้างละเล่ม เพียงแต่ว่ากระบี่เล่มหนึ่งไร้ฝัก ตัวกระบี่สลักอักษรโบราณสองคำว่า ‘อวิ๋นเหวิน’ (ลายเมฆ)
คนทั้งหกนี้เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในสงครามครั้งแรก เพียงแต่ว่าคราวนั้นพวกเขาเสียเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อชวีชวีไป
คราวนี้โชคดีหน่อย คนทั้งหกนอกจากบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีใครรบตาย แต่ว่าเซียนกระบี่ขอบเขตสิบรากฐานลึกล้ำสองคนที่เป็นผู้นำกลุ่มของพวกเขากลับไม่สามารถรอดชีวิตกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่สามารถเดินผ่านใต้กำแพงกลับมาบ้านได้
เด็กหนุ่มร่างอ้วนท้วนชอบดื่มเหล้า และยิ่งชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่ม
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแซ่ต่งดูเหมือนจะชอบด่าเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ที่ใบหน้ามีแต่บาดแผลผู้นั้นมากที่สุด
เด็กสาวแขนเดียวชอบเหลือบมองชายอายุยี่สิบเป็นระยะ
ส่วนเด็กสาวลักษณะองอาจชอบดื่มเหล้าเพียงลำพัง เหม่อลอยอยู่กับตัวเอง แต่ว่าต่อให้เป็นช่วงเวลาที่นางเหม่อลอยก็ยังไม่เคยเผยความอ่อนแอบอบบาง
ยังคงเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญมีชีวิตชีวา
—–