กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 256.2 ผู้ถ่ายทอดมรรคาถ่ายทอดคำสั่งสอน
ตระกูลฝูมีหอมังกรอยู่แห่งหนึ่ง คือสถานที่ต้องห้ามของนครมังกรเฒ่า ไม่ได้อยู่ในนครฝู แต่อยู่บนหน้าผาใหญ่ริมทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันออกที่สุดของนครมังกรเฒ่า หอมังกรที่สูงหลายสิบจั้งคือสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของนครมังกรเฒ่า แต่บนนั้นกลับไม่มีสิ่งใด มีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้นที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ ป้องกันไม่ให้คนนอกบุกรุกเข้ามาโดยพลการ
วันนี้ฝูฉีนำแขกท่านหนึ่งขึ้นมาชมทัศนียภาพบนหอสูงด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็มีแค่ฝูหนันหัวคนเดียวที่มาด้วย ไม่มีคนอื่นอีก
อีกทั้งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ พอมาถึงตีนหอมังกร ฝูฉีกลับหยุดเดิน ปล่อยให้แขกคนนั้นขึ้นไปบนsvมังกรเพียงลำพัง
หลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคารวะทักทายฝูฉีอย่างนอบน้อมแล้วก็หันมามองฝูหนันหัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่กระท่อม ทำความเข้าใจกับกระแสน้ำขึ้นของมหาสมุทรเพื่อใช้กล่อมเกลาจิตใจต่ออีกครั้ง
ฝูฉีเอ่ยเบาๆ ว่า “หนันหัว ก่อนหน้านี้ที่เจ้าไม่ได้ลงมือกับเฉินผิงอันเพราะคิดว่าซุนเจียซู่เป็นคนฉลาดถึงเพียงนั้น มีแต่จะทำเรื่องที่ฉลาดยิ่งกว่าเจ้าใช่หรือไม่?”
ฝูหนันหัวตอบไปตามตรง “นอกจากคิดอย่างนี้แล้ว ข้ายังคอยถามใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า หากใช้สถานะของเจ้านครมังกรเฒ่ามารับมือกับเรื่องนี้ ข้าควรจะทำอย่างไร ควรนำของส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว หรือว่า…”
สีหน้าของฝูหนันหัวกระอักกระอ่วน ไม่พูดต่ออีก
ฝูฉีเอ่ยชม “ดูท่าคำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนั้น เจ้าคงฟังเข้าหูจริงๆ ลูกหลานตระกูลฝูไม่ควรต้องรอให้ถึงวันที่จะได้เป็นเจ้านคร แล้วค่อยทำในสิ่งที่เจ้านครจะทำ หากทัศนวิสัยแค่นี้ยังไม่มี ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล แต่ถ้ารู้จักแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ดีแต่จะรบราฆ่ากัน วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว หากเจอกับเซียนห้าขอบเขตบนขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่ตระกูลฝูเลย ต่อให้เป็นทั้งนครมังกรเฒ่า จะนับเป็นอะไรได้?”
ฝูหนันหัวตัดสินใจได้แล้วจึงกัดฟันพูด “แต่ว่าท่านพ่อ ข้าขอบเขตต่ำแค่นี้ ในอนาคตจะสามารถสืบทอดตำแหน่งเจ้านครอย่างสมศักดิ์ศรีได้อย่างไร?”
ฝูฉีหลุดหัวเราะ “ทำอย่างไร? ก็ทุ่มเงินเข้าสิ ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า อย่างอื่นอาจจะไม่มี แต่เงินน่ะมีไม่น้อยเลยจริงๆ เจ้าคิดว่าตอนนั้นข้าเลื่อนจากขอบเขตโอสถทองมาเป็นขอบเขตสิบก่อกำเนิดได้อย่างไร? วัตถุดิบวิเศษที่ข้าผลาญไปมากพอให้ซื้อถนนยาวสามร้อยลี้นอกเมืองของตระกูลซุนได้เลยด้วยซ้ำ แล้วหลังจากนั้นข้าเดินแต่ละก้าวมาจนถึงขอบเขตสิบขั้นสูงสุดได้อย่างไร? นอกจากพอจะเรียกได้ว่าขยันฝึกตนแบบถูไถแล้ว ที่มากกว่านั้นคือการทุ่มเงิน ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าทำอย่างไรล่ะ?”
