กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 257.1 เป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน
เฉินผิงอันเงยหน้ามองท้องฟ้าสูง ปรากฎการณ์การฝ่าขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงยิ่งใหญ่จนถึงกับทำให้ทะเลเมฆของตระกูลฝูเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาให้เห็น แต่ว่าสุดท้ายทั้งคนและทะเลเมฆก็ค่อยๆ หายไป เขาอดถามอย่างเป็นกังวลใจไม่ได้ว่า “ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เทพหยินตอบยิ้มๆ “ความเคลื่อนไหวต้องรุนแรงมากพอถึงจะสยบพวกหนูสกปรกและหมาไนทั้งหลายได้”
เจิ้งต้าเฟิงสั่งสมพลังไว้มากแต่เอาออกมาใช้ทีละน้อย แค่การกระทำเดียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้โดยตรง แน่นอนว่าเทพหยินย่อมยินดีที่ได้เห็น หากเจิ้งต้าเฟิงต้องตายก่อนวัยอันควรอยู่ที่นี่ เสินจวินทำการค้ากับคนอื่นอย่างยุติธรรมก็จริง แต่กับเทพหยินวัตถุหยินที่ออกมาจากศาลเล็กอย่างพวกมันกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากทำลายแผนการที่เสินจวินวางไว้ ทำให้เขาพิโรธโกรธา ดีดนิ้วครั้งเดียวทำให้ร่างของมันแหลกสลายทั้งที่อยู่ห่างไกลกันนับพันนับหมื่นลี้ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยสักนิดเดียว
เฉินผิงอันที่ระมัดระวังตัวจนเคยชินขบคิดประโยคนี้อย่างตั้งใจ แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมากจริงๆ แต่ว่าเหตุผลแบบนี้ยังไม่เหมาะตนนำมาใช้ ไม่เป็นไร ก็เหมือนตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กทั้งหลาย สั่งสมไว้ก่อน พกพวกมันเดินทางอยู่ในยุทธภพก็ไม่ได้หนักอะไร หลักการก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “คนทั้งเมืองจะรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า วันหน้าหากเจิ้งต้าเฟิงคิดจะทำอะไร ก็ไม่เท่ากับว่าจะต้องถูกคนของตระกูลฝูและห้าตระกูลใหญ่คอยจับตามองหรอกหรือ?”
เทพหยินชำเลืองมองไปทางทะเลตะวันออก ส่ายหน้าพูดว่า “ฝูฉีแบไต๋แล้ว อาศัยโอกาสครั้งนี้ เจิ้งต้าเฟิงน่าจะฉวยจังหวะทำการค้าได้หลายอย่าง ตอนที่กลับมาจากทะเลเมฆ น่าจะไม่โหมครึกโครมเหมือนตอนที่ขึ้นไปแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เก็บแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ สีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้กลับไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น แผ่นไม้ไผ่พวกนี้มีทั้งไม้ไผ่เขียวธรรมดาที่เหลือจากการทำหีบหนังสือใบเล็กให้กับหลี่ไหวและหลินโส่วอี แต่ที่มากกว่ากลับเป็นไม้ไผ่เฟิ่นหย่งภูเขาฉีตุนที่ย้ายมาปลูกจากภูเขาชิงเสิน ซึ่งเว่ยป้อมอบให้เพราะเหลือจากการสร้างเรือนไม้ไผ่ หลังจากได้ซื้อขายที่หอชิงฝูท่าเรือข้ามฟากแคว้นซูสุ่ย จึงรู้ถึงมูลค่ามากควรเมืองของไม้ไผ่เสินเซียวจากภูเขาชิงเสิน เฉินผิงอันจึงยิ่งทะนุถนอมและเห็นค่าพวกมันมากยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้หลายครั้งที่เห็นประโยคไพเราะบนตำรา จะต้องขบคิดใคร่ครวญอยู่หลายรอบกว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ดีหรือไม่
จู่ๆ เทพหยินก็ถามว่า “มอบไม้ไผ่แผ่นที่สลักประโยคว่า ‘เทพเซียนมีความต่าง หยินหยางแยกห่าง วิญญาณทำให้ใจสงบ จิตสร้างร่างทอง’ ให้ข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้”
เจ้าคิดว่าเจ้าคือพวกเป่าผิง หลี่ไหวที่อยากได้อะไรข้าก็ยกให้หมดหรือไง?