ฝูหนันหัวปากอ้าตาค้าง
ง่ายแค่นี้เอง?
ฝูฉีเอาสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองเรือนกายผอมบางที่เดินทีละก้าวขึ้นไปบนหอมังกร ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นอกจากข้าที่เห็นดีในตัวเจ้าแล้ว ความเห็นของนางที่ต่อให้จะเป็นเพียงคำพูดที่พูดโดยไม่ตั้งใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะเรียกว่าเป็นคำตัดสินสุดท้ายก็ไม่เกินจริงเลย คนและเรื่องราวบางอย่างของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า ตอนนี้เจ้ายังไม่อาจสัมผัสได้ แต่หลังจากนี้เจ้าจะเข้าใจมากขึ้น และทัศนียภาพที่แท้จริงบนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปก็จะค่อยๆ ทยอยเปิดเผยสู่เบื้องหน้าสายตาของเจ้า”
ดวงตาฝูหนันหัวฉายประกายร้อนแรง
รอยยิ้มของฝูฉีคลุมเครือ “และหลังจากนั้นสักวันหนึ่งเจ้าจะค้นพบว่ารอบกายมีแต่กลิ่นคาวเลือด”
คนต่างถิ่นที่เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นผู้นั้น คือเด็กสาวคนหนึ่ง พอเดินไปถึงยอดบนของหอมังกร ใบหน้าของนางก็นองไปด้วยเลือด น้ำตาที่เป็นสีเลือดหลั่งลงมาจากดวงตาสีทองของนางไม่ขาดสาย
นางที่ยืนตระหง่านอย่างเดียวดายกวาดตามองไปรอบด้าน
ทวีปใหญ่เก้าแห่ง ห้าทะเลสาบ สี่มหาสมุทร บนภูเขาล่างภูเขามีแต่หลุมฝังศพ ล้วนแต่เป็นศัตรูคู่แค้น!
……
วันนี้เฉินผิงอันยังคงมาตกปลาตอนกลางคืนอยู่เหมือนเดิม จากนั้นก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูตามเวลาอย่างที่เคยปฏิบัติ รอจนกระทั่งฟ้าสว่างก็จะลืมตามองไปยังกลางอากาศเหนือทะเลทิศตะวันออก เพียงแต่ว่าคราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้หาเรื่องให้ลมปราณสีทองพุ่งลงมา แต่เขากลับยิ้มกว้าง ยืนโบกมือไปทางนั้นคล้ายกำลังทักทายคนคุ้นเคย
เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดและข้องใส่ปลา เดินย้อนกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผลคือเจอซุนเจียซู่มายืนรอตนอยู่ที่ริมน้ำ
เขากำลังรอเฉินผิงอัน อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็กำลังรอเขาซุนเจียซู่อยู่เหมือนกัน
ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกเล็กของเมืองใน เจิ้งต้าเฟิงยั่วยุให้เขาถอดหน้ากากที่อำพรางโฉมหน้าแท้จริงออก จากนั้นเทพหยินก็โผล่มาขัดขวางเจิ้งต้าเฟิง
คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซุน เฉินผิงอันลองขบคิดอย่างละเอียดก็สัมผัสได้ถึงปราณสังหารที่ซุกซ่อนอยู่
ผิดหวัง? แน่นอนว่าต้องมี
ไฟโทสะสูงเทียมฟ้า? ไม่ถึงขนาดนั้น
หลิวป้าเฉียวแนะนำซุนเจียซู่ให้ตนรู้จักเป็นเพราะความหวังดี แต่จะเต็มใจมาที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนหรือไม่คือการตัดสินใจของเขาเฉินผิงอันเอง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังคงเป็นเพราะสัญชาตญาณของคนที่แสวงหาข้อดีหลีกเลี่ยงข้อเสีย เพียงแต่ว่าเมื่อย้อนกลับมาดู การตัดสินใจนี้อาจจะไม่ได้แย่ที่สุด แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดเหมือนกัน
จุดประสงค์ของคำสอนแห่งวิถีการค้าที่ตระกูลฝูและตระกูลซุนยึดปฏิบัติคืออะไร? อันที่จริงตอนที่พูดคุยกัน ซุนเจียซู่ได้เปิดเผยให้รู้บางส่วนแล้ว
ภาพลักษณ์ของซุนเจียซู่ในใจเฉินผิงอันจึงพร่าเลือนอีกครั้ง อีกทั้งในใจเขายังเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและป้องกัน
คนคนหนึ่งที่มีนิสัยซื่อบริสุทธ์ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโง่เขลา หากคิดจะเป็นคนดีที่แท้จริงก็ต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือคนชั่ว คนดีคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดีก็คือความปรารถนาดีสูงสุดที่มีต่อโลกใบนี้
สิ่งที่ตื้นเขินเหล่านี้ เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องให้ตำราเป็นผู้บอก ไก่บินหมากระโดดในตลาด เรื่องหยุมหยิมยิบย่อยของพวกเพื่อนบ้าน การปัดแข้งปัดขากันเองของสหายร่วมเรียนในเตาเผามังกรก็ล้วนอธิบายถึงเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ?
ซุนเจียซู่มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยังไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ยกมือทาบประสานคารวะ
เฉินผิงอันเบี่ยงเท้าหลบการขออภัยที่ดูคล้ายจะไร้สาเหตุของซุนเจียซู่
พอซุนเจียซู่ยืดตัวขึ้นมาก็ไม่ถือสาการกระทำนี้ของเฉินผิงอัน เขายิ้มเจื่อนพูดว่า “เฉินผิงอัน ข้าช่วยจัดการติดต่อเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา (แก้ไขจากเรือนกกุ้ยฮวาเป็นเรือเกาะกุ้ยฮวา) ตระกูลฟ่านไว้ให้เจ้าแล้ว ตระกูลซุนของข้าไม่มีหน้าจะเชิญให้เจ้าขึ้นเต่าทะเลภูเขาแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “ซุนเจียซู่ นี่เป็นเพราะอะไร?”
ซุนเจียซู่ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็นั่งยองลงไป หันหน้าเข้าหาแม่น้ำ หยิบก้อนหินข้างเท้าขึ้นมาแล้วโยนลงน้ำไปเบาๆ “ก่อนหน้านี้ข้าหวังร่ำรวยจากการเสี่ยงอันตราย อยากได้ลาภลอยก้อนใหญ่ จงใจปกปิดความสามารถการในควบคุมนครมังกรเฒ่าของตระกูลฝูกับเจ้า ให้เจ้าสวมหน้ากากที่ไม่มากพอให้ปกปิดโฉมหน้าแท้จริง แถมยังให้เจ้าเดินออกมาจากหอสูงที่มีคนของตระกูลฝูจับตามองอย่างใกล้ชิด ก็เพื่อเดิมพันว่าฝูหนันหัวที่มีนิสัยดึงดันเหมือนเด็กจะเก็บกลั้นความแค้นไว้ไม่อยู่ ระดมกำลังคนมากมายมาสังหารเจ้า หลังจากนั้นต่อให้ต้องเสียตระกูลซุนไปครึ่งหนึ่ง ข้าก็ต้องปกป้องเจ้าเฉินผิงอันไว้ให้ได้ หลังจบเรื่อง เจ้าที่นั่งเรือไปเยือนภูเขาห้อยหัวได้อย่างปลอดภัยก็จะรู้สึกติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับข้าซุนเจียซู่ ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งสิ่งตอบแทนที่ตระกูลซุนได้รับมีแต่จะมากกว่าสิ่งที่สูญเสียไป”
เฉินผิงอันยังคงถือคันเบ็ดและหิ้วข้องใส่ปลายืนอยู่ที่เดิม ถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าจะรักษาชีวิตของข้าไว้ได้?”