แต่เฉินผิงอันก็นึกถึงคราวก่อนตอนอยู่ในตรอกเล็กแล้วเทพหยินเผยกายเปิดโปงความคิดของเจิ้งต้าเฟิงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของหยางเหล่าโถวหรือไม่ แต่นั่นก็ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง พอคิดถึงข้อนี้ เฉินผิงอันจึงใจกว้างขึ้นมาทันที “ตกลง ยกให้เจ้าก็ได้ ก็แค่ไม้ไผ่แผ่นเดียวเท่านั้น”
แม้เทพหยินจะไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินผิงอันถึงเปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้เนื่องจากเขาใจร้อน ก็เลยพูดตรงเกินไป อันที่จริงเทพหยินไม่คิดจะเอาเปรียบเฉินผิงอัน จึงอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้ายังพูดไม่จบ อันที่จริงข้าอยากจะซื้อไม้ไผ่แผ่นนั้นจากเจ้าด้วยเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญ ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันเพิ่งจะหยิบไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น พอได้ยินคำว่าเงินฝนธัญพืชก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “ต่อให้ไม้ไผ่แผ่นนี้จะมาจากไม้ไผ่เฟิ่นหย่งภูเขาชิงเสิน แต่ขนาดก็ใหญ่แค่นี้ ไม่ควรจะให้ราคาสูงเทียมฟ้าน่าตกใจขนาดนี้กระมัง?”
เทพหยินยิ้มบางๆ “ขายให้คนอื่น อย่างมากสุดก็แค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น แต่สำหรับข้าแล้ว ไม้ไผ่ที่มีประโยคนี้สลักไว้ก็คือราคานี้ ทำไม รังเกียจที่ราคาสูงเกินไป จะไม่ขาย? ต้องให้ถูกกว่านี้ถึงจะขาย? ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยื่นแผ่นไม้ไผ่มอบให้พลางหัวเราะร่า “ท่านผู้เฒ่าจ้าวโปรดรับไว้”
เทพหยินยื่นมือหนึ่งออกไปรับ อีกมือหนึ่งยื่นเงินฝนธัญพืชกองกันสิบเหรียญส่งออกไป เฉินผิงอันรับเงินฝนธัญพืชที่เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเหล่านั้นมา เพ่งตาจ้องมองอยู่สองคราแล้วรีบเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น
เทพหยินเอ่ยเย้า “ไม่พิสูจน์ก่อนหรือว่าเป็นของจริงหรือไม่? เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชปลอมบนภูเขามีไม่น้อยเลยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เดิมทีข้าก็ไม่เคยเห็นเงินฝนธัญพืชที่แท้จริงมาก่อน แล้วข้าก็เชื่อใจท่านจ้าวด้วย”
เฉินผิงอันไม่ดื่มเหล้าแล้ว เขารัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านในมีชูอีกับสืออู่ไว้ตรงเอว
เงินหิมะน้อยหนึ่งเหรียญเท่ากับเงินหนึ่งพันตำลึงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเท่ากับเงินหิมะน้อยหนึ่งร้อยเหรียญ เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญจะเท่ากับเงินร้อนน้อยสิบเหรียญ นี่ก็คือหลักแลกเปลี่ยนเงิน ‘พันร้อยสิบ’ บนภูเขา ส่วนเหรียญทองแดงแก่นทองที่สร้างขึ้นเพื่อถ้ำสวรรค์หลีจูนั้นมีค่ายิ่งกว่าเงินฝนธัญพืชเสียอีก
หนึ่งเหรียญทองแดงแก่นทองเท่ากับเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญ!
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวเองมีเงินหมื่นกว้านร้อยเอวจริงๆ แล้ว (กว้านคือเงินพวงที่ร้อยเชือกเข้าด้วยกัน หนึ่งกว้านมีพันเหรียญอีแปะ มีเงินร้อยเอวหมื่นกว้านจึงเปรียบเปรยถึงคนที่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี)
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “ท่านจ้าว ไม่อย่างนั้นข้าเอาแผ่นไม้ไผ่ที่เหลือให้ท่านลองดูอีกดีไหม แล้วท่านลองหาดูว่าอยากจะซื้ออันไหนอีกหรือเปล่า?”