ซุนเจียซู่ยื่นนิ้วชี้ไปที่ศีรษะโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมา “คนและเรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโลก ฝูหนันหัวยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้รับรู้ แต่ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลซุน ข้าซุนเจียซู่สามารถรู้ได้ แน่นอนว่าฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าก็ยิ่งรู้ดีกว่าใคร การแข่งขันด้านจิตใจและปณิธานของเด็กรุ่นหลังครั้งนี้ ข้าแค่เดิมพันด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูล วางท่าว่าต่อให้ต้องพินาศวอดวายไปพร้อมกับตระกูลฝูก็ไม่เสียดาย ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่ฝูฉีลงมือสะกิดเตือนตระกูลซุนอย่างรุนแรงไปแล้ว ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์กำลังร้อนระอุ เขาจะต้องเป็นฝ่ายหยุดมือไปเอง เจ้าเฉินผิงอันก็จะแค่ตกใจแต่ไร้อันตราย ไม่มีทางตาย ส่วนข้าซุนเจียซู่ก็จะสามารถอาศัยโอกาสนี้กลายเป็นสหายที่ร่วมทุกข์กับเจ้า”
จนกระทั่งบัดนี้ ไฟโทสะถึงสุมแน่นเต็มอกของเฉินผิงอัน สีหน้าของเขามืดทะมึน โคจรลมปราณอย่างเงียบเชียบเพื่อสะกดกลั้นความโมโหไว้ในทะเลสาบหัวใจอย่างสุดกำลัง
ซุนเจียซู่โยนก้อนหินออกไปอีกก้อน “หลายปีมานี้ตระกูลซุนมีชื่อเสียงเจริญรุ่งเรือง ภายนอกมองดูเหมือนว่าพยายามช่วงชิงความแข็งแกร่งอยู่กับตระกูลฝู แต่ข้ามองไปไกลยิ่งกว่านั้นนิดหน่อย นอกจากตระกูลฝูที่ใจคิดแต่จะสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ต้าหลีแล้ว ในบรรดาห้าแซ่ใหญ่ ตระกูลฟ่านตามหลังตระกูลฝูไปติดๆ อีกสามตระกูลที่เหลือก็มีที่พึ่งเป็นของตัวเอง มีทั้งสำนักศึกษากวานหู มีตระกูลเซียนในอุตรกุรุทวีป มีตระกูลผู้ดีลำดับสูงสุดในทวีปใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกคนต่างก็หาที่พึ่งและทางหนีทีไล่ มีเพียงตระกูลซุนของข้าที่ยกเม็ดหมากค้างไว้ไม่ยอมวางลง เพราะข้าเองก็หมายตาสกุลซ่งต้าหลีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าข้าหาหนทางไม่พบ เมื่อก่อนข้าเคยให้ข้ารับใช้ตระกูลขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งไปที่เมืองหลวงต้าหลี อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ต้าหลีเลย แม้แต่ประตูใหญ่จวนอ๋องของซ่งจ่างจิ้งก็ยังเข้าไปไม่ได้ แค่พ่อค้าคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนคนถือหัวหมูที่หาศาลเจ้าไม่เจอ ช่างทำให้คนสิ้นหวังยิ่งนัก”
เฉินผิงอันถามคำถามที่สอง “เจ้าไม่เห็นข้าเฉินผิงอันเป็นเพื่อนก็เป็นเรื่องปกติ แล้วหลิวป้าเฉียวล่ะ?”
ในหัวของซุนเจียซู่คิดถ้อยคำไว้เป็นร้อยเป็นพัน แต่กลับไม่มีคำใดที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้
ซุนเจียซู่มองไปทางแม่น้ำด้วยสีหน้าขมขื่น
พูดจี้ใจดำก็เป็นเช่นนี้เอง
ขนาดบรรพบุรุษสกุลซุนที่แอบจับตามองคนทั้งสองอย่างลับๆ ยังรู้สึกวิตกกังวลแทนซุนเจียซู่
ซุนเจียซู่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ยกสองมือเท้าคาง ในเมื่อไม่มีวิธีดีๆ ให้รับมือ พ่อค้าที่ฉลาดสุดๆ คนนี้ก็เลือกที่จะพูดไปตามสิ่งที่ใจตัวเองคิด “ข้าย่อมเห็นเขาเป็นเพื่อนอยู่แล้ว แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีเจ้าเฉินผิงอันเพิ่มมาเป็นศัตรูคนหนึ่ง สูญเสียเพื่อนอย่างหลิวป้าเฉียวไปคนหนึ่ง”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อที่สาม “ที่บอกเรื่องพวกนี้เพราะไม่กล้าฆ่าข้า? กลัวว่าในอนาคต เมื่อคนผู้นั้นย้อนกลับมายังใต้หล้าไพศาลจะเหยียบบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนจนเละเป็นหน้ากลอง?”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้อยากฆ่าเจ้า”
เขาหันหน้ากลับมา ฝืนส่งยิ้มให้ “เฉินผิงอัน ประโยคนี้เจ้าเชื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถาม
ซุนเจียซู่ลุกขึ้นยืน คล้ายได้ปลดภาระหนักหมื่นจินลงจากบ่า ไม่ได้มีสีหน้าเซื่องซึมอีกต่อไป ในที่สุดก็กลับมามีมาดของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง “อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรพูด ข้าก็พูดไปหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะทำอะไร ข้าก็ไม่เสียใจแล้ว ความรับผิดชอบเล็กน้อยแค่นี้ ข้าซุนเจียซู่ยังพอมีอยู่”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “เก็บสัมภาระเสร็จแล้ว ข้าจะไปที่ร้านยาฮุยเฉินเมืองใน หลังจากนั้นจะนั่งเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “ตกลง”
คนทั้งสองเดินตามกันกลับไปยังบ้านบรรพบุรุษเงียบๆ จากนั้นเฉินผิงอันก็สะพายห่อสัมภาระ อาศัยความทรงจำที่เหลืออยู่ เดินออกไปยังเส้นทางดินสายนั้นจริงๆ
ซุนเจียซู่กินอาหารเช้าเพียงลำพัง ยังคงเป็นโจ๊ก ผักดองและหมั่นโถว บรรพบุรุษตระกูลซุนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังจะเปิดปากพูด แต่ซุนเจียซู่กลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้หลิวป้าเฉียวฟังโดยเร็วที่สุด”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “กลัวว่าเฉินผิงอันจะชิงฟ้องก่อน ถึงเวลานั้นจะยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม? หรือเป็นเพราะจิตใจตัวเองไม่อาจสงบนิ่ง ถ้าไม่พูดก็ไม่สบายใจ?”
ซุนเจียซู่หยุดตะเกียบ ครุ่นคิดอย่างตั้งใจแล้วตอบอย่างสัตย์จริง “ดูเหมือนว่าจะทั้งสองอย่าง”
ผู้เฒ่าถามหยั่งเชิง “ในเมื่อทำแล้วทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุด เล่นตุกติกบนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาเสียเลย?”
หลังจากคลายปมในใจได้แล้ว สีหน้าของซุนเจียซู่ก็สดชื่นขึ้นไม่น้อย เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “จะใช้ความผิดหนึ่งไปปกปิดอีกความผิดหนึ่งไม่ได้ ข้าไม่กล้าหวังว่าตัวเองจะโชคดีอีกแล้ว”
พอได้ยินคำตอบนี้ ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะโล่งใจยิ่งกว่าซุนเจียซู่เสียอีก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “การเสียเปรียบครั้งนี้ถือว่าไม่เสียเปล่า ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ เดินนำไปก่อนหนึ่งก้าวย่อมดีที่สุด จะไม่เคยทำความผิดใหญ่ๆ เลยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน มีกิจการมีครอบครัวพร้อมสรรพแล้ว จะเอาแต่คิดทุ่มเสี่ยงดวงในการเดิมพันครั้งสุดท้ายไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ”
ซุนเจียซู่ยิ้มตอบ “บ้านใดมีคนแก่ เหมือนมีสมบัติล้ำค่า!”
ผู้เฒ่าลุกขึ้น “เจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ ปรับสภาพจิตใจตัวเองให้ดี ช่วงนี้อย่าให้อารมณ์ในใจแปรปรวนมากนัก”
ซุนเจียซู่วางตะเกียบในมือลง ลุกขึ้นยืนส่งอย่างนอบน้อม รอจนผู้เฒ่าเดินออกไปจากห้อง เขาถึงได้นั่งกลับลงไปใหม่อีกครั้ง ก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้าต่อ
รสชาติขมขื่นเกินจะทน
ส่วนข้อที่ว่าถ้าซุนเจียซู่รับมือไม่ได้ จะต้องถูกบรรพบุรุษตระกูลซุนถอดตำแหน่งเจ้าประมุข ข้อนี้หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งคนแก่ที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงข้ามกันต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ อีกทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
—–