เทพหยินส่ายหน้ายิ้มๆ “กระเป๋าเงินว่างเปล่า ซื้อไม่ไหวแล้ว”
อันที่จริงเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญคือเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาหลังจากติดตามเจิ้งต้าเฟิงลงใต้มายังนครมังกรเฒ่า
การที่เขาให้ราคาสูงถึงขนาดนี้ แสดงความยินดีกับเจิ้งต้าเฟิงที่ฝ่าทะลุขอบเขตคือเรื่องหนึ่ง แต่ว่าตอนนั้นจิตวิญญาณของตนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชื่นชอบประโยคนี้ทันทีที่ได้ยิน นี่ต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ เจตจำนงสวรรค์มักจะมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ คนทั้งหมดที่อยู่ใต้หล้าอาจจะไม่เชื่อ แต่กับเขา ไม่เชื่อไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะจ่ายเงินฝนธัญพืชออกไปรวดเดียวสิบเหรียญจริงๆ แต่เป็นเพราะจำเป็นต้องทำแบบนี้ ความหมายที่ซุกซ่อนลึกล้ำเกินกว่าจะหยั่งได้ถึง เกรงว่าคงมีแต่ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
ผลคือเฉินผิงอันพูดอีกว่า “ไม่เป็นไร ท่านจ้าวลองดูก่อนว่าชอบแผ่นไหน ข้ายกให้ท่านไม่คิดเงิน”
เทพหยินหันหน้ามามองประเมินเด็กหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก เพียงเงยหน้าขึ้นมองทะเลเมฆอีกครั้ง รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย
นครมังกรเฒ่ากว้างใหญ่เกินไป น้อยคนนักที่จะมีเวลาว่างคอยมองว่าวหรือนกที่บินผ่านท้องฟ้า ภาพที่เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นฟ้า และภาพเหตุการณ์ประหลาดที่การฝ่าทะลุขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงชักนำมา ชาวบ้านที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของบุรุษอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางและปรมาจารย์เล็กใหญ่บนวิถีวรยุทธ์แทบทั้งหมดล้วนแหงนหน้ามองภาพนี้อย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ โดยเฉพาะตระกูลฝูที่เกิดความครึกโครมมากที่สุด ฝูฉีที่รอเด็กสาวจื้อกุยซึ่งขึ้นไปบนหอมังกรอยู่ด้านล่างถึงกับขึ้นไปที่ทะเลเมฆด้วยตัวเองเพื่อดูว่าบุคคลที่สามารถแหวกค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆได้คือใคร
เนื่องจากมีทะเลเมฆบดบัง คนนอกจึงมองโฉมหน้าที่แท้จริงของบุรุษไม่ออก ผู้ฝึกตนตำแหน่งสูงส่วนใหญ่ในนครมังกรเฒ่าแค่อยากร่วมสนุก จึงพากันคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของสุดยอดผู้แข็งแกร่งคนนั้นว่าเป็นบุรพาจารย์ตระกูลฝูที่ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้นซึ่งฝ่าขอบเขตได้แล้วจึงออกจากด่าน? หรือเป็นบุรพาจารย์สกุลเจียงอวิ๋นหลินซึ่งกำลังจะเกี่ยวดองกับทายาทสายตรงของนครมังกรเฒ่าที่เคาะภูเขากระเทือนพยัคฆ์?
พ่อค้าในนครมังกรเฒ่ามีมากมายเป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป ในฐานะศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญซึ่งเชื่อมต่อสามทวีป ที่นี่จึงมีปลาและมังกรปะปนกัน คนมีเงินมีมากมาย ผีพนันก็มีไม่น้อย การงัดข้อประชันกันระหว่างเพื่อนสนิท แม้กระทั่งการลงเดิมพันในบ่อนขนาดใหญ่หลายแห่งล้วนผุดขึ้นเป็นหน่อไม้หลังฝนตก การเดิมพันนั้นมีมากมายหลากหลาย มีทั้งเดิมพันถึงสถานะของคนผู้นี้ เดิมพันว่าคนผู้นี้จะถูกตระกูลฝูเล่นงานจนพิการหรือไม่ เดิมพันถึงเพศ หรือแม้แต่ชื่อแซ่ของคนผู้นี้…
จวนตระกูลฟ่านที่อยู่เมืองใน เจ้าประมุขคนปัจจุบันและบุรพาจารย์หลายท่านของตระกูล รวมถึงข้ารับใช้ต่างแคว้น ทุกคนล้วนเป็นผู้เฒ่าที่อายุสูงนับร้อยปีขึ้นไป ไม่มีลูกหลานที่หนุ่มสาว เวลานี้พวกเขายืนเคียงไหล่กันอยู่บนระเบียงของหอสูง ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความปิติยินดี พวกเขาเริ่มพยากรณ์โดยเริ่มจากตำแหน่งที่บุคคลซึ่งอยู่บนทะเลเมฆเดินขึ้นฟ้า บวกกับรายงานสถานการณ์ก่อนหน้านี้จึงพอจะอนุมานได้ว่าคนผู้นี้ก็คือเจิ้งต้าเฟิงแห่งร้านยาฮุยเฉิน การที่เขาเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า กลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตยอดเขาซึ่งเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ได้สำเร็จ สำหรับตระกูลฟ่านแล้ว นี่ย่อมเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า อีกอย่างหลายสิบปีในอนาคต หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เจิ้งต้าเฟิงจะต้องยังอยู่ในนครมังกรเฒ่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลฟ่านจะได้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตยอดเขาที่ร่วงจากฟ้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ความต่างระหว่างขอบเขตแปดและขอบเขตเก้า ต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ขั้นเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือหล่อหลอมเรือนกาย ขั้นกลางคือหล่อหลอมลมปราณ ขั้นสูงสุดคือหล่อหลอมจิตใจ แต่ละขั้นแบ่งออกเป็นสามระดับ ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ โดยเฉพาะหลังขอบเขตที่เจ็ด ความต่างระหว่างสองขอบเขตจะยิ่งเหมือนมีร่องน้ำลึกกั้นขวาง ดังนั้นบนวิถีวรยุทธ์จึงมีคำกล่าวหนึ่งสืบทอดต่อกันมาว่า ขอบเขตสูงต่อสู้กับขอบเขตต่ำ ฆ่าคนก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียว
เพียงแต่ว่าก็มีคนคิดว่าคำว่าฆ่านี้ ควรจะเปลี่ยนเป็นบาดเจ็บ จะเหมาะสมมากยิ่งกว่า
นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการแบ่งลำดับขั้นของนักเล่นในวงการหมากล้อมที่มีเก้าระดับเหมือนกัน แบ่งเป็นแข็งแกร่งเก้าและอ่อนด้อยเก้า บางครั้งนักเล่นหมากล้อมขอบเขตเจ็ดแปดจะใช้ฝีมือที่เลิศล้ำเอาชนะนักเล่นแห่งแคว้นระดับอ่อนด้อยเก้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในวงการหมากล้อม จะว่าไปแล้วการตัดสินลำดับขั้นนักเล่นหมากล้อมในแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะระดับแปดและเก้า มักจะแค่ให้ฉีไต้จ้าว (ชื่อตำแหน่งขุนนาง คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม หมากรุก มีหน้าที่หลักๆ คือคอยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้) ของราชวงศ์มาผลัดกันประลองฝีมือ ซึ่งเดิมทีฝีมือการเล่นหมากล้อมของฉีไต้จ้าวแต่ละคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งสำนักและสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อจะให้วิญญูชนด้านหมากล้อมออกหน้ามาเป็นผู้ตัดสิน จึงเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ติด
บุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งของตระกูลฟ่านลูบเคราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าหนูฟ่านมีผู้ถ่ายทอดมรรคาเช่นนี้ช่างเป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ!”
เสียงหัวเราะดังครืนรอบด้าน
แล้วทันใดนั้นทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่าก็ลดตัวฮวบลงต่ำ ทุกคนแทบไม่ทันได้ตั้งตัวร่างทั้งร่างก็อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆแล้ว มองไปรอบด้านมีแต่ความเคว้งคว้าง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมีญาติมิตร มีคนบนเส้นทางเดียวกันอยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ตาม จากนั้นก็รู้สึกกดดันเหมือนจะหายใจไม่ออก ไม่ว่าจะผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว บัดนี้การโคจรลมปราณก็ล้วนติดขัดชะงักค้างไม่มากก็น้อย ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา ฟ้าดินก็กลับคืนมาเป็นปกติ เมฆหมอกหายวับไปอย่างไม่เหลือร่องรอย หลายคนที่จำศีลมานานหรือไม่ก็ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองที่รับใช้นครมังกรเฒ่าต่างอารมณ์หนักอึ้ง
เจิ้งต้าเฟิงทะยานลมจากไปด้วยขอบเขตแปดเดินทางไกล แต่กลับเดินเท้ากลับมายังตรอกเล็กด้วยขอบเขตเก้ายอดเขา
—–